
เนื่องด้วย superman จะลง HBO วันนี้
REVIEW
ดูรอบแรก 7/10
ผมเป็นคนที่ได้ดูเวอร์ชันพากย์ไทยก่อน ตอนนั้นก็รู้สึกสนุกนะครับ มันให้ฟีลกู้ด ดูเพลิน แต่สิ่งที่ผมไม่ได้จากการดูครั้งนั้นคือ “หัวใจ” และ “แก่น” ของหนัง จนพอหนังลงสตรีมมิ่ง ผมตัดสินใจเสียเงินซื้อมาดูอีกครั้งซับไทย และรอบนี้เป็นรางวัลชีวิตจริงๆ ครับ
จริงๆ เนื้อหาหนังมันก็สูตรสำเร็จเหมือนฮีโร่เรื่องอื่นแหละ
ฮีโร่ผงาด → ล้มลง → แล้วก็กลับมาชนะ
แต่สำหรับผม เส้นทางระหว่างสามจุดนั้นมันมีคุณค่ามากๆ
เราจะได้เห็นซูเปอร์แมนล้ม
ได้เห็นเขาทำผิดพลาด
ได้เห็นมุมด้านแย่ๆ ของเขา
และก็ได้เห็นมุมที่เท่ๆ ที่ทำให้คนชื่นชม
ทั้งหมดนั้นมันโคตรจะ “เหมือนชีวิตจริงของเรา” เลยครับ
เราก็ล้มเหมือนกัน ล้มแล้วล้มอีก แต่บางครั้งก็มีอะไรบางอย่างมาสะกิดให้เรามองเห็นคุณค่าของตัวเอง
สิ่งที่ผมชอบมากคือหนังไม่ได้ขายแค่ฉากสู้เท่ๆ แต่ยังสะท้อนดราม่า ความขัดแย้ง การเมืองในเรื่อง ที่มันคล้ายกับโลกจริงที่ผมตื่นมาเจอทุกเช้า เห็นข่าวคนทะเลาะกัน เกลียดกัน ไม่ลงรอยกัน แล้วอยู่ๆ หนังซูเปอร์แมนก็ทำให้ผมรู้สึก “ยังมีความหวัง” ในโลกแบบนี้
โดยเฉพาะประโยคที่หลายคนล้อกันว่า “ฉันก็เป็นมนุษย์”
สำหรับผม มันไม่ได้พูดกับตัวละครในเรื่องเลย แต่มันพูดกับ “เรา” ที่กำลังดูอยู่ต่างหาก
มันทำให้ผมเห็นว่า ในความวุ่นวาย ความเกลียดชัง และดราม่าต่างๆ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ เราผิดได้ เราพลาดได้ และที่สำคัญที่สุดไม่จำำเป็นต้องอายเมื่อเลือกทำความดี
แถมอีกนิด เกี่ยวกับอคติและยึดติด
มีอีกเรื่องที่ผมอยากพูดตรงๆ คือ เวลาแฟนๆ DC ทะเลาะกันเอง เปรียบเทียบกันเองว่าภาคไหนดีกว่า อันนี้ผมไม่ชอบเลยจริงๆ เพราะมันทำให้คุณค่า ความรัก หรือความชอบในสิ่งที่แต่ละคนอิน มันเหมือนถูกเอาไปกดทับว่า “ด้อยกว่าอีกเรื่อง” ซึ่งสำหรับผมมันไม่แฟร์เลยครับ
Superman ของ Henry Cavill ก็ไม่ได้แย่เลยนะ จริงๆ เขาก็เป็นซูเปอร์แมนที่ดีมากด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเล่นหรือภาคไหนเล่า แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้กำกับและเนื้อเรื่องสามารถ ดึงความรู้สึกหรือความทรงจำในชีวิตเราออกมาได้มากแค่ไหน
สำหรับผม Man of Steel เป็นหนังที่ทำให้รู้สึกว่า “เราสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ ยืนหยัดในโลกที่โหดร้าย และสู้เพื่อพิสูจน์เส้นทางชีวิตของตัวเอง”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง Superman 2025 กลับเป็นหนังที่ทำให้ผมมองความล้มเหลวในมุมใหม่ๆ ทุกครั้งที่ผมพยายามทำตัวให้เก่ง แข็งแรง ตั้งใจทำงานหรือสร้างเส้นทางชีวิต แต่สุดท้ายล้มเหลวลง มันกลับกลายเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ผมได้เห็นเส้นทางอื่นที่ไม่เคยคิดมาก่อน
ผมเลยรู้สึกว่า ถ้าซูเปอร์แมนมีตัวตนจริงๆ เขาคงไม่ใช่แค่ฮีโร่ที่บินไปช่วยคน แต่เขาคงเป็นคนที่ “นั่งฟัง” ชีวิตของเรา เหมือนนั่งดูหนังดราม่ายาวๆ ของแต่ละคน และไม่ว่ามันจะหนักแค่ไหน
ผมให้ Superman ใหม่ 10/10 เอาตรงผมไม่อวยหน่า ไปดูเถอะดีจริงๆ
[CR] Superman #2025 หนังฮีโร่ที่มากกว่าฮีโร่
