สรุปหนังสือความลับของความสุข Secrets of Happiness ของคุณเอ๋ นิ้วกลม
สารภาพตามตรงก่อนหน้านี้ผมแทบไม่เคยอ่านหนังสือแนวนี้เลย
แต่พอได้รู้จักคุณเอ๋ไปสักพัก บวกกับมีน้องที่รู้จักเอามาให้อ่าน ก็เลยคิดว่าลองเปิดอ่านดูสักหน่อยดีกว่า และอีกอย่างหน้าปกก็ออกแบบได้อย่างสวยงาม จากทั้งหมดที่พูดมาจึงทำให้ผมได้รู้จักจักรวาลนิ้วกลม จักรวาลแห่งความชีวิต แง่คิด และความสุข
ผมเลยจะถือเอาโอกาสนี้ที่ได้อ่านจบ มาแอบเผยความลับของความสุขให้ฟังกัน
เรื่องร้ายก็กลายเป็นของขวัญได้
เริ่มต้นที่บทนำก็ชวนหยุดคิดอยู่นาน เมื่อหนังสือเล่มนี้บอกว่าเรื่องร้ายก็เป็นของขวัญได้ แต่เป็นของขวัญที่ดูน่าเกลียด
และเมื่อเปิดออกมาเจอครั้งแรกอาจน่ากลัว แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานพอเราอาจจะดีใจที่เคยได้รับของขวัญแสนน่าเกลียดกล่องนี้มา
เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงชีวิตตัวเอง ตอนเคยได้ของขวัญแสนอัปลักษณ์ ได้รับคำนินทาว่าร้ายครั้งใหญ่ วันนั้นทุกข์ทรมานมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน เครียดแบบไม่รู้จะเครียดยังไงได้อีก แต่ท้ายที่สุดเมื่อเวลาเริ่มผ่านไป เรื่องต่างๆ เริ่มชัด สติเริ่มมา มองเห็นทางแก้มากขึ้นเรื่อยๆ
ท้ายที่สุดผ่านมันมาได้ จากร้ายกลับกลายเป็นดี ทำให้เราได้รู้ว่าใครคือมิตรแท้ ใครคือมิตรเทียม ใครคือปลิงที่แอบเกาะกินเรา ใครคือคนที่เกลียดเราแม้ไม่เคยเจอหน้าคร่าตากันมาก่อน และใครที่รักเราแม้จะไม่เคยได้เจอหน้าคร่าตามาก่อนเช่นกัน
ทุกวันนี้ผมพูดเรื่องของขวัญแสนอัปลักษณ์นี้อย่างภูมิใจ เพราะมันทำให้ผมเติบโตและแกร่งขึ้นมาจากวันนั้น รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องแบบนี้อย่างไร ขอบคุณเรื่องร้ายที่ผ่านเข้ามาในเวลาที่ดี ขอบคุณที่ผ่านเข้ามาตั้งแต่วันนั้น เลยทำให้ผมมีภูมิคุ้มกันในวันนี้
จากบนนำคำเกริ่น มาลองดูความลับของความสุขแรกที่ผมรู้สึกประทับใจ จนอยากหยิบมาแอบเผยความลับนี้กันดีกว่าครับ
รู้ว่าต้องการความสุขเท่าไหร่
ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีเขียนถึงคำนี้ตรงๆ หรืออาจจะมีแต่ผมเองจำไม่ได้ แต่เป็นการสรุปจากหลายๆ ส่วนที่มาจากหลายๆ บท จนทำให้ค้นพบว่า Pattern ของความสุขที่คุณเอ๋พยายามบอกคือ การจะมีความสุขในชีวิตได้ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเราต้อการความสุขเท่าไหร่กัน
คุณอาจสงสัยว่า “ทำไมต้องรู้ว่าต้องการมีความสุขเท่าไหร่ ? มันไม่ใช่ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีความสุขหรอกหรอ ?”
ผมอยากบอกแบบนี้ครับ ความสุขทางโลกที่เรามักอยากได้ใคร่มีกัน ไม่ว่าจะบ้าน รถ เงิน นาฬิกา สร้อยเพชร กระเป๋า หรือของประดับอื่นใด หรือแม้แต่การได้บินหรูนอนโรงแรมหรูสบายๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องแลกไปเพื่อให้ได้มากซึ่งความสุขเหล่านี้
อยากมีเงินร้อยล้านหรอ ไม่ยาก คุณพร้อมทำงานหนักเท่ากับคนที่ทำธุรกิจมีเงินร้อยล้านหรือเปล่า และคุณพร้อมจะทำงานหนักด้วยความอดทนมากๆ ใน
ระยะเวลาหลายปีหรือไม่ ?
คุณอยากมีรถสปอร์ตเอาไว้จอดช่อง Super Car เพื่อเวลาไปช้อปปิ้งซื้อของในห้างสรรสินค้าจะได้หาที่จอดง่ายๆ ไม่ต้องวนหลายชั้น ถ้าใช่ คุณพร้อมทำงานหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินค่างวดรถหรูเหล่านั้นหรือไม่ ?
คุณอยากบินหรู First Class มีเบาะนั่งที่สามารถปรับเป็นที่นอนสบายๆ ยิ่งถ้าคุณต้องบินไฟท์ไกลๆ อย่างไปยุโรบหรืออเมริกา คุณก็จะไม่เหนื่อยมาก
แถมบางสายการบินยังมีห้องอาบน้ำให้คุณได้ใช้บนเครื่องอีกด้วย ค่าตั๋วก็ไม่มาก แค่ 4-7 แสน ก็แล้วแต่สายการบิน ว่าแต่คุณพร้อมทำงานหนัก
เพื่อแลกมาซึ่งสิ่งนั้นมั้ย
บางคนบอกไม่จริงๆ เห็นผู้บริหารหลายคน หรือเจ้าของธุรกิจมากมายไม่เห็นจะทำงานหนักอะไรเลยทุกวันนี้
ก็จริงครับคุณพูดถูก แต่คุณเชื่อจริงๆ หรือว่าเขาไม่ได้ทำงานหนักมากๆ มาก่อนที่จะสบายอย่างทุกวันนี้ หรือคุณแน่ใจหรอครับว่าทุกวันนี้เขาไม่เครียด
กับเรื่องต่างๆ ที่ต้องรอให้ตัดสินใจ และหลายเรื่องก็สามารถชี้เป็นชี้ตายธุรกิจได้สบายๆ ถ้าตัดสินใจผิดพลาดอีกด้วย
ตัดสินใจบางอย่างไปอาจสูญเสียหลายสิบหรือหลายร้อยล้าน ตัดสินใจบางอย่างดีอาจได้กลับมาแค่สิบหรือไม่กี่ล้านก็เป็นได้
ฉะนั้นจะเห็นว่าความสุขมีราคาของมันที่เราต้องจ่าย จ่ายด้วยเวลา จ่ายด้วยความเหนื่อยยาก หรือจ่ายด้วยความเสี่ยงล้มเหลวเมื่อต้องตัดสินใจ
เลยทำให้ตระหนักได้ว่าถามตัวเองกันให้ดีว่าจริงๆ แล้วเราต้องการมีความสุขเท่าไหร่ หรือเราพร้อมจะจ่ายเพื่อความสุขนั้นได้มากแค่ไหน
เมื่อเราเข้าใจความลับของความสุขข้อนี้ เราก็จะเริ่มประเมินความสุขที่เราต้องการหรือต้องมีได้อย่างฉลาดขึ้น เพราะสิ่งที่ต้องการตามมาด้วยสิ่งที่ต้องทำ เพราะลำพังแค่อ่านหรือฟังคำใดๆ มา ล้วนไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ การจะเปลี่ยนชีวิตได้ล้วนต้องอาศัยการลงมือทำ อ่าน ฟัง แล้วทำ ชีวิตจึงเปลี่ยน
ทำทุกวันเพื่อสะสมความเปลี่ยนแปลง
ถ้าการประสบความสำเร็จคือความสุข แล้วความลับของการประสบความสำเร็จหละคืออะไร ?
