พิษบัญชีม้า “อายัดบัญชี” ไม่ใช่ทางออก มีนิติบุคคลน่าสงสัย 1,415 ราย

KEY POINTS
มาตรการอายัดบัญชีเพื่อปราบปรามบัญชีม้า ได้สร้างผลกระทบในวงกว้างต่อผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ที่ถูกระงับธุรกรรมทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก
ผู้ที่ถูกอายัดบัญชีโดยสุจริต ต้องเผชิญกับกระบวนการปลดอายัดที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และขาดหน่วยงานรับเรื่องที่ชัดเจน ทำให้เสียเวลาและโอกาสทางธุรกิจ
แม้จะมีความพยายามปรับปรุงขั้นตอนการปลดอายัดให้รวดเร็วขึ้น แต่การมุ่งแก้ปัญหาด้วยการอายัดบัญชี ยังคงถูกมองว่าไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้สุจริต

ปัญหา “บัญชีม้า” และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กำลังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่ต้องพึ่งพาธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลในการดำเนินธุรกิจ

การที่หน่วยงานภาครัฐ อย่าง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (กรมพัฒน์ฯ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ผนึกกำลังปราบปรามเครือข่ายนิติบุคคลที่เข้าข่ายฟอกเงิน แม้จะเป็นความพยายามในการสกัดกั้นภัยคุกคามเหล่านี้ แต่ดูเหมือนจะเกาไม่ถูกที่คัน

หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจคือ ศูนย์ AOC พบว่า มีนิติบุคคลน่าสงสัย 1,415 ราย ที่เชื่อมโยงกับบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงินกว่า 94,161 ราย อมยิ้ม07

บรรดานิติบุคคลที่ตกเป็นผู้น่าสงสัย 1,415 รายนี้ ถูกติดป้ายกำกับเพื่อติดตามพฤติกรรม และข้อมูลจะถูกส่งกลับศูนย์ AOC เพื่อช่วยป้องกันการนำไปใช้หลอกลวงประชาชน
 

ที่ผ่านมาจึงมีการดำเนินการฟ้องร้องไปแล้ว 41 บริษัท ที่แจ้งที่อยู่จดทะเบียนเป็นเท็จ และกำลังพัฒนาระบบ “iBas” เป็น “Digital Footprint” ติดตามความเคลื่อนไหวของนิติบุคคลอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปลี่ยนแปลงกรรมการ ผู้ถือหุ้น หรือที่อยู่จดทะเบียน แสดงถึงความพร้อมในการร่วมมือกับทุกหน่วยงานเพื่อปราบปรามการฉ้อโกง

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ การมุ่งแก้ปัญหาด้วยการติดตามเส้นทางเงินจากบัญชีม้าที่เข้มข้นขึ้น แม้มีเจตนาดีเพื่อกักเงินคืนผู้เสียหาย กลับส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนผู้สุจริต โดยเฉพาะ SME ที่อาจถูกระงับบัญชีโดยไม่ตั้งใจ 

เพราะผู้ประกอบการบางรายถูกระงับการทำธุรกรรม หรือ การอายัดบัญชีทั้งหมด สร้างความกังวลและอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ นำไปสู่ปัญหาทางการเงิน เช่น การชำระค่าใช้จ่ายล่าช้า หรือ เสียโอกาสทางธุรกิจ 

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ยอดเงินในบัญชีติดลบ ซึ่งเกิดจากการที่ตำรวจแจ้งอายัดเงินในบัญชีต้องสงสัย แต่เงินคงเหลือน้อยกว่า หรือจากการปรับปรุงข้อมูลระบบธนาคารที่ไม่สมบูรณ์

สิ่งสำคัญคือ การหาเจ้าภาพ รับเรื่องที่ชัดเจนให้กับผู้เสียหายไม่ได้ เมื่อติดต่อผ่านธนาคาร ธนาคารก็โยนให้ติดต่อ ศูนย์ AOC เมื่อติดต่อ ศูนย์ AOC ก็โยนให้ประสานขอปลดล็อกกับธนาคาร สร้างความปั่นป่วนต่อผู้ได้รับผลกระทบ

ยังไม่นับรวมขั้นตอนการยื่นขอปลดล็อก การส่งเอกสารที่ยุ่งยาก ต้องเสียทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย รวมถึงสูญเสียโอกาสทางธุรกิจที่แม้จะไม่มากเท่าบรรดาเจ้าสัว แต่สำหรับรายย่อย รายเล็ก เงินทุกบาท เครดิตทุกด้านที่มีก็ลดน้อยถอยลง

วันนี้แม้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเร่งหารือกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และธนาคารพาณิชย์ เพื่อปรับปรุงแนวทางการอายัด และกระบวนการปลดอายัดบัญชีผู้สุจริตให้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากก่อนหน้าที่บางรายต้องใช้เวลา 1-2 เดือน ต่อมาปรับเป็น 3-7 วัน

ล่าสุด สามารถปลดระงับบัญชีให้เหลือเร็วที่สุดภายใน 4 ชั่วโมงต่อรอบการตรวจสอบ หรือไม่เกิน 1 วัน พร้อมกับเริ่มกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ ไม่ให้มีการกวาดบัญชีที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาโดยไม่จำเป็น
 
นับเป็นข่าวดี แต่จะให้ดีกว่านี้ควรมีมาตรการอื่นที่รัดกุม ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพ่อค้า แม่ค้าตาดำๆ



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่