ผลการเร่งรัดมาตรการเพิกถอนการระงับบัญชีธนาคารชั่วคราว โดย ศปอท. หรือ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่เวลา 00.01 วันที่ 14 ก.ย. – เวลา 15.00 วันที่ 19 ก.ย.68 พบเอี่ยวมิจฉาชีพเกือบ 60%
ผลการเร่งรัดมาตรการเพิกถอนการระงับบัญชีธนาคารชั่วคราว โดย ศปอท. หรือ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่เวลา 00.01 วันที่ 14 ก.ย. – เวลา 15.00 วันที่ 19 ก.ย.68
จำนวนสายโทรเข้า 1441 กด 2 : 10,157 สาย
ไม่ให้ข้อมูลเพื่อขอเพิกถอน : 6,010 สาย : 59.17%
ให้ข้อมูลเพื่อเพิกถอน : 4,147 สาย : 40.83 %
ดำเนินการเพิกถอนแล้ว : 336 บัญชี : 3.31%
ธปท. โชว์ตัวเลขจัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี
KEY POINTS
ธปท. ดำเนินการจัดการบัญชีม้าไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 2.8 ล้านบัญชี
มาตรการดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าความเสียหายจากกรณีหลอกลวงให้โอนเงินลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาท เหลือ 5,651 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีถัดมา
ธปท. เปิดตัวเลขความเสียหายจากภัยการเงิน 3 ปี กว่า 1 ล้านราย มูลค่าพุ่ง 9.8 หมื่นล้านบาท
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงาน สุนทรพจน์งานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 หัวข้อ "เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance" ว่า ในทศวรรษที่ผ่านมา การเงินดิจิทัล (digital finance) ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะระบบการชำระเงินดิจิทัล หรือที่เราเรียกว่า fast payment ที่ทำให้การทำธุรกรรมสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ จนเปลี่ยนวิถีชีวิตทางการเงินของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจไปอย่างมาก
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของไทยคือ พร้อมเพย์ (PromptPay) ที่ประชากรไทยกว่า 70% ได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และปัจจุบันมีการใช้งานกว่า 76 ล้านรายการต่อวัน และมีมูลค่าการโอนเงินเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 144 พันล้านบาท (Payment Data Indicators เดือนกรกฎาคม 2568 ของ ธปท.)
ที่สำคัญ พัฒนาการเหล่านี้ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ให้กับแรงงาน ครัวเรือน และธุรกิจน้อยใหญ่ ให้เข้าถึงเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กที่สามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่ตลาดออนไลน์ผ่านการชำระเงินผ่านระบบ fast payment หรือแรงงานที่สามารถโอนเงินกลับบ้านได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น
แต่ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงภัยการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก และกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของคนไทยในวงกว้าง
โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วกว่า 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 9.8 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 มี.ค.2565-31 ส.ค.2568 จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและนอกภาคการเงินในการเสริมสร้างระบบการจัดการภัยการเงินให้เข้มแข็งและเป็นระบบ มาอย่างต่อเนื่อง แต่การแก้ปัญหาภัยการเงินมีความท้าทายไม่น้อย จะเห็นได้ชัดจากกรณีการจัดการบัญชีม้าล่าสุด ที่เราพบว่าหนึ่งในการดำเนินการเพื่อจัดการภัยการเงิน ในการต่อเส้นเงินตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (พ.ร.ก. ไซเบอร์) ที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยกักเงินคืนให้ผู้เสียหาย มีผลกระทบต่อผู้สุจริตในเส้นเงินมากกว่าคาด
