💸💸💸💸💸💸💸💸💸💸💸💸💸💸💸
คุณรู้มั้ยว่าเวลานั่งอยู่ในห้องประชุมกับบริษัทใหญ่ ๆ มันไม่ได้หรูหราอย่างที่คนชอบจินตนาการหรอกค่ะ
ไม่มีใครนั่งจิบไวน์หอม ๆ แล้วคุยกันเรื่องอนาคตโลกสวย ๆ หรอก
จริง ๆ มันเต็มไปด้วยเสียงถอนหายใจ กาแฟขม ๆ และคนทำหน้ายังกะเพิ่งเจอ ex ที่ยืมเงินไปแล้วยังไม่คืน
ฉันนั่งประชุมกับ CFO ญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาหันมายิ้มบาง ๆ แล้วบอกว่า
“เราไม่ hedge หรอก ค่าเงินมันก็ขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวก็กลับมา”
ตอนนั้นในใจฉันอยากจะเอาแฟ้มปาใส่หน้าท่านเลยค่ะ เพราะฉันบรรจงปั้นพอร์ตให้กำไรทั้งปีมาแทบตาย แต่เงินหายเพราะ โอปป้าแค่งก ไม่ยอมhedge FX เพราะไม่อยากจ่ายค่า Hedging cost
คืออยากบอกว่า “คุณพี่คะ FX loss มันไม่หายไปเองเหมือนสิวบนหน้าหรอกนะคะ มันกัดพอร์ตคุณเหมือนปลวกแทะบ้านทุกคืน”
สามเดือนต่อมา เยนแข็งเข้าเต็ม ๆ
กำไรที่ควรจะโชว์สวย ๆ ในรายงาน หายวับไปยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในไตรมาสเดียว
สีหน้าเขาวันนั้นซีดเหมือนเจอเมียน้อยโผล่มางานแต่งลูกสาว
และนั่นคือบทเรียนราคาแพงที่สุดของการคิดว่า “ชิลไปเดี๋ยวก็หาย”
Hedging = ถุงยางของโลกการเงิน (หวังว่าแม่ฉันจะไม่มาอ่านวันนี้นะ)
พูดตรง ๆ Hedging ก็คือถุงยางของโลกธุรกิจ
ไม่ทำก็เสียวได้ แต่อย่าโวยวายทีหลังเวลาติดโรคหรือท้องไม่พร้อม
มาเข้าใจเรื่องนี้กันค่ะ
FX hedge ป้องกันกำไรไม่หายไปกับค่าเงิน
Interest rate hedge กันดอกเบี้ยวิ่งขึ้นจนต้นทุนบวม
Supply chain hedge ก็เหมือนการมีบ้านอีกหลังไว้พักร้อน เผื่อบ้านหลักโดนไฟไหม้
ปัญหาคือผู้บริหารบางคนชอบคิดว่า “เรื่องพวกนี้มันเป็นรายละเอียด”
ค่ะ รายละเอียดนี่แหละที่ฆ่าบริษัทมาแล้วนับไม่ถ้วน
บริษัทใหญ่ = เล่นเกมตั้งรับ
ตอนนี้บริษัทใหญ่ในเอเชียกำลังเล่นเกมเหมือนทหารที่รู้ว่าศึกใหญ่กำลังมา
พวกเขาอัดเงินกับ Hedging policy อัปเดตใหม่ทุกไตรมาส
เพราะไม่งั้น FX swing ทีเดียว = กำไรทั้งปีละลาย
ฉันเคยเห็นบริษัทเกาหลีที่เกือบเจ๊งเพราะ supply chain พังจากโควิด
ตั้งแต่นั้นพวกเขากระจายโรงงานไปเวียดนาม อินโดนีเซีย
บางทีการป้องกันมันก็ไม่ใช่เรื่องกำไร แต่คือ ความอยู่รอด
บริษัทกลาง (Mid-cap) = เล่นเกมรุก ค่ะคุณ
ถ้าบริษัทใหญ่เล่นตั้งรับ บริษัท Mid-cap ก็คือพวกเด็กแสบที่พุ่งเข้าไปกลางสนามพร้อมมีดพก😅
พวกเขาไม่ได้กลัว volatility เท่าบริษัทใหญ่ เพราะไม่ต้องผูกทั้งชีวิตไว้กับตลาดโลก
เขาเก็บกำไรจาก local demand ที่กำลังโต