เนื่องด้วย superman จะลง HBO วันนี้
REVIEW
ดูรอบแรก 7/10
ผมเป็นคนที่ได้ดูเวอร์ชันพากย์ไทยก่อน ตอนนั้นก็รู้สึกสนุกนะครับ มันให้ฟีลกู้ด ดูเพลิน แต่สิ่งที่ผมไม่ได้จากการดูครั้งนั้นคือ “หัวใจ” และ “แก่น” ของหนัง จนพอหนังลงสตรีมมิ่ง ผมตัดสินใจเสียเงินซื้อมาดูอีกครั้งซับไทย และรอบนี้เป็นรางวัลชีวิตจริงๆ ครับ
จริงๆ เนื้อหาหนังมันก็สูตรสำเร็จเหมือนฮีโร่เรื่องอื่นแหละ
ฮีโร่ผงาด → ล้มลง → แล้วก็กลับมาชนะ
แต่สำหรับผม เส้นทางระหว่างสามจุดนั้นมันมีคุณค่ามากๆ
เราจะได้เห็นซูเปอร์แมนล้ม
ได้เห็นเขาทำผิดพลาด
ได้เห็นมุมด้านแย่ๆ ของเขา
และก็ได้เห็นมุมที่เท่ๆ ที่ทำให้คนชื่นชม
ทั้งหมดนั้นมันโคตรจะ “เหมือนชีวิตจริงของเรา” เลยครับ
เราก็ล้มเหมือนกัน ล้มแล้วล้มอีก แต่บางครั้งก็มีอะไรบางอย่างมาสะกิดให้เรามองเห็นคุณค่าของตัวเอง
สิ่งที่ผมชอบมากคือหนังไม่ได้ขายแค่ฉากสู้เท่ๆ แต่ยังสะท้อนดราม่า ความขัดแย้ง การเมืองในเรื่อง ที่มันคล้ายกับโลกจริงที่ผมตื่นมาเจอทุกเช้า เห็นข่าวคนทะเลาะกัน เกลียดกัน ไม่ลงรอยกัน แล้วอยู่ๆ หนังซูเปอร์แมนก็ทำให้ผมรู้สึก “ยังมีความหวัง” ในโลกแบบนี้
โดยเฉพาะประโยคที่หลายคนล้อกันว่า “ฉันก็เป็นมนุษย์”
สำหรับผม มันไม่ได้พูดกับตัวละครในเรื่องเลย แต่มันพูดกับ “เรา” ที่กำลังดูอยู่ต่างหาก
มันทำให้ผมเห็นว่า ในความวุ่นวาย ความเกลียดชัง และดราม่าต่างๆ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ เราผิดได้ เราพลาดได้ และที่สำคัญที่สุดไม่จำำเป็นต้องอายเมื่อเลือกทำความดี
แถมอีกนิด เกี่ยวกับอคติและยึดติด
มีอีกเรื่องที่ผมอยากพูดตรงๆ คือ เวลาแฟนๆ DC ทะเลาะกันเอง เปรียบเทียบกันเองว่าภาคไหนดีกว่า อันนี้ผมไม่ชอบเลยจริงๆ เพราะมันทำให้คุณค่า ความรัก หรือความชอบในสิ่งที่แต่ละคนอิน มันเหมือนถูกเอาไปกดทับว่า “ด้อยกว่าอีกเรื่อง” ซึ่งสำหรับผมมันไม่แฟร์เลยครับ
Superman ของ Henry Cavill ก็ไม่ได้แย่เลยนะ จริงๆ เขาก็เป็นซูเปอร์แมนที่ดีมากด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเล่นหรือภาคไหนเล่า แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้กำกับและเนื้อเรื่องสามารถ ดึงความรู้สึกหรือความทรงจำในชีวิตเราออกมาได้มากแค่ไหน
สำหรับผม Man of Steel เป็นหนังที่ทำให้รู้สึกว่า “เราสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ ยืนหยัดในโลกที่โหดร้าย และสู้เพื่อพิสูจน์เส้นทางชีวิตของตัวเอง”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง Superman 2025 กลับเป็นหนังที่ทำให้ผมมองความล้มเหลวในมุมใหม่ๆ ทุกครั้งที่ผมพยายามทำตัวให้เก่ง แข็งแรง ตั้งใจทำงานหรือสร้างเส้นทางชีวิต แต่สุดท้ายล้มเหลวลง มันกลับกลายเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ผมได้เห็นเส้นทางอื่นที่ไม่เคยคิดมาก่อน
ผมเลยรู้สึกว่า ถ้าซูเปอร์แมนมีตัวตนจริงๆ เขาคงไม่ใช่แค่ฮีโร่ที่บินไปช่วยคน แต่เขาคงเป็นคนที่ “นั่งฟัง” ชีวิตของเรา เหมือนนั่งดูหนังดราม่ายาวๆ ของแต่ละคน และไม่ว่ามันจะหนักแค่ไหน
ผมให้ Superman ใหม่ 10/10 เอาตรงผมไม่อวยหน่า ไปดูเถอะดีจริงๆ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้