อ่านแล้วเหมือนมีเพื่อนมานั่งข้าง ๆ สอนวิธีคุยให้สนุก
เคยเป็นไหมครับ… เวลามีงานเลี้ยงหรือเจอคนใหม่ ๆ แล้วเราเลือกนั่งเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุย แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง กลัวพูดแล้วจะน่าเบื่อ หรือกลัวเล่าอะไรออกมาแล้วอีกฝ่ายไม่อิน สุดท้ายเลยได้แต่ยิ้ม พยักหน้าตามน้ำ แล้วก็รอให้เวลาเดินไปเรื่อย ๆ
ผมเองเคยเป็นแบบนั้นเป๊ะ ๆ เลยครับ พอเจอคนที่คุยเก่ง ๆ ทีไร ก็มักจะคิดในใจว่า “ทำไมเขาทำได้ง่ายจัง?” แค่ชวนคุยเรื่องกาแฟ เรื่องเพลง หรือเล่าเรื่องเล็ก ๆ ที่เจอมา แต่บรรยากาศกลับเบิกบานจนคนอยากอยู่ใกล้ตลอดเวลา
จนมาเจอหนังสือเล่มนี้ —
คุยลื่น ไม่สะดุด ที่เขียนโดยคนที่เคยผ่านประสบการณ์ “นั่งเงียบเป็นเงาในวงสนทนา” มาก่อนเหมือนกัน แต่เขาลองผิดลองถูกจนเจอเครื่องมือเล็ก ๆ ที่ช่วยให้การคุยสนุกขึ้นได้จริง
และข่าวดีคือ…
ทักษะการคุยไม่ได้เป็นพรสวรรค์ แต่เป็นสิ่งที่ฝึกได้
📌 หนังสือเล่มนี้เล่าอะไร?
โครงสร้างหลักของเล่มนี้คือ
7 เทคนิคที่จะทำให้การคุยลื่นไหล และ
5 ข้อห้ามที่ทำให้การคุยสะดุด
ยกตัวอย่างที่ผมอ่านแล้วชอบมาก:
บทสนทนาเหมือนปิงปอง ไม่ใช่วิ่งผลัดคนเดียว
คนคุยสนุกจะไม่พูดยาวจนอีกฝ่ายกลายเป็นผู้ชม แต่จะเปิดช่องให้โต้ตอบไปมา เหมือนตีปิงปองที่มันส์ตรงที่ได้ตีโต้ ไม่ใช่ตีใส่กำแพงอยู่ฝ่ายเดียว
เริ่มจากสิ่งรอบตัว (Ice Breaker)
อยากคุยกับคนแปลกหน้าแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? ลองเริ่มจากสิ่งที่แชร์ร่วมกัน เช่น “เพลงในร้านนี้เพราะดีเนอะ” แค่นี้ก็พอจะเปิดประตูบทสนทนาได้แล้ว
คำถามปลายเปิดคือกุญแจ
เลิกถามแบบ “ใช่/ไม่ใช่” อย่าง “ทำงานที่นี่นานหรือยัง?” เพราะคำตอบมันจบสั้นทันที แต่ถ้าถามว่า “พอทำงานที่นี่แล้ว เจออะไรไม่คาดคิดบ้าง?” อันนี้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเล่าเต็มที่
หา “ประกายตา” ของอีกฝ่าย
ทุกคนมีหัวข้อที่พูดแล้วตาเป็นประกาย ถ้าเราหาเจอ บทสนทนาจะกลายเป็นมีชีวิตชีวาทันที
สะท้อนและต่อยอด (Reflect & Build)
ไม่ใช่แค่ฟังเฉย ๆ แต่สะท้อนคำที่เขาพูด แล้วถามต่อ เช่น เขาบอกว่า “ทำขนมแล้วใจนิ่ง” เราอาจตอบว่า “ฟังดูเหมือนการทำขนมเป็นมากกว่ากิจกรรมธรรมดาเลยนะครับ อะไรทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นที่สุด?” เท่านี้ไฟบทสนทนาก็ไม่ดับกลางทาง
และยังมีอีกหลายบทที่อ่านแล้ว “เออจริงแฮะ” เช่น การแชร์เรื่องตัวเองแค่พอดี (ไม่เกิน 20 วินาที), การใช้ภาษากายช่วยคุย หรือแม้แต่เทคนิคการปิดการสนทนาแบบมี “สะพานกลับ” ที่ทำให้การคุยไม่จบแบบตัดขาด แต่เหมือนยังมีเหตุผลจะกลับมาเจอกันอีก
📌 แล้วอะไรคือ “5 ข้อห้าม” ที่ทำให้คุยแล้วไม่น่าสนใจ?