• จีน อินเดีย = AI, Healthcare โตแรง
• ไทย สิงคโปร์ = Consumer demand ดันธุรกิจไปได้เรื่อย
• ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย = Private Equity ลงทุน data center รัว ๆ เพราะ AI ต้องใช้ server มหาศาล
ฉันเคยเจอบริษัทอินเดียที่ห้าปีก่อนยังเป็น SME เล็ก ๆ แต่วันนี้กลายเป็น unicorn เพราะ Venture Capital อัดเงินใส่ไม่ยั้ง
นี่แหละเสน่ห์ของ Mid-cap คือ ไม่ต้องเล่นตามกติกาคนแก่
Innovation Economy = เรื่องที่โลกยังไม่ทัน
เวลาคนไทยยังถกกันว่า “AI จะมาแย่งงานมั้ย”
จีนกับอินเดียกำลังสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ให้เดินในโรงงานจริงแล้วค่ะ
จีนบ้า Biotech อินเดียบ้าหาเงินผ่าน Private Credit
และทั้งสองประเทศกำลังกลายเป็น ecosystem ของ innovation ที่ใหญ่ที่สุดรองจากสหรัฐ
ฉันหัวเราะเบา ๆ เวลามีใครพูดว่า “อยากไปซิลิคอนวัลเลย์”
ในใจคิดเลยว่า “เธอควรบินมาเซี่ยงไฮ้หรือบังกาลอร์มากกว่านะคะ darling”
Private Capital = น้ำท่วมกำลังมา
นักลงทุนเริ่มรู้แล้วว่าสหรัฐมันอิ่ม Asia ยังโต
JP Morgan กด commit 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ลง APAC โดยตรง
เงินมันกำลังวิ่งเข้ามาเหมือนน้ำท่วม ใครไม่หาที่สูงเกาะไว้ก็จมแน่
และนี่ไม่ใช่เงินร้อนระยะสั้น แต่คือ private credit, venture capital ที่จริงจัง
จะซื้อบริษัท จะปั้น unicorn จะสร้าง data center มาเลยค่ะเงินพร้อมหมด
Cross-border banking = ด่านปราบเซียน
ใครที่คิดว่าการขยายไปประเทศอื่นคือเรื่องง่าย ขอโทษค่ะ…คุณกำลังฝันอยู่
ไปเกาหลี → corporate governance โคตรเข้ม
มาเลย์ → capital requirement แปลกจนงง
ไทย → กฎเปลี่ยนตามรัฐบาลแทบทุกปี
นี่คือเหตุผลว่าทำไม bank ใหญ่ ๆ ต้องมี country desk จริง ๆ
เพราะถ้าคุณไม่รู้รายละเอียด local rule คุณไม่ได้แค่ล้ม แต่คือโดนปรับ โดนปิด
โลกจริงมันโหดกว่าที่คุณคิด
อย่าหาว่าฉันพูดแรงนะ แต่ทุกครั้งที่เห็นบริษัทเจ๊งเพราะเรื่องเล็ก ๆ ฉันอยากตะโกนดัง ๆ ในห้องประชุม
• ไม่ hedge → กำไรหายเป็นเงา
• ไม่กล้ากู้ → คู่แข่งซื้อกิจการแซงหน้า
• ไม่ diversify → โรงงานพังปุ๊บ ตลาดปิดปั๊บ
• ไม่รู้ local rule → โดนฟ้อง โดนปรับ โดนปิด
ฉันเคยเห็นพอร์ตบริษัทใหญ่ที่หายไปหลายพันล้านเหรียญ เพราะคิดว่า “เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ”
มันโยงกลับมาที่ฉันยังไง
ชีวิตฉันเต็มไปด้วยเรื่องแบบนี้
• ลูกค้าพอร์ต 200 ล้านเหรียญ หายไป 20% เพราะไม่ hedge
