📌 ความหมายสองคำ (แบบไทย)
Empathy (เอมพาธี) → “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” หรือ “รู้สึกเหมือนกับเขา”
👉 คือพยายามเข้าใจความรู้สึก มุมมอง และประสบการณ์ของอีกฝ่ายราวกับเป็นของเราเอง
Sympathy (ซิมพาธี) → “เห็นใจ/สงสาร”
👉 คือรับรู้ว่าคนอื่นลำบาก เจ็บปวด หรือตกทุกข์ แต่เรายังยืนอยู่ในมุมของเราเอง ไม่ได้รู้สึกเหมือนเขาเต็ม ๆ
ในประเด็นการเมือง
Empathy ทางการเมือง
หมายถึง นักการเมืองหรือสังคมพยายามเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง เช่น
เข้าใจว่าคนจนรู้สึกยังไงเมื่อไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน
หรือเข้าใจว่าผู้อพยพรู้สึกกลัวและโดดเดี่ยวแค่ไหน
🔺 ข้อดี: ช่วยสร้างนโยบายที่ตอบโจทย์จริง ๆ เพราะ “รู้สึก” ว่าผู้ได้รับผลกระทบเผชิญอะไรอยู่
🔻 ข้อเสีย (ในมุม Kirk): อาจทำให้การตัดสินใจทางการเมือง อิงอารมณ์มากกว่าเหตุผล เช่น อาจยอมเปิดพรมแดนกว้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย ความมั่นคง หรือผลระยะยาว
Sympathy ทางการเมือง
หมายถึง นักการเมือง “รับรู้” ความทุกข์ของประชาชน แต่ยังวางระยะห่าง เช่น
เห็นใจคนจน แต่ยังต้องรักษากฎเกณฑ์เศรษฐกิจ
สงสารผู้อพยพ แต่ยังยืนยันว่าต้องเข้ามาถูกกฎหมาย
🔺 ข้อดี: ทำให้การตัดสินใจยังคงยึดหลักการ กฎหมาย และผลประโยชน์ของประเทศ
🔻 ข้อเสีย: อาจถูกวิจารณ์ว่า เย็นชา ไม่เข้าใจจริง ๆ กับความเจ็บปวดของคนที่ลำบาก
--
ในประเด็นสังคม
Empathy ในสังคม
คนอาจสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางสังคม (เช่น LGBTQ+, Black Lives Matter, สิทธิมนุษยชน) เพราะ “รู้สึก” เหมือนเจ็บปวดแบบเดียวกับผู้ถูกกดขี่
นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น ผลักดันกฎหมายใหม่ หรือเรียกร้องความเท่าเทียม
Sympathy ในสังคม
คนอาจ “เห็นใจ” กลุ่มที่ถูกกดขี่ แต่ยังเชื่อว่าต้องมีขอบเขต ไม่ใช่ยอมทุกอย่าง
เช่น ยอมรับว่าต้องช่วยเหลือ แต่ยังคงรักษาบทบาทของครอบครัวแบบดั้งเดิม หรือกฎหมายแบบเข้มงวด
--
📌 สรุปตามมุมของ Charlie Kirk
“ผมไม่ชอบคำว่า empathy จริง ๆ แล้ว ผมคิดว่า empathy เป็นคำที่แต่งขึ้นในยุคใหม่ (new age) ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายเยอะ ผมชอบ sympathy มากกว่า empathy”
....
ชารี เคิก ที่ถูกลอบยิง ดาวรุ่งฝ่ายขวา กับ 2คำ Empathy และ Simpathy
📌 ความหมายสองคำ (แบบไทย)
Empathy (เอมพาธี) → “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” หรือ “รู้สึกเหมือนกับเขา”
👉 คือพยายามเข้าใจความรู้สึก มุมมอง และประสบการณ์ของอีกฝ่ายราวกับเป็นของเราเอง
Sympathy (ซิมพาธี) → “เห็นใจ/สงสาร”
👉 คือรับรู้ว่าคนอื่นลำบาก เจ็บปวด หรือตกทุกข์ แต่เรายังยืนอยู่ในมุมของเราเอง ไม่ได้รู้สึกเหมือนเขาเต็ม ๆ
ในประเด็นการเมือง
Empathy ทางการเมือง
หมายถึง นักการเมืองหรือสังคมพยายามเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง เช่น
เข้าใจว่าคนจนรู้สึกยังไงเมื่อไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน
หรือเข้าใจว่าผู้อพยพรู้สึกกลัวและโดดเดี่ยวแค่ไหน
🔺 ข้อดี: ช่วยสร้างนโยบายที่ตอบโจทย์จริง ๆ เพราะ “รู้สึก” ว่าผู้ได้รับผลกระทบเผชิญอะไรอยู่
🔻 ข้อเสีย (ในมุม Kirk): อาจทำให้การตัดสินใจทางการเมือง อิงอารมณ์มากกว่าเหตุผล เช่น อาจยอมเปิดพรมแดนกว้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย ความมั่นคง หรือผลระยะยาว
Sympathy ทางการเมือง
หมายถึง นักการเมือง “รับรู้” ความทุกข์ของประชาชน แต่ยังวางระยะห่าง เช่น
เห็นใจคนจน แต่ยังต้องรักษากฎเกณฑ์เศรษฐกิจ
สงสารผู้อพยพ แต่ยังยืนยันว่าต้องเข้ามาถูกกฎหมาย
🔺 ข้อดี: ทำให้การตัดสินใจยังคงยึดหลักการ กฎหมาย และผลประโยชน์ของประเทศ
🔻 ข้อเสีย: อาจถูกวิจารณ์ว่า เย็นชา ไม่เข้าใจจริง ๆ กับความเจ็บปวดของคนที่ลำบาก
--
ในประเด็นสังคม
Empathy ในสังคม
คนอาจสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางสังคม (เช่น LGBTQ+, Black Lives Matter, สิทธิมนุษยชน) เพราะ “รู้สึก” เหมือนเจ็บปวดแบบเดียวกับผู้ถูกกดขี่
นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น ผลักดันกฎหมายใหม่ หรือเรียกร้องความเท่าเทียม
Sympathy ในสังคม
คนอาจ “เห็นใจ” กลุ่มที่ถูกกดขี่ แต่ยังเชื่อว่าต้องมีขอบเขต ไม่ใช่ยอมทุกอย่าง
เช่น ยอมรับว่าต้องช่วยเหลือ แต่ยังคงรักษาบทบาทของครอบครัวแบบดั้งเดิม หรือกฎหมายแบบเข้มงวด
--
📌 สรุปตามมุมของ Charlie Kirk
“ผมไม่ชอบคำว่า empathy จริง ๆ แล้ว ผมคิดว่า empathy เป็นคำที่แต่งขึ้นในยุคใหม่ (new age) ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายเยอะ ผมชอบ sympathy มากกว่า empathy”
....