เราจึงได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และภาคีที่เกี่ยวข้อง เร่งปรับกระบวนการ โดยให้การปลดระงับบัญชีทำได้เร็วขึ้น ไปตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังปรับปรุงกลไกเพื่อลดผลกระทบต่อผู้สุจริต ให้ทำได้ภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อช่วยคลายความกังวลของร้านค้า และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล
1.A framework towards safer and more inclusive digital finance
ภัยการเงินที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ สะท้อนให้เราเห็นถึง trade off ที่มากับการเงินดิจิทัล ที่แม้จะสร้างความสะดวกและโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเงินที่คุกคามประชาชน การจะสร้างสมดุล เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างมั่นใจนั้น เราต้องพัฒนาสามองค์ประกอบหลักควบคู่กัน คือ เทคโนโลยี การกำกับดูแล และข้อมูล
(1) เทคโนโลยี เป็นองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ และยังมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงจากนวัตกรรมด้วย แต่เพียงเทคโนโลยีอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะสร้างระบบการเงินที่ปลอดภัยและยั่งยืนได้
(2) การกำกับดูแล (Regulatory framework) ที่เหมาะสม เพื่อวางกติกา และสร้างรั้วป้องกันความเสี่ยง (guardrail) จากเทคโนโลยี และส่งเสริมการเข้าถึงไปพร้อม ๆ กัน
(3) ข้อมูล ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้การพัฒนาการเงินดิจิทัลตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และเติบโตได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน
2. ภัยการเงินในประเทศไทย
ภัยการเงินในประเทศไทย โดยเฉพาะการหลอกลวงที่เหยื่อยินยอมโอนเงินเอง (Authorized Push Payment Fraud) กำลังแพร่กระจายรวดเร็ว ตามการเติบโตของระบบชำระเงินที่รวดเร็ว (fast payment) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างและความจำเป็นที่เราจะต้องทำให้สามองค์ประกอบนี้ดีขึ้น คือ
ในด้านเทคโนโลยี: ระบบ fast payment ที่ทำให้ธุรกรรมง่าย รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และแทบไม่มีค่าใช้จ่าย ได้เอื้อให้เกิดการหลอกลวงที่ยากต่อการจัดการ ใน 2 มิติหลัก
มิติแรก คือ Scale: ระบบ fast payment ผนวกกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่เชื่อมผู้คนจำนวนมากเข้าหากันง่ายขึ้น ประกอบกับ AI ที่ทำให้กลโกงแนบเนียนขึ้น ส่งผลให้การหลอกลวงเกิดง่าย ขยายวงกว้าง และใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น จากการสำรวจคนไทยกว่า 7,000 ตัวอย่าง พบว่า 70% เคยถูกชักชวนหรือหลอก และกว่า 30% ได้รับความเสียหาย และครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร
มิติที่สอง คือ Speed: fast payment เปิดทางให้มิจฉาชีพโอนเงินออกนอกระบบได้เร็ว เงินจึงหายไวและตามได้ยาก โดยข้อมูลชี้ว่า เงินกว่า 50% ถูกโอนออกใน 3 นาที ขณะที่เหยื่อใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งความ ทำให้การรับมือของสถาบันการเงินต้องแข่งกับเวลาอย่างยิ่ง
เทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิผลของการจัดการภัยการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน ตรวจจับ และจัดการความผิดปกติจากการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยตัวอย่างของนโยบายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังจะดำเนินการ คือ
การยกระดับการพัฒนาระบบตรวจจับที่แม่นยำและทันท่วงที โดยใช้ข้อมูลการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร และระบบฐานข้อมูลกลางการทุจริต หรือ Central Fraud Registry (CFR)
การยกระดับระบบ CFR ให้สามารถระงับและต่อเส้นเงินได้รวดเร็วขึ้น ผ่านการใช้ Application Programming Interface (API) และระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดเส้นทางเงินของมิจฉาชีพและกักเงินไว้ให้ได้มากที่สุด