• CFO ญี่ปุ่นหัวเราะใส่ฉันค่ะเรื่อง FX → สุดท้ายหน้าแทบซีด
• เจ้าของธุรกิจไทยไม่กล้าออก bond → ถูกคู่แข่งซื้อกิจการแล้วตกรถไฟทั้งขบวน
ฉันเลยพูดเสมอว่า เงินไม่ใช่แค่ตัวเลข มันคืออาวุธ
ใครใช้ไม่เป็น = ถูกยิงตายก่อน
ใครใช้เป็น = ครองเกม
บทเรียนที่อยากทิ้งไว้
Asia Pacific วันนี้มันไม่ใช่สนามซ้อม แต่คือสนามจริง
บริษัทใหญ่กำลังใส่เกราะ Hedging
Mid-cap กำลังวิ่งบุกด้วย innovation
Private Capital อัดเงินเข้ามาเหมือนน้ำหลาก
Supply chain ถูกจัดใหม่ทั้งภูมิภาค
ถ้าคุณยังนั่งสบายใจอยู่กับ narrative เก่า ๆ
คุณกำลังนอนอยู่บนภูเขาน้ำแข็งที่ละลายช้า ๆ
และฉันพูดตรง ๆ เลย…
อย่าประมาทเอเชีย
เลือดใหม่ของการเงินโลกไม่ได้หมุนอยู่ที่ Wall Street อีกแล้ว แต่มันวิ่งอยู่ในเอเชีย
ปล. เรื่องที่สำคัญมากและขอให้คุณต้องตามไปอ่านต่อ คือ Hedging cost อ่านได้ที่เพจลงทุนนอกนะคะ ละเอียดและเป็นกูรูด้านนี้อย่างแท้จริง
✍️ แอนนาเบล
Private Banker ที่เคยเห็นลูกค้ารวยล้น แต่เจ๊งเพราะเล่นเกมการเงินไม่เป็น และกำลังเห็นเอเชียกลายเป็นสนามจริงที่คนไทยไม่ควรหลับหูหลับตาเด็ดขาดค่ะ
CR :
https://www.facebook.com/share/175yHu646D/?mibextid=wwXIfr
💸 เอเชียกำลังเดือด: ใครไม่ทำ Hedging วันนี้ = พรุ่งนี้อาจนอนกอดหนี้
คุณรู้มั้ยว่าเวลานั่งอยู่ในห้องประชุมกับบริษัทใหญ่ ๆ มันไม่ได้หรูหราอย่างที่คนชอบจินตนาการหรอกค่ะ
ไม่มีใครนั่งจิบไวน์หอม ๆ แล้วคุยกันเรื่องอนาคตโลกสวย ๆ หรอก
จริง ๆ มันเต็มไปด้วยเสียงถอนหายใจ กาแฟขม ๆ และคนทำหน้ายังกะเพิ่งเจอ ex ที่ยืมเงินไปแล้วยังไม่คืน
ฉันนั่งประชุมกับ CFO ญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาหันมายิ้มบาง ๆ แล้วบอกว่า
“เราไม่ hedge หรอก ค่าเงินมันก็ขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวก็กลับมา”
ตอนนั้นในใจฉันอยากจะเอาแฟ้มปาใส่หน้าท่านเลยค่ะ เพราะฉันบรรจงปั้นพอร์ตให้กำไรทั้งปีมาแทบตาย แต่เงินหายเพราะ โอปป้าแค่งก ไม่ยอมhedge FX เพราะไม่อยากจ่ายค่า Hedging cost
คืออยากบอกว่า “คุณพี่คะ FX loss มันไม่หายไปเองเหมือนสิวบนหน้าหรอกนะคะ มันกัดพอร์ตคุณเหมือนปลวกแทะบ้านทุกคืน”
สามเดือนต่อมา เยนแข็งเข้าเต็ม ๆ
กำไรที่ควรจะโชว์สวย ๆ ในรายงาน หายวับไปยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในไตรมาสเดียว
สีหน้าเขาวันนั้นซีดเหมือนเจอเมียน้อยโผล่มางานแต่งลูกสาว
และนั่นคือบทเรียนราคาแพงที่สุดของการคิดว่า “ชิลไปเดี๋ยวก็หาย”