หลายคนชอบคิดว่าการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญได้ ต้องอาศัยการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนเกิดความเปลี่ยนแปลง
แต่จากความลับของความสำเร็จหรือคนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่เลยครับ พวกเขาไม่ได้ทำแค่งานใหญ่ไม่กี่งาน
แต่พวกเขาอาศัยการทำสะสมงานเล็กงานน้อยเพื่อไต่เต้าเข้าสู่งานใหญ่โอกาสสำคัญต่างหาก
คนทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ล้วนเริ่มจากการจับปลาเล็กทั้งนั้น แน่นอนว่าอาจมีบ้างที่โชคดีได้จับปลาใหญ่แต่ต้นแล้วปังแล้ว
แต่ผมอยากให้คุณลองถอยกลับมาตั้งสติคิดสักนิดดีๆ มีคนที่ประสบความสำเร็จกี่คนแล้วคิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของคนที่ประสบความสำเร็จทั้งหมด
ที่โชคดีได้จับปลาใหญ่สร้างผลงานปังจนดังตั้งแต่ครั้งแรก ?
ดังนั้นความสม่ำเสมอคือรากฐานความสำเร็จในระยะยาว เหมือนกับการวิ่งมาราธอนในเส้นทางชีวิตหรือสายอาชีพต่างๆ
จุดเริ่มต้นออกตัวเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ก็เหมือนกับในแต่ละปีมีคนจบใหม่ หรือคนที่เพิ่งเริ่มต้นการทำงานได้ไม่นาน
แต่พอเวลาผ่านไปคนที่ยังเหลือวิ่งอยู่ในเส้นทางชีวิตสู่ความสำเร็จกลับเหลือน้อยลงทุกที
ไม่ต้องพูดถึงคนที่สามารถอดทนจนสามารถวิ่งเข้าเส้ยชัยในทางมาราธอนได้นั้นกลับมีน้อยนิดกว่านั้นมาก
นั่นบอกให้รู้ว่าคนที่ออกตัวได้เร็วในตอนต้นไม่ได้จะเป็นผู้ชนะ หรือแม้แต่เป็นผู้เข้าเส้นชัยได้เสมอไป
แต่คนที่สามารถเข้าเส้นชัยได้คือคนที่ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ
ไม่หยุดยอมแพ้ระหว่างทางในช่วงเวลาที่เหนื่อยยากแสนทรมานจนเหมือนจะหายใจแทบไม่ออก เหมือนจะขาดใจตาย
ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ การฝึกฝนอย่างอดทนและทำอย่างสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญ
เหมือนกับช่วงเวลาของนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองได้ชัยชนะ ในชั่วขณะที่ผู้คนทั้งสนามหรือทั้งโลกต่างปรบมือให้เขาพร้อมเพรียงกัน
ส่งเสียงเฮร่วมกันดังกระหึ่ม ชั่วขณะนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีช่วงเวลามากมายที่นักกีฬาคนนั้นฝึกซ้อมอย่างหนักสะสมในมุมที่ไม่มีใครเห็น
ฉะนั้นเวลาคุณเห็นคนเก่ง คนประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ อย่ามองแค่เบื้องหน้าที่เราเห็น แต่ให้มองไปถึงเบื้องหลังที่เขาต้องแลกมาเพื่อให้มาถึงจุดนี้ แล้วทั้งหมดนี้จะทำให้เราตกผลึกคิดได้ว่า เราต้องมีแค่ไหน เราต้องการความสำเร็จสักเท่าไหร่
หรือเราต้องมีแค่ไหนจึงจะสามารถเป็นผู้มีความสุขในชีวิตแล้ว
สะสมเศษเวลาสู่ความสำเร็จ
เรื่องนี้ก็คล้ายกับหัวข้อก่อนหน้า การจะทำงานใหญ่ให้สำเร็จ ล้วนมาจากการสะสมงานเล็กที่ประสบความสำเร็จเป็นบันไดปูทาง
การอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาตนเองก็เช่นกัน หนึ่งในปณิธานที่คนเรามักตั้งใจว่าจะทำกันทุกปีใหม่ คือการอ่านหนังสือให้มากขึ้น