ในด้านการกำกับดูแล เราจะเห็นได้ว่า ภัยการเงินเกิดได้หลายรูปแบบ หลายช่องทาง และเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนในห่วงโซ่การหลอกลวง (fraud chain) โดยมิจฉาชีพอาศัย “ช่องโหว่” ในห่วงโซ่นี้เพื่อหลอกลวงและปกปิดเส้นทางการเงิน ดังนั้นการจัดการภัยการเงินจะขาดประสิทธิภาพหาก (1) ผู้ให้บริการมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่เท่ากัน (2) ข้อมูลของภาคส่วนต่าง ๆ ในห่วงโซ่ไม่เชื่อมโยงและไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ (3) การกำกับดูแล และกำหนดอำนาจหน้าที่ยังไม่ครอบคลุมทั้งระบบ และ (4) กฎระเบียบยังไม่เท่าทันปัญหาและโลกดิจิทัล
เราจึงต้องให้ความสำคัญกับ
การกำหนดมาตรฐานให้ผู้ให้บริการมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ รับมือกับภัยการเงิน
การกำหนดอำนาจหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ อย่างครอบคลุม และปรับกฎเกณฑ์ให้เท่าทัน
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน
โดยตัวอย่างนโยบายสำคัญ เช่น
การผลักดัน พ.ร.ก. ไซเบอร์ เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของทุกภาคส่วนให้ชัดเจนและเท่าทันกับปัญหา รวมถึงมีแนวนโยบายในการกำหนดความรับผิดชอบของภาคส่วนต่าง ๆ
การผลักดันมาตรฐานให้ผู้ให้บริการทางการเงินต้องมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ และรับมือกับภัยการเงิน เช่น มาตรฐาน Mobile Banking Security และมาตรการจัดการบัญชีม้าทั้งระบบ
ในด้านข้อมูล ภัยการเงินที่มากับระบบ fast payment ทำให้สถาบันการเงินและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายขาดข้อมูลที่ครบถ้วนในการติดตามเส้นทางเงิน เพราะมิจฉาชีพสามารถโอนเงินได้รวดเร็ว ข้ามทั้งสถาบันการเงินและระบบชำระเงินที่ยังไม่เชื่อมโยงกัน อีกทั้งงานวิจัยชี้ว่ามีเพียง 10% ของผู้เสียหายที่แจ้งความ ส่งผลให้สถาบันการเงินไม่อาจแยกผู้สุจริตออกจากผู้ทุจริตได้ชัดเจน และผู้ใช้บริการก็อาจขาดความรู้ความเข้าใจ จึงตัดสินใจโดยไม่รอบคอบและไม่สามารถปกป้องตนเองได้
ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาข้อมูลในทุกมิติ ผ่านการส่งเสริม
การแชร์ เชื่อมโยง และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งระบบ รวมถึงการแจ้งความของประชาชน
การใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างภาคส่วน
การเปิดเผยข้อมูล และมีกลไกที่ช่วยให้ประชาชนใช้ข้อมูลในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ
ในด้านนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยและภาคี ได้จัดตั้งระบบฐานข้อมูล Central Fraud Registry เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงิน และขยายความครอบคลุมไปถึงทั้งธนาคาร นอนแบงก์ และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อม ๆ กับการพัฒนาระบบการรับแจ้งความที่สะดวกขึ้นผ่าน AOC 1441 อีกด้วย
ที่ผ่านมา มาตรการต่าง ๆ เริ่มเห็นผลเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง เช่น การโจรกรรมแบบไม่ได้รับอนุญาต (unauthorized fraud) ในรูปแบบ “แอปดูดเงิน” ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณี ในปี 2566 (ธปท. รวมรวมข้อมูลจากสถาบันการเงิน 17 แห่งภายใต้กำกับ)
ขณะเดียวกัน เราได้จัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งก็มีส่วนทำให้ความเสียหายของกรณีโดนหลอกให้โอนเอง ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 2568 (ธปท. รวบรวมข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)
แม้เราจะก้าวหน้าไปมาก แต่ความเสี่ยงและภัยการเงินก็จะพัฒนาต่อ ตามการพัฒนาของระบบการเงิน เรา ในฐานะประชาชน สังคม และระบบการเงิน ต้องร่วมมือกันสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อให้สังคมไทยเติบโตไปกับการเงินดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและสมดุล
AOC 4 วัน โทรแจ้งหมื่นสาย เอี่ยวมิจเกือบ 60% และ ธปท. โชว์ตัวเลขจัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี
ผลการเร่งรัดมาตรการเพิกถอนการระงับบัญชีธนาคารชั่วคราว โดย ศปอท. หรือ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่เวลา 00.01 วันที่ 14 ก.ย. – เวลา 15.00 วันที่ 19 ก.ย.68