[รีวิว] Materialists - รักแบบไหนที่ล็อคมงไว้แล้วของนักจับคู่รักที่ยังมีปัมเรื่องรัก

1) ระหว่าง “ชายหนุ่มสุดเพอร์เฟ็คทั้งฐานะและหน้าตา” กับ “ชายผู้เป็นรักเก่าที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”  แบบไหนคือ “รักที่ใจตามหา” หากผลงานเรื่องก่อนของ “เซลีน ซง” (Celine Song) อย่าง Past Live (2023) ที่พาเราไปสำรวจเรื่องราวระหว่าง “รักแรก” และ “รักปัจจุบัน” อย่างติดตราตรึงใจจนแกะไม่ออกแล้ว Materialists ก็เป็นการกลับมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความรักอีกครั้งในเชิง “ฐานะทางสังคม”
.
2) แน่นอนสำหรับชื่อชั้นของเซลีน ซง ที่พา Past Live เข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 2 สาขา งานภาพยนตร์ของเธอจึงเป็นงานที่มีชั้นเชิงและสไตล์เฉพาะตัว สำหรับ Materialists ก็เช่นกัน เต็มไปด้วยสไตล์และกลิ่นอายในแบบที่ Past Live เคยมี ทั้งโทนภาพและฉากหลังที่ดูย้อนยุคแม้จะเป็นการเล่าเรื่องในยุคปัจจุบัน บทสนทนาแหลมคมแฝงนัยยะถึงแก่นเรื่อง หรือการตั้งคำถามถึงความรักในรูปแบบที่อาจจะไม่ได้แปลกใหม่แต่ก็เป็นคำถามที่ชวนให้ฉุกคิดได้เสมอ
.
3) เรื่องราวรักสามเศร้าของ “ลูซี่” (Dakota Johnson) นักจับคู่ให้กับผู้ที่อยากจะแต่งงานแต่ตัวเองดันประกาศกร้าวว่าจะขออยู่เป็นโสด กับหนุ่มวัยกลางคนผู้สมบูรณ์แบบทุกด้านอย่าง “แฮร์รี่” (Pedro Pascal) และ หนุ่มผู้เป็นรองในทุกด้านแต่มีข้อได้เปรียบอย่างมหาศาลเพราะเป็นรักเก่าอย่าง “จอห์น” (Chris Evans) ทางเลือกของลูซี่เป็นสิ่งที่ผู้กำกับเซลีน ซง ตั้งใจวางไว้เพื่อให้ผู้ชมเดินทางตามหาคำตอบนี้ไปพร้อมๆ กับตัวละคร ด้วยการแฝงแง่คิดมาในทุกๆ จังหวะของการดำเนินเรื่อง
.
4) สิ่งที่เซลีน ซง ตั้งคำถามใน Materialists เห็นทีจะเป็นเรื่องของการมองความรักว่าสามารถเกิดขึ้นได้โดยความตั้งใจหรือไม่ สิ่งนี้สะท้อนตรงๆ ผ่านอาชีพของลูซี่ที่เรียกว่า Matchmaker ซึ่งมีหน้าที่คอยหาคนที่เหมาะสมและจับคู่กัน เพื่อเป้าหมายปลายทางคือ การแต่งงาน (บางทีจึงเรียกอาชีพนี้ว่า Marriage Broker) ลูซี่จัดให้คนได้แต่งงานสำเร็จมาแล้วถึง 9 ครั้ง แน่นอนว่าเธอเป็นตัวท็อปในสายงานนี้เลยก็ว่าได้
.
5) การจับคู่ของเธออยู่บนหลักการไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ เธอนำความต้องการของลูกค้ามาจับคู่กับคนที่คุณสมบัติตรงกัน ตัวหนังใช้จุดที่เธอนั่งสัมภาษณ์ลูกค้าถึงคุณสมบัติที่พวกเขามองหามาสร้างความขันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะคุณสมบัติที่เหล่าลูกค้าต้องการนั้นหลายครั้งก็อยากจะบอกว่า “ฝันเอาน่าจะง่ายกว่า” ทำนองนั้น ด้วยหลักการนี้เธอจึงมองว่าระหว่างตัวเธอกับแฮร์รี่ที่เพียบพร้อมทุกด้านแบบนี้ว่าไม่เหมาะสม (เธอด้อยกว่าเกินไป) ในขณะที่เทียบกับจอห์นแฟนเก่า ซึ่งเลิกกันด้วยเหตุผลเรื่องฐานะ(เงิน) ลูซี่ก็ไม่เหมาะสมอีกเช่นกัน (จอห์นด้อยกว่า)
.
6) คงไม่ใช่การสปอยถ้าหากจะบอกว่า เรารู้ได้แน่ๆ ว่าผู้ชนะศึกในครั้งนี้เป็นใคร หรืออาจจะต้องบอกว่าผู้กำกับเซลีน ซง ไม่ได้ต้องการให้มันเป็นการแข่งขันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะแฮร์รี่กับจอห์นไม่ได้เริ่มต้นจีบลูซี่พร้อมๆ กัน แต่หากว่าฝ่ายหลัง คือ รักเก่าที่เลิกกันเพราะปัญหาเรื่องการเงิน เป็นเหตุผลที่เธอบอกว่าหากจะแต่งงานก็จะหาผู้ชายที่มีเงินให้เธอใช้แบบไม่อั้น แน่นอนว่าแฮร์รี่ที่ทั้งหน้าตาดีและฐานะร่ำรวยจึงตอบโจทย์ของลูซี่แบบไม่ต้องสงสัย และในวงการจับคู่รักเรียกคุณสมบัติที่เหมือนกับหลุดออกมาจากเทพนิยายว่า “ยูนิคอร์น” เลยด้วยซ้ำ (ในวงการธุรกิจก็ใช้คำนี้บ่งบอกถึงความเลอค่าเช่นกัน)
.