หรืออย่างน้อยก็อยากเริ่มต้นอ่านหนังสือบ้าง
แต่หลายคนก็ชอบคิดว่าการจะอ่านหนังสือให้จบเล่มได้นั้นต้องมีเวลา ต้องมีบรรยากาศที่ดี ต้องมีโต๊ะ เก้าอี้ แสงไฟ ดนตรีที่ดี
แต่ในความเป็นจริงแล้วแค่เราพกหนังสือติดมือไปทุกที่ แล้วหยิบมาเปิดอ่านทุกครั้งที่ว่างแทนการเล่นมือถือ อ่านสะสมครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
รวมกันทุกวันในสัปดาห์ แปบๆ คุณก็สามารถอ่านได้จบเล่มแล้ว
ในฐานะที่ผมเคยอ่านหนังสือได้ปีละร้อยกว่าเล่ม (ตอนนี้เหลือแค่ 40-50 เล่ม) เคล็ดลับเดียวที่มักถูกถามว่าทำยังไงถึงอ่านหนังสือได้เร็ว
ผมตอบตามตรงว่าไม่รู้ คนถามแปลกใจว่าถ้าผมไม่อ่านหนังสือได้เร็วแล้วไม่กี่วันผมอ่านจบเล่มได้อย่างไร ผมบอกว่าผมเป็นคนอ่านหนังสือช้า
แต่ผมมีหนังสือติดมือไปทุกที่ ว่างเมื่อไหร่ก็หยิบขึ้นมาอ่าน
อ่านสะสมทีละ 4-5 หน้า บางครั้งก็ได้ 10-20 หน้าถ้าอยู่ระหว่างเดินทางด้วยรถไฟฟ้า แปบๆ ผมก็อ่านได้จบเล่ม เคล็ดลับการอ่านหนังสือมีแค่นี้
สะสมเศษเวลา เศษแต่ละหน้า จนหมดเล่มในที่สุด
อ่านเสร็จก็เอามาเขียนสรุปสักเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองได้ทบทวนความเข้าใจโดยรวมทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้สิ่งที่อ่านไปนั้นฝังเข้าหัวลึกขึ้นอีกสักหน่อย
การอ่านหนังสือก็เช่นเดียวกับความสำเร็จครับ อย่าหวังว่าจะอ่านรวดเดียวได้จบเล่ม อ่านเก็บทีละหน้า อ่านจบทีละบท สะสมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จบเล่ม
แล้วเมื่อผ่านหนึ่งปีไปคุณจะพบว่าเราก็สามารถอ่านหนังสือจบหลักร้อยเล่มได้สบายๆ
วันนี้แข่งกับเขา วันหน้าแข่งกับตัวเราเอง
การแข่งขันเป็นหนึ่งในวิถีชีวิตตามปกติ เพียงแต่เราชอบคิดว่าเราต้องใช้ชีวิตหรือทำงานแข่งกับคนอื่น แข่งกับคู่แข่ง
เพื่อที่จะให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนสามารถตกผลึกกับชีวิตได้มากขึ้น เราจะพบว่าแท้จริงแล้วเราไม่ได้อยากแข่งกับใคร
เราแค่อยากจะทำตัวเองในวันนี้ให้ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ดังนั้นการแข่งกับตัวเองนั้นยากที่สุด
จะบอกว่ายากตั้งแต่จุดเริ่มต้นก็ได้ แข่งกับความขี้เกียจของตัวเองให้ลุกขึ้นมาวิ่ง ให้หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแทนการเล่นมือถือ
แข่งกับความง่วง ความอยากดูซีรีส์แทนที่จะดูเอกสารตรวจทานงานอีกรอบ
เปรียบกับการวิ่งมาราธอน กิจกรรมยอดนิยมของคุณเอ๋ผู้เขียน ก็เหมือนกับการวิ่งไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วกำลังเหมาะ หรือความช้ากำลังดี ใครอยากแซงก็เชิญ ไม่ขวาง เพราะก็จะย้อนกลับไปข้อก่อนหน้าว่า วิ่งเร็วใช่ว่าจะเข้าถึงเส้นชัย หรือถึงเส้นชัยแล้วว่าจะเหลือแรงสำหรับการดีใจหลังจากนั้น
รู้ตัว รู้ตน หนึ่งในความลับของความสุข
"ความลับของความสุข Secrets of Happiness นิ้วกลม"