Hedging = ถุงยางของโลกการเงิน (หวังว่าแม่ฉันจะไม่มาอ่านวันนี้นะ)
พูดตรง ๆ Hedging ก็คือถุงยางของโลกธุรกิจ
ไม่ทำก็เสียวได้ แต่อย่าโวยวายทีหลังเวลาติดโรคหรือท้องไม่พร้อม
มาเข้าใจเรื่องนี้กันค่ะ
FX hedge ป้องกันกำไรไม่หายไปกับค่าเงิน
Interest rate hedge กันดอกเบี้ยวิ่งขึ้นจนต้นทุนบวม
Supply chain hedge ก็เหมือนการมีบ้านอีกหลังไว้พักร้อน เผื่อบ้านหลักโดนไฟไหม้
ปัญหาคือผู้บริหารบางคนชอบคิดว่า “เรื่องพวกนี้มันเป็นรายละเอียด”
ค่ะ รายละเอียดนี่แหละที่ฆ่าบริษัทมาแล้วนับไม่ถ้วน
บริษัทใหญ่ = เล่นเกมตั้งรับ
ตอนนี้บริษัทใหญ่ในเอเชียกำลังเล่นเกมเหมือนทหารที่รู้ว่าศึกใหญ่กำลังมา
พวกเขาอัดเงินกับ Hedging policy อัปเดตใหม่ทุกไตรมาส
เพราะไม่งั้น FX swing ทีเดียว = กำไรทั้งปีละลาย
ฉันเคยเห็นบริษัทเกาหลีที่เกือบเจ๊งเพราะ supply chain พังจากโควิด
ตั้งแต่นั้นพวกเขากระจายโรงงานไปเวียดนาม อินโดนีเซีย
บางทีการป้องกันมันก็ไม่ใช่เรื่องกำไร แต่คือ ความอยู่รอด
บริษัทกลาง (Mid-cap) = เล่นเกมรุก ค่ะคุณ
ถ้าบริษัทใหญ่เล่นตั้งรับ บริษัท Mid-cap ก็คือพวกเด็กแสบที่พุ่งเข้าไปกลางสนามพร้อมมีดพก😅
พวกเขาไม่ได้กลัว volatility เท่าบริษัทใหญ่ เพราะไม่ต้องผูกทั้งชีวิตไว้กับตลาดโลก
เขาเก็บกำไรจาก local demand ที่กำลังโต
• จีน อินเดีย = AI, Healthcare โตแรง
• ไทย สิงคโปร์ = Consumer demand ดันธุรกิจไปได้เรื่อย
• ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย = Private Equity ลงทุน data center รัว ๆ เพราะ AI ต้องใช้ server มหาศาล
ฉันเคยเจอบริษัทอินเดียที่ห้าปีก่อนยังเป็น SME เล็ก ๆ แต่วันนี้กลายเป็น unicorn เพราะ Venture Capital อัดเงินใส่ไม่ยั้ง
นี่แหละเสน่ห์ของ Mid-cap คือ ไม่ต้องเล่นตามกติกาคนแก่
Innovation Economy = เรื่องที่โลกยังไม่ทัน
เวลาคนไทยยังถกกันว่า “AI จะมาแย่งงานมั้ย”
จีนกับอินเดียกำลังสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ให้เดินในโรงงานจริงแล้วค่ะ
จีนบ้า Biotech อินเดียบ้าหาเงินผ่าน Private Credit
และทั้งสองประเทศกำลังกลายเป็น ecosystem ของ innovation ที่ใหญ่ที่สุดรองจากสหรัฐ
ฉันหัวเราะเบา ๆ เวลามีใครพูดว่า “อยากไปซิลิคอนวัลเลย์”
ในใจคิดเลยว่า “เธอควรบินมาเซี่ยงไฮ้หรือบังกาลอร์มากกว่านะคะ darling”
Private Capital = น้ำท่วมกำลังมา
นักลงทุนเริ่มรู้แล้วว่าสหรัฐมันอิ่ม Asia ยังโต
JP Morgan กด commit 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ลง APAC โดยตรง