7) หนำซ้ำจอห์นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปจากวันที่เลิกรากัน ยังทำงานพาร์ทไทม์ทั่วไป นอนในอพาร์ทเมนท์กับรูมเมทนิสัยเสีย และยังมีความฝันที่ดูท่าทางจะไม่สำเร็จง่ายๆ อยู่ แน่นอนว่าหากไม่ใช่รักเก่า เราหาจุดไหนของจอห์นที่จะเทียบกับแฮร์รี่ไม่ได้เลยจริงๆ แต่สุดท้ายแล้วคนในใจของเธอก็ชนะเสมอ
.
8) อาจจะดูเสียมารยาทที่ต้องเทียบกับงานก่อนหน้านี้อย่าง Past Live แต่ชัดเจนว่างานเรื่องแรกนั้นเล่าเรื่องลงประเด็นได้บาดลึกและแหลมคมมากกว่าจริงๆ สำหรับ Materialists เชื่อว่าจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ลูซี่ตัดสินใจ ความคมในบทสรุปของเรื่องจึงหายไป กลายเป็นว่าสุดท้ายตัวหนังก็บอกกับเราว่า ความรักไม่สามารถมีเหตุผลเป็นข้อๆ เหมือน Checklist ที่เหล่าลูกค้าขอมาตอนใช้บริการหาคู่ได้
.
9) แม้จะมีการใส่เคสตัวอย่างมาเป็นเหตุผลย้ำถึงความล้มเหลวของการจับคู่รัก ซึ่งก็คือ ลูกค้าของเธอที่ชื่อ “โซเฟีย” (Zoe Winters) ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการจับคู่ หนำซ้ำยังถูกทำร้ายและข่มขู่จากชายคนล่าสุดที่เธอไปเดทด้วยอีกต่างหาก แต่เมื่อสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอกของเรื่อง พลังในการเป็นจุดพลิกผันของเรื่องจึงเบาบาง และบทเรียนของมันที่เพียงแค่ทำให้ลูซี่สูญเสียความเชื่อมั่นในการทำงานมันก็ไม่เพียงพอจะทำให้ผู้ชมรู้สึกตามได้มากเท่าที่ควร
.
10) และอาจจะค่อนข้างแปลกตาสักหน่อย หากเราจะได้เห็นนักแสดงที่เป็น “ฝรั่ง” มานั่งพูดพรรณนาความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้คู่สนทนาฟัง หรืออาจจะใช้คำศัพท์ที่ยุคนี้ชอบใช้กันว่า Deeptalk มันเกิดขึ้นหลายครั้ง เมื่อลูซี่พยายามบอกกับแฮร์รี่อยู่เสมอว่า ทำไมตัวเธอถึงไม่เหมาะกับเขา ในขณะที่แฮร์รี่เองก็เชื่อว่าตัวเขามีดีพอสำหรับลูซี่เกิดเป็นบทสนทนาที่คมคายระหว่างทั้งคู่ขึ้น กลับกันทางฝั่งจอห์นเป็นบทสนทนาที่ดูผ่อนคลายกว่า มันเป็นอีกเหตุผลที่สะท้อนถึงการตัดสินใจของลูซี่
.
11) นอกจากนั้นตัวภาพยนตร์มีความพยายามตั้งคำถามถึงการแต่งงานที่จำเป็นหรือไม่ต่อการเป็นคนรักกัน หรือมันอาจจะเป็นแค่พิธีการเพื่อบอกให้คนอื่นได้รับรู้แค่นั้น เซลีน ซง ตั้งใจใช้ประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญของภาพยนตร์ที่มาหลังจากคำตอบในใจของลูซี่ (รักแล้วก็ต้องแต่งงาน) แต่ทว่าเมื่อประเด็นหลักของเรื่องมันไม่ค่อยจะแหลมคมอย่างที่บอกไป ประเด็นรองนี้จึงเหมือนๆ จะเป็นส่วนเกินของเรื่องอย่างเลี่ยงไม่ได้
.
12) อีกจุดที่ทำให้ตัวภาพยนตร์ขาดความน่าเชื่อถืออย่างหนัก นั่นคือ การเลือกใช้บริการ “คริส อีแวน” มารับบทชายหนุ่มผู้ตกอับ แน่นอนว่าด้วยรูปร่างหน้าตาของนักแสดงผู้นี้ มันคงทำให้ผู้ชมเชื่อได้ยากจริงๆ ว่า เขาจะเป็นคนที่กำลังอยู่ในภาวะล้มเหลวของชีวิต (อย่างน้อยๆ คุณสามารถทำอะไรได้มากกว่าเป็นเด็กเสิร์ฟไปวันๆ แน่นอน) ยังดีที่ชั้งเชิงของเซลีน ซง ยังพอจะประคองภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เป็นงานศิลปะที่น่าดื่มด่ำด้วยภาพและเนื้อหาได้ ทว่ามันก็ยังสู้รุ่นพี่อย่าง Last Live ไม่ได้อยู่ดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่