เรื่อง “เด็กและวัยรุ่นที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดเมื่อเป็นผู้ใหญ่”
ทุกครั้งที่มีคนไม่สูบบุหรี่เป็นมะเร็งปอด คนจะสงสัยว่า “ทำไมจึงเป็นนะ?”
จะมีคำตอบว่ามาจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่มลพิษในอากาศจากแหล่งต่างๆ กรรมพันธุ์และการกลายพันธุ์ของยีน การได้รับควันบุหรี่มือสอง ฯลฯ
กล่าวเฉพาะกรณีมะเร็งปอดที่เกิดจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง เรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนจะช่วยกันป้องกันได้
นายแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริกาประกาศเมื่อพ.ศ.2529 ว่า การได้รับควันบุหรี่มือสอง ทำให้เป็นมะเร็งปอดในคนที่ไม่สูบบุหรี่
งานวิจัยต่อๆมาพบว่า “การได้รับควันบุหรี่มือสองในเด็กและวัยรุ่น มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด มากกว่า เมื่อได้รับควันบุหรี่มือสองตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
สาเหตุมาจากปอดของเด็กและวัยรุ่นอยู่ในระหว่างการเติบโต จนถึงอายุ 25 ปี เด็กและวัยรุ่นจึงได้รับอันตรายจากควันบุหรี่มือสองมากกว่าผู้ใหญ่
การสำรวจปี พ.ศ.2565 ในเด็กไทยนักเรียนไทยอายุ 13-15 ปี พบว่า 1ใน 4 หรือ 26 % ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน 32.4% ภายในอาคารสถานที่สาธารณะ 30.7% ภายนอกอาคารสถานที่สาธารณะในช่วง 7 วัน และ 45.6% ภายในอาคารเรียนหรือพื้นที่โรงเรียนในช่วง 30 วัน ขณะที่การสำรวจในคนที่อายุ 15 ปีขึ้นไปปี 2564 พบว่า มีการสูบบุหรี่ในบ้าน 23.7 %
ข้อมูลเหล่านี้แสดงว่า เด็กและวัยรุ่นไทย ได้รับควันบุหรี่มือสองในอัตราที่ยังสูงมาก และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เราพบมะเร็งปอดในผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น
ผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ จึงต้องมีความรับผิดชอบ ที่จะต้องไม่ทำให้คนไม่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนได้รับควันบุหรี่มือสอง ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/5086789/
“มะเร็งปอด” เลือก “ผู้หญิงเอเชีย!!” ไม่สูบบุหรี่-สุขภาพดี แต่เสี่ยงที่สุด
น่าตกใจ “ผู้หญิงเอเชีย” เสี่ยงขึ้นเรื่อยๆ กับการเป็น “มะเร็งปอด” ทั้งที่ไม่เคยสูบบุหรี่ งานวิจัยชี้ มีหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งฝุ่นพิษ ไหนจะยีนกลายพันธุ์ และนี่คือเรื่องที่ต้องไหวตัวให้ทัน จากเคสตัวอย่างที่เกิดกับ “เอ๋-พรทิพย์”
** อย่าละเลย สัญญาณเตือน!! **
“เป็นอาทิตย์ที่ยากที่สุดเลย สำหรับพวกเรา 2 คน เราแทบจะไม่ได้บอกใครเลย 2 วันแรกเนี่ย งงทั้งคู่เลย เอ๋นี่ แทบจะไม่รับอะไรเลย เหมือนเขาไม่คิดว่า วันนึง เขาจะเป็นโรคที่เขาหวาดกลัวที่สุด”
ทำเอาช็อกวงการกันพอสมควร หลังพระเอกอย่าง “ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ”แจ้งข่าวร้ายว่า ภรรยาสาวนักแสดง “เอ๋-พรทิพย์ สกิดใจ”กำลังป่วยเป็น “โรคมะเร็งปอด” พร้อมกับออกมาเปิดใจ ผ่านช่อง YouTube ของตัวเอง
ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของครอบครัวสกิดใจ แต่ทั้งคู่เชื่อว่า จะจับมือผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ อย่างน้อยก็เป็นการตรวจพบในระยะเริ่มต้น คือ “มะเร็งปอดระยะที่ 1” ซึ่งเป็นระยะที่คุณหมอวินิจฉัยแล้วว่า หวังผลในการรักษาให้หายขาดได้มากที่สุด
“เราไม่อยากเป็นโรคนี้นะ เพราะมันอาจจะทำให้ตายได้ จะมีอายุที่สั้นลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เอ๋ต้องสู้ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุผลเรื่องลูก ด้วยเหตุผลเรื่องพี่ หรือครอบครัว แต่สุดท้าย ที่สำคัญที่สุดคือ เอ๋ต้องทำ เพื่อตัวของตัวเอง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องนี้ทำให้หลายคนตระหนกไม่น้อย เพราะนอกจากเอ๋จะไม่สูบบุหรี่แล้ว เธอยังชอบออกกำลังกายเป็นประจำ แถมยังไม่มีอาการอื่นที่บ่งบอกว่า น่าจะเป็นมะเร็ง นอกจากอาการ “เสียงแหบ แบบหาสาเหตุไม่ได้”
“ตื่นเช้ามาเนี่ย ก็เสียงเป็นอย่างนี้ อันนี้คือ เสียงดีขึ้นแล้วนะคะ ก่อนหน้านี้ แทบไม่มีเสียงเลย คืองงมากว่า ตัวเองเป็นอะไร เพราะว่าเจ็บคอ ก็ไม่เจ็บ น้ำมูกก็ไม่มี แล้วไม่ได้เป็นหวัดด้วยอะค่ะ”
ตรงกับข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ ที่วิเคราะห์เอาไว้ว่า “ผู้ป่วยมะเร็งปอด” โดยเฉพาะระยะแรกๆ อาจไม่แสดงอาการอะไรเลย หรือถ้ามีก็น้อยมาก จนกว่าโรคจะลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ถึงจะเริ่มแสดงอาการบางอย่างออกมา
อย่างที่ล่าสุด “โรงพยาบาลเปาโล” ออกมาโพสต์วิธีสังเกตตัวเอง จากโรคมะเร็งปอดว่า มีอยู่หลักๆ 7 สัญญาณที่ร่างกายเตือน นั่นก็คือ...
อาการที่ 1 ผู้ป่วยจะเสียงแหบ ทั้งมีไม่ได้เป็นหวัด
อาการที่ 2 เริ่มไอเรื้อรัง หรือไอแห้งๆ ติดต่อกันนานกว่า 2 อาทิตย์
อาการที่ 3 หายใจแล้ว รู้สึกเจ็บหน้าอก
อาการที่ 4 เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
อาการที่ 5 น้ำหนักลดแบบไม่มีสาเหตุ
อาการที่ 6 หายใจแล้วมีเสียงดัง
และอาการที่ 7 เริ่มหนักขึ้นและชัดขึ้น คือไอเป็นเลือด หรือเสมหะมีเลือดปนออกมาด้วย
สอดคล้องกับข้อมูลจาก “ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร” หัวหน้าศูนย์วิจัยจีโนมิกส์ ศิริราช ที่โพสต์ผ่าน X ไว้ว่า ปัจจุบันมีคนป่วยเป็นมะเร็งปอดเยอะขึ้นแบบเห็นได้ชัด
คือถ้ากางสถิติจาก “กรมการแพทย์” ออกมาดู จะเห็นเลยว่า คนไทยป่วยเป็นโรคนี้ ถึงปีละกว่า 17,000 ราย แถมมะเร็งปอดยังคร่าชีวิตคนไทย สูงถึงปีละ 14,500 ราย เฉลี่ยแล้วตก 40 คน/วัน เลยทีเดียว
** “ผู้หญิงเอเชีย” เสี่ยงสูงสุด **
ที่น่าสนใจคือ ในช่วง 3-5 ปีมานี้ เจอข้อมูลที่น่าตกใจเพิ่มอีกว่า มีอัตรา “คนที่ไม่สูบบุหรี่” แต่ดันป่วยเป็นโรคร้ายนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ “ผู้หญิงเอเชีย” ที่อยู่ในเขตเมือง
แน่นอนว่า สาเหตุหลักมาจากปัญหาฝุ่นพิษอย่าง “PM 2.5” ที่ให้ผลร้ายต่อร่างกายอย่างรุนแรง ตรงกับข้อมูลจาก “สถาบันวิจัยอากาศ Berkeley” ที่บอกไว้ว่า ถ้าวัดจากสภาพอากาศในกรุงเทพฯ ต่อให้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศที่หายใจกันเข้าไป ก็ยังมีค่าฝุ่นพิษ เทียบเท่ากับการ“สูบบุหรี่ 2 มวน/วัน” อยู่ดี