คนเขียนก็เตือนแบบตรง ๆ แต่เล่าเบา ๆ ขำ ๆ ว่า อย่าทำแบบนี้เด็ดขาด เช่น
พูดถึงตัวเองยาวเกินไป (เหมือนเปิดไมค์เล่าคนเดียว)
ยิงคำถามรัว ๆ เหมือนสอบสวน
ฝืนคุยเรื่องที่เราไม่อิน
ใช้มุกตลกพร่ำเพรื่อ
จริงจังเกินไปจนบรรยากาศอึดอัด
อ่านแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะเคยทำมาหมดแล้วทุกข้อ 😅
📌 ทำไมผมถึงชอบเล่มนี้?
อ่านง่าย เหมือนเพื่อนมาเล่าให้ฟัง
ไม่ใช่ตำราหนัก ๆ ไม่มีศัพท์วิชาการให้ปวดหัว แต่เต็มไปด้วยตัวอย่างจากชีวิตจริงที่เรานึกภาพออกทันที
ใช้ได้จริงทันที
แต่ละบทมี “สคริปต์พร้อมใช้” เช่น เวลาจะชวนคุยกับคนแปลกหน้า แค่พูดว่า
“เพลย์ลิสต์ร้านนี้เพราะดี ฟังแนวนี้บ่อยไหมครับ?” ประโยคเล็ก ๆ ที่ทำให้คุยต่อได้ยาวเลย
มีแบบฝึกหัดเล็ก ๆ ให้ลอง
เช่น ฝึกตั้งคำถามปิดให้เป็นคำถามเปิด, ฝึกเล่าเรื่องตัวเองไม่เกิน 20 วินาที ฯลฯ ทำแล้วเห็นผลชัด
เป็นกำลังใจให้คนขี้อาย
คนเขียนเองก็เคยเป็น “เงาในวงสนทนา” มาก่อน เลยเข้าใจความรู้สึก และถ่ายทอดออกมาอย่างอ่อนโยน ไม่ตัดสิน
📌 ได้ข้อคิดอะไรกลับมา?
สิ่งที่ผมเก็บไว้คือ…
การคุยที่ดีไม่ใช่เรื่องพูดเก่ง แต่คือการ “สร้างพื้นที่” ให้ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนกัน
บางทีเราอาจเคยคิดว่า ถ้าจะเป็นคนคุยสนุก ต้องมีเรื่องเล่าเด็ด ๆ หรือมุกฮา ๆ ตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ทำให้คนอยากคุยกับเรา คือเขารู้สึกว่า
ตัวเขาเองถูกฟัง ถูกเห็น และสบายใจเวลาอยู่ใกล้เรา
📌 สรุป
หนังสือ
คุยลื่น ไม่สะดุด เหมาะมากสำหรับใครที่…
เป็นคนขี้อาย ไม่รู้จะคุยอะไรดี
กลัวว่าตัวเองจะน่าเบื่อในวงสนทนา
อยากมีเพื่อนใหม่ หรืออยากทำความรู้จักกับคนมากขึ้น
หรือแม้แต่คนที่คุยเก่งอยู่แล้ว แต่อยากคุย “เป็นธรรมชาติ” มากขึ้น
อ่านแล้วไม่ได้แค่ได้เทคนิค แต่ยังรู้สึกเหมือนมีเพื่อนที่เข้าใจเรามากระซิบว่า “ไม่เป็นไรหรอกนะ ทุกอย่างฝึกได้”
📌 ปิดท้าย
ผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกมั่นใจและสนุกกับการคุยมากขึ้น
เพราะสุดท้าย คนเราอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราคุยเรื่องอะไร แต่เราจะจำได้เสมอว่า
เรารู้สึกยังไงตอนคุยกับกันและกัน
ถ้าใครสนใจ ลองหาหนังสือ
“คุยลื่น ไม่สะดุด: 7 เทคนิค + 5 ข้อห้าม ทำให้ใคร ๆ ก็อยากคุยกับคุณ” มาอ่านดูครับ อ่านเพลิน แถมใช้ได้จริงแน่นอน 👍
ซื้อและทดลองอ่านฟรีได้ที่
https://www.hytexts.com/ebook/1c21f4c2-2997-4a97-82af-66e885c4a44e
[รีวิวหนังสือ] คุยลื่น ไม่สะดุด: 7 เทคนิค + 5 ข้อห้าม ทำให้ใคร ๆ ก็อยากคุยกับคุณ
อ่านแล้วเหมือนมีเพื่อนมานั่งข้าง ๆ สอนวิธีคุยให้สนุก