เงินมันกำลังวิ่งเข้ามาเหมือนน้ำท่วม ใครไม่หาที่สูงเกาะไว้ก็จมแน่
และนี่ไม่ใช่เงินร้อนระยะสั้น แต่คือ private credit, venture capital ที่จริงจัง
จะซื้อบริษัท จะปั้น unicorn จะสร้าง data center มาเลยค่ะเงินพร้อมหมด
Cross-border banking = ด่านปราบเซียน
ใครที่คิดว่าการขยายไปประเทศอื่นคือเรื่องง่าย ขอโทษค่ะ…คุณกำลังฝันอยู่
ไปเกาหลี → corporate governance โคตรเข้ม
มาเลย์ → capital requirement แปลกจนงง
ไทย → กฎเปลี่ยนตามรัฐบาลแทบทุกปี
นี่คือเหตุผลว่าทำไม bank ใหญ่ ๆ ต้องมี country desk จริง ๆ
เพราะถ้าคุณไม่รู้รายละเอียด local rule คุณไม่ได้แค่ล้ม แต่คือโดนปรับ โดนปิด
โลกจริงมันโหดกว่าที่คุณคิด
อย่าหาว่าฉันพูดแรงนะ แต่ทุกครั้งที่เห็นบริษัทเจ๊งเพราะเรื่องเล็ก ๆ ฉันอยากตะโกนดัง ๆ ในห้องประชุม
• ไม่ hedge → กำไรหายเป็นเงา
• ไม่กล้ากู้ → คู่แข่งซื้อกิจการแซงหน้า
• ไม่ diversify → โรงงานพังปุ๊บ ตลาดปิดปั๊บ
• ไม่รู้ local rule → โดนฟ้อง โดนปรับ โดนปิด
ฉันเคยเห็นพอร์ตบริษัทใหญ่ที่หายไปหลายพันล้านเหรียญ เพราะคิดว่า “เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ”
มันโยงกลับมาที่ฉันยังไง
ชีวิตฉันเต็มไปด้วยเรื่องแบบนี้
• ลูกค้าพอร์ต 200 ล้านเหรียญ หายไป 20% เพราะไม่ hedge
• CFO ญี่ปุ่นหัวเราะใส่ฉันค่ะเรื่อง FX → สุดท้ายหน้าแทบซีด
• เจ้าของธุรกิจไทยไม่กล้าออก bond → ถูกคู่แข่งซื้อกิจการแล้วตกรถไฟทั้งขบวน
ฉันเลยพูดเสมอว่า เงินไม่ใช่แค่ตัวเลข มันคืออาวุธ
ใครใช้ไม่เป็น = ถูกยิงตายก่อน
ใครใช้เป็น = ครองเกม
บทเรียนที่อยากทิ้งไว้
Asia Pacific วันนี้มันไม่ใช่สนามซ้อม แต่คือสนามจริง
บริษัทใหญ่กำลังใส่เกราะ Hedging
Mid-cap กำลังวิ่งบุกด้วย innovation
Private Capital อัดเงินเข้ามาเหมือนน้ำหลาก
Supply chain ถูกจัดใหม่ทั้งภูมิภาค
ถ้าคุณยังนั่งสบายใจอยู่กับ narrative เก่า ๆ
คุณกำลังนอนอยู่บนภูเขาน้ำแข็งที่ละลายช้า ๆ
และฉันพูดตรง ๆ เลย…
อย่าประมาทเอเชีย
เลือดใหม่ของการเงินโลกไม่ได้หมุนอยู่ที่ Wall Street อีกแล้ว แต่มันวิ่งอยู่ในเอเชีย
ปล. เรื่องที่สำคัญมากและขอให้คุณต้องตามไปอ่านต่อ คือ Hedging cost อ่านได้ที่เพจลงทุนนอกนะคะ ละเอียดและเป็นกูรูด้านนี้อย่างแท้จริง
✍️ แอนนาเบล
Private Banker ที่เคยเห็นลูกค้ารวยล้น แต่เจ๊งเพราะเล่นเกมการเงินไม่เป็น และกำลังเห็นเอเชียกลายเป็นสนามจริงที่คนไทยไม่ควรหลับหูหลับตาเด็ดขาดค่ะ
CR : https://www.facebook.com/share/175yHu646D/?mibextid=wwXIfr