MIND: งานวิจัยชี้
คนสมัยนี้ ‘หยาบคาย’ ขึ้น
ทั้งที่รู้ดีว่ามันหยาบคาย
.
คนที่เกิดทัน 'ยุคก่อน' น่าจะรู้สึกว่า 'คนสมัยนี้' มีจิตท่าทีเปลี่ยนไปพอสมควรในแบบที่ 'ไม่เป็นมิตร' ขึ้นในแทบทุกมิติ คนที่มีลีลาภาษาที่รุนแรงและยั่วยุคือผู้ชนะในยุคสมัยนี้ ยุคที่ดาราต้องทำตัวเรียบร้อยและสงวนท่าที จบไปแล้ว ยุคนี้จะมีชื่อเสียงเป็น 'อินฟลูเอนเซอร์' ต้องทำตัว 'แรงๆ' กันทั้งนั้น และเป็นแบบนี้กันทุกสังคม
.
ถ้าลองสังเกตจะเห็นว่าโลกนี้กำลังเกิดภาวะเช่นนี้ เราไม่ได้คิดไปเอง Pew Research Center เองก็รายงานว่าผู้คนเจอการปฏิบัติแบบหยาบคายขึ้น และก็มีงานวิจัยใหม่พยายามจะทำความเข้าใจความหยาบคายนี้ โดยมีสมมติฐานที่น่าสนใจว่า การปฏิบัติต่อกันอย่างหยาบคายหรือ 'ไม่มีมารยาท' เป็นเรื่องที่เกิดเฉพาะในโลกออนไลน์ หากอยู่ในโหมดออฟไลน์จะไ่ม่เป็น เพราะคนจะประนีประนอมกันมากขึ้นเมื่อดีลกันต่อหน้า
.
งานวิจัยนี้ทำขึ้นในอังกฤษ เป็นงานใหม่ปี 2025 นี้เอง และผลที่น่าสนใจก็คือ ผู้คนไม่ได้เป็นอย่างที่คิดกัน
.
โดยในโลกออกไลน์ ที่ผู้คนต่างหยาบคายใส่กัน ส่วนหนึ่งเพราะชอบประชดประชันกันเวลาไม่พอใจ และพอโต้กันไปมาก็จะหยาบคายขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ว่าออฟไลน์จะไม่เป็น เพราะงานวิจัยก็ชี้เช่นกันว่ามันแค่เกิด 'ช้ากว่า' คือคนมันจะไม่ได้ซัดกันหยาบคายเต็มที่ในประโยคสองประโยค แต่ทุกวันนี้คนเราจะโต้กันไปมาสักพัก ก่อนความรุนแรงทางถ้อยคำจะไปถึงขั้นขยาบคายในที่สุด ไม่ได้ต่างจากโลกออนไลน์
.
นี่อาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่งานวิจัยนี้พิสูจน์ว่า จริงๆ แล้ว 'ความหยาบคาย' แบบที่เราเจอในโลกออนไลน์ มันหลุดออกมาออฟไลน์เรียบร้อยแล้ว เราสัมผัสได้ถึงความหยาบคายในการมีปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้าได้ระดับเดียวกับที่เราเจอในออนไลน์ และนี่เองที่หักล้างความคิดที่ว่า ถ้าคนเราคุยกันต่อหน้า ความหยาบคายจะน้อยลง สถานการณ์จะไม่บานปลาย ฯลฯ
.
คำถามที่สำคัญคือ ทำไมมันเป็นแบบนี้
.
แนวทางอธิบายหลักอย่างหนึ่งคือการโทษโควิด-19 ที่ทำให้คนไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กันแบบต่อหน้าเป็นเวลานาน เหมือนทุกอย่างถูกรีเซ็ตหมด ทุกคนชินกับการคุยกันผ่านหน้าจอ และมาตรฐานการคุยกันออนไลน์ในโลกออฟไลน์ มันเลยเป็นอย่างที่เห็น
.
นี่เองทำให้ปัญหาโยนกลับมาในโลกออนไลน์ ว่ามันมีอะไรในโลกออนไลน์ที่ทำให้คน 'หยาบคาย' ขึ้น
.
ในอดีต คำอธิบายคือ การปฏิสัมพันธ์ออนไลน์มันเป็นแบบ 'นิรนาม' คนเลย 'หยาบคาย' กันง่าย ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะหายไปถ้าคุยกันแบบไม่นิรนาม (ไม่ต้องพูดถึงออฟไลน์) แต่งานวิจัยข้างต้นก็ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่การคุยกันต่อหน้า ก็ไม่รอดจากระดับความหยาบคายที่สูงขึ้นในยุคนี้
.