ไม่ต่างอะไรจากประเทศในแถบเอเชีย ที่เจอปัญหาเดียวกัน ทั้ง PM 2.5 จากการจราจร ทั้งควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่การเผาขยะทางการเกษตรก็ตาม
เหตุผลหลักๆ ก็เพราะในบ้านเมืองเรา รวมถึงโซนเอเชียส่วนใหญ่ ไม่มี “กฎหมายคุ้มครองแหล่งกำเนิดฝุ่น” และแนวทางในการจัดการที่เข้มงวดเพียงพอ
ถ้าให้ยกตัวอย่าง เคสของ “นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล”คืออีกหนึ่งผลกระทบจากฝุ่นพิษที่เห็นภาพชัดที่สุด เขาคือคุณหมอหนุ่มในเชียงใหม่ ที่ร่างกายแข็งแรง แต่กลับเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และจากไปในวัยเพียง 29
วิเคราะห์กันว่า เป็นเพราะสภาพอากาศเป็นพิษของเชียงใหม่ หลักๆ จากการเผาป่า จนผลักให้เกิดฝุ่นพิษอันตราย เทียบเท่ากับ “สูบบุหรี่ถึง 5 มวน/วัน”
นอกนั้น ยังมีปัจจัยที่ทำให้คนเอเชีย เสี่ยงกว่าชาติอื่นๆ อีก ส่วนนึงเพราะวัฒนธรรม “การจุดธูปเทียนไหว้เจ้า” ไหนจะ “ควันจากการทอดอาหาร” ก็ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้โรคมะเร็งปอดได้
ยังไม่รวมบางเคสที่ป่วยเพราะ “ควันบุหรี่มือสอง” อีก จากข้อมูลสถิติปี 62 ของ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า มีคนไทยถึง 70% ที่ต้องรับเอาบุหรี่มือสองเข้าปอด แถมยังเสียชีวิตปีละกว่า 20,000 ราย
ยิ่งเทียบกับสถิติในอังกฤษ ที่มีผู้ป่วยจากบุหรี่มือสองแค่ 30% ยิ่งถือว่าตัวเลขบ้านเราสูงจนน่าเป็นห่วง
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงเอเชีย เสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่าชาติอื่นๆ งานวิจัยบอกเอาไว้เลยว่า เป็นเรื่องของพันธุกรรม เพราะชาวเอเชียมี “การกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง” ที่เรียกว่า “EGFR” สูงกว่าชาวยุโรปและอเมริกา
โดยเฉพาะในผู้หญิง ที่พบความเสี่ยงสูงสุด คือพบว่า “คนเอเชีย” พบยีนตัวนี้ในผู้ป่วยมะเร็งปอด สูงถึง 50-60% ในขณะที่คนยุโรปและอเมริกา ตรวจเจอยีนกลายพันธุ์ก่อมะเร็ง แค่ 10-15% เท่านั้นเอง
เด็กและวัยรุ่นที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง เพิ่มความเสี่ยงเป็น “มะเร็งปอด” และ เลือก “ผู้หญิงเอเชีย!!” ไม่สูบบุหรี่
ทุกครั้งที่มีคนไม่สูบบุหรี่เป็นมะเร็งปอด คนจะสงสัยว่า “ทำไมจึงเป็นนะ?”
จะมีคำตอบว่ามาจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่มลพิษในอากาศจากแหล่งต่างๆ กรรมพันธุ์และการกลายพันธุ์ของยีน การได้รับควันบุหรี่มือสอง ฯลฯ
กล่าวเฉพาะกรณีมะเร็งปอดที่เกิดจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง เรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนจะช่วยกันป้องกันได้
นายแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริกาประกาศเมื่อพ.ศ.2529 ว่า การได้รับควันบุหรี่มือสอง ทำให้เป็นมะเร็งปอดในคนที่ไม่สูบบุหรี่
งานวิจัยต่อๆมาพบว่า “การได้รับควันบุหรี่มือสองในเด็กและวัยรุ่น มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด มากกว่า เมื่อได้รับควันบุหรี่มือสองตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
สาเหตุมาจากปอดของเด็กและวัยรุ่นอยู่ในระหว่างการเติบโต จนถึงอายุ 25 ปี เด็กและวัยรุ่นจึงได้รับอันตรายจากควันบุหรี่มือสองมากกว่าผู้ใหญ่
