ประเทศไทยกำลังเผชิญ “กับดัก” ที่ท้าทายหลายด้าน ท่ามกลางวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันยังต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เดินหน้าลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล จัดการด้านการเงินและการลงทุน ตลอดจนการสร้างการมีส่วนร่วมของสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นโจทย์สำคัญที่อาจขวางกั้นการบรรลุเป้าหมาย Net Zero
"ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พา" อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) ให้สัมภาษณ์กับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ถึงความคืบหน้า ผลลัพธ์ และแนวทางการใช้กลยุทธ์ความยั่งยืนเพื่อปลดล็อกกับดักเหล่านี้ และพาประเทศไทยเดินหน้าไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างมั่นคง โดยกล่าวว่า แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564–2573 (NDC Action Plan 2021–2030) ได้รับความเห็นชอบจาก ครม. เมื่อเดือนธันวาคม 2567
และมีการทำงานร่วมกับ 5 ภาคส่วน ได้แก่ สาขาพลังงาน สาขาคมนาคมขนส่ง สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (IPPU) สาขาการจัดการของเสียและน้ำเสียอุตสาหกรรม และสาขาเกษตร ซึ่งกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกไม่เกินร้อยละ 40 จากกรณีปกติ (BAU) ภายในปี 2573
โดยผลการติดตามการลดก๊าซเรือนกระจกย้อนหลัง 2 ปี ซึ่งเป็นหลักสากลในการรายงานผล ความคืบหน้าที่สำคัญคือ ปี 2565 ไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 65 ล้านตัน และปี 2566 สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ก้าวกระโดดเป็นประมาณ 75 ล้านตัน
“ตัวเลขเหล่านี้สูงกว่าตัวเลขที่กำหนดไว้เป็น KPI แสดงให้เห็นว่า กับดักของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน 5 สาขาอุตสาหกรรม เริ่มถูกทลายลงแล้ว และกระบวนการทำงานของเราในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกมาถูกทาง ตอนนี้เรากำลังเดินหน้าอย่างเข้มแข็ง ต่อเนื่อง แล้วก็มีโอกาสสูงมากที่จะบรรลุผลการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายที่กำหนดไว้”
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รายงานผลเข้าสู่รายงานความโปร่งใสรายปี (Annual Transparency Report) เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2567 นับเป็นรายงานฉบับแรกของโลกที่ต้องรายงาน และไทยเป็นหนึ่งในประมาณ 60–70 ประเทศที่รายงานได้ครบถ้วนสมบูรณ์และทันเวลา
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
เร่งเป้าหมายใหม่ Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี
เพื่อนำพาประเทศออกจากกับดักความล่าช้าในการกำหนดเป้าหมายระดับโลก “ดร.พิรุณ” บอกว่า กรมฯ ได้เตรียมเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2035 (NDC 3.0) เสร็จสิ้นแล้ว โดยเปลี่ยนไปใช้การลดแบบค่าการปล่อยจริง (Absolute emission reduction) เทียบกับปีฐาน 2019
เป้าหมายใหม่ของประเทศคือการลดก๊าซเรือนกระจกลง 109.2 ล้านตัน จากค่าการปล่อยจริง 379 ล้านตันในปีฐาน ในการลดจำนวนนี้ 70% จะดำเนินการด้วยขีดความสามารถของประเทศเอง และอีก 30% จะต้องอาศัยกลไกสนับสนุนจากต่างประเทศ เช่น เงินทุนหรือการลงทุน
พร้อมกันนี้ จะเพิ่มขีดความสามารถในการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน (LULUCF) จากเดิม 107 ล้านตัน ให้เพิ่มขึ้นเป็น 118 ล้านตัน จะทำให้ Net Emission หรือการปล่อยก๊าซสุทธิของไทยอยู่ที่ 152 ล้านตัน
"ตรงนี้เป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ใน ปี 2050 เท่ากับว่า ไทยกำลังเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากแผนเดิมปี 2065 เป้าหมายนี้จะนำไปประกาศที่การประชุม COP 30 ที่บราซิลในเดือนพฤศจิกายน 2025 นี้ด้วย"
กลไกการเงิน ก้าวข้ามกับดักการลงทุน
“ดร.พิรุณ” กล่าวถึงความคืบหน้าของร่างกฎหมายสำคัญและกลไกทางการเงิน ที่กำลังช่วยให้ประเทศไทย “หลุดพ้นจากกับดักด้านการลงทุน” เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ว่า กรมฯ ได้มีการออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (SLB) โดยขับเคลื่อนร่วมกับกระทรวงการคลัง และใช้เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกปี 2030 ของประเทศเป็นเกณฑ์สำคัญ
กลไกนี้ถูกออกแบบให้เป็นแรงจูงใจทางการเงินที่ชัดเจน หากประเทศไม่สามารถทำได้ตามเป้า ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็จะสูงขึ้น ปัจจุบันตลาดตอบรับอย่างล้นหลาม ยอดจองซื้อสูงถึง 50,000 ล้านบาท
นอกจากนั้น ยังเร่งความคืบหน้า พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และได้ถูกเสนอเข้าสู่กระบวนการ ครม. เมื่อ ครม. ชุดใหม่เข้ามา ก็จะมีการนำร่างกลับมาเพื่อยืนยัน และสามารถเดินหน้าต่อได้ทันที โดยคาดว่ากฎหมายฉบับนี้จะประกาศใช้ได้ภายในปีหน้า ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการคลี่คลายกับดักด้านนโยบาย
กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เป็นอีกกลไกที่ถือเป็น “ตัวปลดล็อก” ซึ่งได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการทุนหมุนเวียนแล้ว และได้รับการยืนยัน
จากกระทรวงการคลังว่า รายได้จาก พ.ร.บ. จะไม่ต้องนำส่งคลัง แต่สามารถเข้ากองทุนได้โดยตรง กองทุนนี้จะเป็นนิติบุคคลแยกออกมาโดยเฉพาะ เพื่อสนับสนุนเอกชนด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และช่วยโครงการปรับตัวในระดับท้องถิ่นโดยตรง
กับดักที่ใหญ่ที่สุด : การมีส่วนร่วมและความต่อเนื่อง
“ดร.พิรุณ” ชี้ชัดว่า กับดักที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในการจัดการปัญหาโลกร้อนและทำตามเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ใน ปี 2050 คือการขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน
“แม้เรื่องภาวะโลกร้อนจะเริ่มถูกพูดถึงกว้างขึ้น แต่ในความเป็นจริง ความเข้าใจยังอยู่ในวงจำกัด และที่สำคัญคือ คนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง”
นอกจากการมีส่วนร่วมแล้ว อีกหนึ่งกับดักสำคัญคือ “ความไม่ต่อเนื่อง” โดยเฉพาะด้านนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปตามรัฐบาล รวมถึงความไม่แน่นอนจากท่าทีของประเทศมหาอำนาจ
“สิ่งที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของเราก็คือ การเห็นบางประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่อาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง”
อย่างไรก็ตาม "ดร.พิรุณ" ย้ำว่า ประเทศไทยไม่สามารถหยุดเดินหน้าได้ ประเทศไทยต้องมีความมุ่งมั่นในการสร้างความพร้อมเพื่อรองรับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ… “ประเทศมหาอำนาจอาจเลือกหยุดทำ แต่สำหรับเรา เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเดินหน้าต่อ เพราะถ้าเราหยุด เรากลับมาไม่ได้”
ฝ่ากับดัก 'สังคมคาร์บอนต่ำ' ภารกิจใหญ่ 'สร้างการมีส่วนร่วม-ความต่อเนื่อง'