เคยเป็นไหมครับ… เวลามีงานเลี้ยงหรือเจอคนใหม่ ๆ แล้วเราเลือกนั่งเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุย แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง กลัวพูดแล้วจะน่าเบื่อ หรือกลัวเล่าอะไรออกมาแล้วอีกฝ่ายไม่อิน สุดท้ายเลยได้แต่ยิ้ม พยักหน้าตามน้ำ แล้วก็รอให้เวลาเดินไปเรื่อย ๆ
ผมเองเคยเป็นแบบนั้นเป๊ะ ๆ เลยครับ พอเจอคนที่คุยเก่ง ๆ ทีไร ก็มักจะคิดในใจว่า “ทำไมเขาทำได้ง่ายจัง?” แค่ชวนคุยเรื่องกาแฟ เรื่องเพลง หรือเล่าเรื่องเล็ก ๆ ที่เจอมา แต่บรรยากาศกลับเบิกบานจนคนอยากอยู่ใกล้ตลอดเวลา
จนมาเจอหนังสือเล่มนี้ — คุยลื่น ไม่สะดุด ที่เขียนโดยคนที่เคยผ่านประสบการณ์ “นั่งเงียบเป็นเงาในวงสนทนา” มาก่อนเหมือนกัน แต่เขาลองผิดลองถูกจนเจอเครื่องมือเล็ก ๆ ที่ช่วยให้การคุยสนุกขึ้นได้จริง
และข่าวดีคือ… ทักษะการคุยไม่ได้เป็นพรสวรรค์ แต่เป็นสิ่งที่ฝึกได้
📌 หนังสือเล่มนี้เล่าอะไร?
โครงสร้างหลักของเล่มนี้คือ 7 เทคนิคที่จะทำให้การคุยลื่นไหล และ 5 ข้อห้ามที่ทำให้การคุยสะดุด
ยกตัวอย่างที่ผมอ่านแล้วชอบมาก:
บทสนทนาเหมือนปิงปอง ไม่ใช่วิ่งผลัดคนเดียว
คนคุยสนุกจะไม่พูดยาวจนอีกฝ่ายกลายเป็นผู้ชม แต่จะเปิดช่องให้โต้ตอบไปมา เหมือนตีปิงปองที่มันส์ตรงที่ได้ตีโต้ ไม่ใช่ตีใส่กำแพงอยู่ฝ่ายเดียว
เริ่มจากสิ่งรอบตัว (Ice Breaker)
อยากคุยกับคนแปลกหน้าแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? ลองเริ่มจากสิ่งที่แชร์ร่วมกัน เช่น “เพลงในร้านนี้เพราะดีเนอะ” แค่นี้ก็พอจะเปิดประตูบทสนทนาได้แล้ว
คำถามปลายเปิดคือกุญแจ
เลิกถามแบบ “ใช่/ไม่ใช่” อย่าง “ทำงานที่นี่นานหรือยัง?” เพราะคำตอบมันจบสั้นทันที แต่ถ้าถามว่า “พอทำงานที่นี่แล้ว เจออะไรไม่คาดคิดบ้าง?” อันนี้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเล่าเต็มที่
หา “ประกายตา” ของอีกฝ่าย
ทุกคนมีหัวข้อที่พูดแล้วตาเป็นประกาย ถ้าเราหาเจอ บทสนทนาจะกลายเป็นมีชีวิตชีวาทันที
สะท้อนและต่อยอด (Reflect & Build)
ไม่ใช่แค่ฟังเฉย ๆ แต่สะท้อนคำที่เขาพูด แล้วถามต่อ เช่น เขาบอกว่า “ทำขนมแล้วใจนิ่ง” เราอาจตอบว่า “ฟังดูเหมือนการทำขนมเป็นมากกว่ากิจกรรมธรรมดาเลยนะครับ อะไรทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นที่สุด?” เท่านี้ไฟบทสนทนาก็ไม่ดับกลางทาง
และยังมีอีกหลายบทที่อ่านแล้ว “เออจริงแฮะ” เช่น การแชร์เรื่องตัวเองแค่พอดี (ไม่เกิน 20 วินาที), การใช้ภาษากายช่วยคุย หรือแม้แต่เทคนิคการปิดการสนทนาแบบมี “สะพานกลับ” ที่ทำให้การคุยไม่จบแบบตัดขาด แต่เหมือนยังมีเหตุผลจะกลับมาเจอกันอีก
📌 แล้วอะไรคือ “5 ข้อห้าม” ที่ทำให้คุยแล้วไม่น่าสนใจ?