การสำรวจปี พ.ศ.2565 ในเด็กไทยนักเรียนไทยอายุ 13-15 ปี พบว่า 1ใน 4 หรือ 26 % ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน 32.4% ภายในอาคารสถานที่สาธารณะ 30.7% ภายนอกอาคารสถานที่สาธารณะในช่วง 7 วัน และ 45.6% ภายในอาคารเรียนหรือพื้นที่โรงเรียนในช่วง 30 วัน ขณะที่การสำรวจในคนที่อายุ 15 ปีขึ้นไปปี 2564 พบว่า มีการสูบบุหรี่ในบ้าน 23.7 %
ข้อมูลเหล่านี้แสดงว่า เด็กและวัยรุ่นไทย ได้รับควันบุหรี่มือสองในอัตราที่ยังสูงมาก และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เราพบมะเร็งปอดในผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น
ผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ จึงต้องมีความรับผิดชอบ ที่จะต้องไม่ทำให้คนไม่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนได้รับควันบุหรี่มือสอง ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/5086789/
** อย่าละเลย สัญญาณเตือน!! **
“เป็นอาทิตย์ที่ยากที่สุดเลย สำหรับพวกเรา 2 คน เราแทบจะไม่ได้บอกใครเลย 2 วันแรกเนี่ย งงทั้งคู่เลย เอ๋นี่ แทบจะไม่รับอะไรเลย เหมือนเขาไม่คิดว่า วันนึง เขาจะเป็นโรคที่เขาหวาดกลัวที่สุด”
ทำเอาช็อกวงการกันพอสมควร หลังพระเอกอย่าง “ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ”แจ้งข่าวร้ายว่า ภรรยาสาวนักแสดง “เอ๋-พรทิพย์ สกิดใจ”กำลังป่วยเป็น “โรคมะเร็งปอด” พร้อมกับออกมาเปิดใจ ผ่านช่อง YouTube ของตัวเอง
ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของครอบครัวสกิดใจ แต่ทั้งคู่เชื่อว่า จะจับมือผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ อย่างน้อยก็เป็นการตรวจพบในระยะเริ่มต้น คือ “มะเร็งปอดระยะที่ 1” ซึ่งเป็นระยะที่คุณหมอวินิจฉัยแล้วว่า หวังผลในการรักษาให้หายขาดได้มากที่สุด
“เราไม่อยากเป็นโรคนี้นะ เพราะมันอาจจะทำให้ตายได้ จะมีอายุที่สั้นลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เอ๋ต้องสู้ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุผลเรื่องลูก ด้วยเหตุผลเรื่องพี่ หรือครอบครัว แต่สุดท้าย ที่สำคัญที่สุดคือ เอ๋ต้องทำ เพื่อตัวของตัวเอง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องนี้ทำให้หลายคนตระหนกไม่น้อย เพราะนอกจากเอ๋จะไม่สูบบุหรี่แล้ว เธอยังชอบออกกำลังกายเป็นประจำ แถมยังไม่มีอาการอื่นที่บ่งบอกว่า น่าจะเป็นมะเร็ง นอกจากอาการ “เสียงแหบ แบบหาสาเหตุไม่ได้”
“ตื่นเช้ามาเนี่ย ก็เสียงเป็นอย่างนี้ อันนี้คือ เสียงดีขึ้นแล้วนะคะ ก่อนหน้านี้ แทบไม่มีเสียงเลย คืองงมากว่า ตัวเองเป็นอะไร เพราะว่าเจ็บคอ ก็ไม่เจ็บ น้ำมูกก็ไม่มี แล้วไม่ได้เป็นหวัดด้วยอะค่ะ”
ตรงกับข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ ที่วิเคราะห์เอาไว้ว่า “ผู้ป่วยมะเร็งปอด” โดยเฉพาะระยะแรกๆ อาจไม่แสดงอาการอะไรเลย หรือถ้ามีก็น้อยมาก จนกว่าโรคจะลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ถึงจะเริ่มแสดงอาการบางอย่างออกมา
อย่างที่ล่าสุด “โรงพยาบาลเปาโล” ออกมาโพสต์วิธีสังเกตตัวเอง จากโรคมะเร็งปอดว่า มีอยู่หลักๆ 7 สัญญาณที่ร่างกายเตือน นั่นก็คือ...