คนเขียนก็เตือนแบบตรง ๆ แต่เล่าเบา ๆ ขำ ๆ ว่า อย่าทำแบบนี้เด็ดขาด เช่น
พูดถึงตัวเองยาวเกินไป (เหมือนเปิดไมค์เล่าคนเดียว)
ยิงคำถามรัว ๆ เหมือนสอบสวน
ฝืนคุยเรื่องที่เราไม่อิน
ใช้มุกตลกพร่ำเพรื่อ
จริงจังเกินไปจนบรรยากาศอึดอัด
อ่านแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะเคยทำมาหมดแล้วทุกข้อ 😅
📌 ทำไมผมถึงชอบเล่มนี้?
อ่านง่าย เหมือนเพื่อนมาเล่าให้ฟัง
ไม่ใช่ตำราหนัก ๆ ไม่มีศัพท์วิชาการให้ปวดหัว แต่เต็มไปด้วยตัวอย่างจากชีวิตจริงที่เรานึกภาพออกทันที
ใช้ได้จริงทันที
แต่ละบทมี “สคริปต์พร้อมใช้” เช่น เวลาจะชวนคุยกับคนแปลกหน้า แค่พูดว่า “เพลย์ลิสต์ร้านนี้เพราะดี ฟังแนวนี้บ่อยไหมครับ?” ประโยคเล็ก ๆ ที่ทำให้คุยต่อได้ยาวเลย
มีแบบฝึกหัดเล็ก ๆ ให้ลอง
เช่น ฝึกตั้งคำถามปิดให้เป็นคำถามเปิด, ฝึกเล่าเรื่องตัวเองไม่เกิน 20 วินาที ฯลฯ ทำแล้วเห็นผลชัด
เป็นกำลังใจให้คนขี้อาย
คนเขียนเองก็เคยเป็น “เงาในวงสนทนา” มาก่อน เลยเข้าใจความรู้สึก และถ่ายทอดออกมาอย่างอ่อนโยน ไม่ตัดสิน
📌 ได้ข้อคิดอะไรกลับมา?
สิ่งที่ผมเก็บไว้คือ… การคุยที่ดีไม่ใช่เรื่องพูดเก่ง แต่คือการ “สร้างพื้นที่” ให้ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนกัน
บางทีเราอาจเคยคิดว่า ถ้าจะเป็นคนคุยสนุก ต้องมีเรื่องเล่าเด็ด ๆ หรือมุกฮา ๆ ตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ทำให้คนอยากคุยกับเรา คือเขารู้สึกว่า ตัวเขาเองถูกฟัง ถูกเห็น และสบายใจเวลาอยู่ใกล้เรา
📌 สรุป
หนังสือ คุยลื่น ไม่สะดุด เหมาะมากสำหรับใครที่…
เป็นคนขี้อาย ไม่รู้จะคุยอะไรดี
กลัวว่าตัวเองจะน่าเบื่อในวงสนทนา
อยากมีเพื่อนใหม่ หรืออยากทำความรู้จักกับคนมากขึ้น
หรือแม้แต่คนที่คุยเก่งอยู่แล้ว แต่อยากคุย “เป็นธรรมชาติ” มากขึ้น
อ่านแล้วไม่ได้แค่ได้เทคนิค แต่ยังรู้สึกเหมือนมีเพื่อนที่เข้าใจเรามากระซิบว่า “ไม่เป็นไรหรอกนะ ทุกอย่างฝึกได้”
📌 ปิดท้าย
ผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกมั่นใจและสนุกกับการคุยมากขึ้น
เพราะสุดท้าย คนเราอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราคุยเรื่องอะไร แต่เราจะจำได้เสมอว่า เรารู้สึกยังไงตอนคุยกับกันและกัน
ถ้าใครสนใจ ลองหาหนังสือ “คุยลื่น ไม่สะดุด: 7 เทคนิค + 5 ข้อห้าม ทำให้ใคร ๆ ก็อยากคุยกับคุณ” มาอ่านดูครับ อ่านเพลิน แถมใช้ได้จริงแน่นอน 👍
ซื้อและทดลองอ่านฟรีได้ที่ https://www.hytexts.com/ebook/1c21f4c2-2997-4a97-82af-66e885c4a44e