อาการที่ 1 ผู้ป่วยจะเสียงแหบ ทั้งมีไม่ได้เป็นหวัด
อาการที่ 2 เริ่มไอเรื้อรัง หรือไอแห้งๆ ติดต่อกันนานกว่า 2 อาทิตย์
อาการที่ 3 หายใจแล้ว รู้สึกเจ็บหน้าอก
อาการที่ 4 เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
อาการที่ 5 น้ำหนักลดแบบไม่มีสาเหตุ
อาการที่ 6 หายใจแล้วมีเสียงดัง
และอาการที่ 7 เริ่มหนักขึ้นและชัดขึ้น คือไอเป็นเลือด หรือเสมหะมีเลือดปนออกมาด้วย
สอดคล้องกับข้อมูลจาก “ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร” หัวหน้าศูนย์วิจัยจีโนมิกส์ ศิริราช ที่โพสต์ผ่าน X ไว้ว่า ปัจจุบันมีคนป่วยเป็นมะเร็งปอดเยอะขึ้นแบบเห็นได้ชัด
คือถ้ากางสถิติจาก “กรมการแพทย์” ออกมาดู จะเห็นเลยว่า คนไทยป่วยเป็นโรคนี้ ถึงปีละกว่า 17,000 ราย แถมมะเร็งปอดยังคร่าชีวิตคนไทย สูงถึงปีละ 14,500 ราย เฉลี่ยแล้วตก 40 คน/วัน เลยทีเดียว
** “ผู้หญิงเอเชีย” เสี่ยงสูงสุด **
ที่น่าสนใจคือ ในช่วง 3-5 ปีมานี้ เจอข้อมูลที่น่าตกใจเพิ่มอีกว่า มีอัตรา “คนที่ไม่สูบบุหรี่” แต่ดันป่วยเป็นโรคร้ายนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ “ผู้หญิงเอเชีย” ที่อยู่ในเขตเมือง
แน่นอนว่า สาเหตุหลักมาจากปัญหาฝุ่นพิษอย่าง “PM 2.5” ที่ให้ผลร้ายต่อร่างกายอย่างรุนแรง ตรงกับข้อมูลจาก “สถาบันวิจัยอากาศ Berkeley” ที่บอกไว้ว่า ถ้าวัดจากสภาพอากาศในกรุงเทพฯ ต่อให้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศที่หายใจกันเข้าไป ก็ยังมีค่าฝุ่นพิษ เทียบเท่ากับการ“สูบบุหรี่ 2 มวน/วัน” อยู่ดี
ไม่ต่างอะไรจากประเทศในแถบเอเชีย ที่เจอปัญหาเดียวกัน ทั้ง PM 2.5 จากการจราจร ทั้งควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่การเผาขยะทางการเกษตรก็ตาม
เหตุผลหลักๆ ก็เพราะในบ้านเมืองเรา รวมถึงโซนเอเชียส่วนใหญ่ ไม่มี “กฎหมายคุ้มครองแหล่งกำเนิดฝุ่น” และแนวทางในการจัดการที่เข้มงวดเพียงพอ
ถ้าให้ยกตัวอย่าง เคสของ “นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล”คืออีกหนึ่งผลกระทบจากฝุ่นพิษที่เห็นภาพชัดที่สุด เขาคือคุณหมอหนุ่มในเชียงใหม่ ที่ร่างกายแข็งแรง แต่กลับเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และจากไปในวัยเพียง 29
วิเคราะห์กันว่า เป็นเพราะสภาพอากาศเป็นพิษของเชียงใหม่ หลักๆ จากการเผาป่า จนผลักให้เกิดฝุ่นพิษอันตราย เทียบเท่ากับ “สูบบุหรี่ถึง 5 มวน/วัน”
นอกนั้น ยังมีปัจจัยที่ทำให้คนเอเชีย เสี่ยงกว่าชาติอื่นๆ อีก ส่วนนึงเพราะวัฒนธรรม “การจุดธูปเทียนไหว้เจ้า” ไหนจะ “ควันจากการทอดอาหาร” ก็ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้โรคมะเร็งปอดได้
ยังไม่รวมบางเคสที่ป่วยเพราะ “ควันบุหรี่มือสอง” อีก จากข้อมูลสถิติปี 62 ของ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า มีคนไทยถึง 70% ที่ต้องรับเอาบุหรี่มือสองเข้าปอด แถมยังเสียชีวิตปีละกว่า 20,000 ราย
ยิ่งเทียบกับสถิติในอังกฤษ ที่มีผู้ป่วยจากบุหรี่มือสองแค่ 30% ยิ่งถือว่าตัวเลขบ้านเราสูงจนน่าเป็นห่วง
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงเอเชีย เสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่าชาติอื่นๆ งานวิจัยบอกเอาไว้เลยว่า เป็นเรื่องของพันธุกรรม เพราะชาวเอเชียมี “การกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง” ที่เรียกว่า “EGFR” สูงกว่าชาวยุโรปและอเมริกา
โดยเฉพาะในผู้หญิง ที่พบความเสี่ยงสูงสุด คือพบว่า “คนเอเชีย” พบยีนตัวนี้ในผู้ป่วยมะเร็งปอด สูงถึง 50-60% ในขณะที่คนยุโรปและอเมริกา ตรวจเจอยีนกลายพันธุ์ก่อมะเร็ง แค่ 10-15% เท่านั้นเอง