คำถามต่อมาคือ หรือว่า 'สำนึก' คนมันเปลี่ยน คนไม่ได้มองว่าที่ทำแบบนี้มันหยาบคายหรือไม่มีมารยาทอีกต่อไปแล้ว ก็เลยทำแบบนี้? งานวิจัยข้างต้นชี้เช่นกันว่า คนที่หยาบคายรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ทำมันหยาบคาย แต่ยังทำ เพราะนั่นคือสิ่งที่คาดหวังว่าคนอื่นจะทำ หรือให้ตรงคือเวลาคุยกันมันจะค่อยๆ เสียดสีกันและยกระดับความหยาบคายขึ้นช้าๆ จนคุยกันในภาษาที่ไม่ได้ต่างจากพิมพ์ด่ากันในที่สุด
.
และมาถึงตรงนี้ สิ่งที่เขาอธิบายกันก็คือ จริงๆ แล้วคนที่ 'หยาบคายตามธรรมชาติ' หรือหยาบคายแบบไม่ได้สำนึกว่าที่ทำนี้มันหยาบคาย จริงๆ ก็ไม่ได้มีมากไปกว่าในอดีต แต่ในปัจจุบัน ด้วยโซเชียลมีเดีย ด้วยอัลกอริทึม หรือด้วยความนิยมทางสังคมอะไรก็ตามแต่ เราจึงเห็นความหยาบคายมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูจาก 'อินฟลูฯ' หรือ 'เซเลบฯ ออนไลน์' แต่ละคน มีใครเบาๆ บ้าง? มีแต่แรงๆ กันทั้งนั้น
.
ประเด็นคือ 'บรรทัดฐาน' (norm) สังคมมันไม่ได้เปลี่ยนเลย แต่สังคม 'ให้รางวัล' หรือ 'ให้พื้นที่สื่อ' คนที่ 'ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐาน' มากขึ้น ซึ่งจะบอกว่าสร้างมาตรฐานใหม่ก็พอได้ หรือจะบอกว่ามันกำลังสร้างสังคมสองมาตรฐาน ที่ทุกคนรู้ว่านี่คือสิ่งที่เสียมารยาท แต่ทุกคนก็ทำ เพราะคิดว่าถึงตัวเองไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดี
.
แน่นอน เรื่องพวกนี้หายนะพอสมควร และมันก็ไม่มีใครรู้ว่าในทางปฏิบัติจริงจะแก้ได้ยังไง เพราะการบอกให้ปิดอินเทอร์เน็ต ให้คนกลับไปดูทีวีที่ผ่านกองเซ็นเซอร์แบบเมื่อก่อนมันก็น่าจะทำให้คนกลับเป็นเหมือนเดิมได้ แต่มันคงทำไม่ได้จริง
.
สุดท้าย สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ แม้แต่อินฟลูเอนเซอร์ตัวแรงๆ บนอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก สิ่งที่เห็นมันก็อาจเป็นแค่คาแรกเตอร์ที่ทำเพื่อเรียกเอนเกจเมนต์ และเปลี่ยนมันมาเป็นรายได้ หรือเป็น 'การแสดง' แบบหนึ่งเท่านั้น ตัวจริงของหลายๆ คนก็อาจไม่ได้ดุเดือดแบบนั้น ก็ไม่ได้ต่างจากนักดนตรีหรือร็อกสตาร์ที่สร้าง 'บุคลิกบนเวที' ของศิลปินให้เป็นที่จดจำและเพิ่มอรรถรสในการเสพงาน ทั้งที่จริงๆ ในชีวิตส่วนตัวก็ไม่ได้เป็นคนแบบนั้น
.
#MIND #BrandThink #CreativeChange
#Empowering #Diversity #PositiveImpact
งานวิจัยชี้ คนสมัยนี้ ‘หยาบคาย’ ขึ้น ทั้งที่รู้ดีว่ามันหยาบคาย 🗣️
คนสมัยนี้ ‘หยาบคาย’ ขึ้น
ทั้งที่รู้ดีว่ามันหยาบคาย
.
คนที่เกิดทัน 'ยุคก่อน' น่าจะรู้สึกว่า 'คนสมัยนี้' มีจิตท่าทีเปลี่ยนไปพอสมควรในแบบที่ 'ไม่เป็นมิตร' ขึ้นในแทบทุกมิติ คนที่มีลีลาภาษาที่รุนแรงและยั่วยุคือผู้ชนะในยุคสมัยนี้ ยุคที่ดาราต้องทำตัวเรียบร้อยและสงวนท่าที จบไปแล้ว ยุคนี้จะมีชื่อเสียงเป็น 'อินฟลูเอนเซอร์' ต้องทำตัว 'แรงๆ' กันทั้งนั้น และเป็นแบบนี้กันทุกสังคม
.
ถ้าลองสังเกตจะเห็นว่าโลกนี้กำลังเกิดภาวะเช่นนี้ เราไม่ได้คิดไปเอง Pew Research Center เองก็รายงานว่าผู้คนเจอการปฏิบัติแบบหยาบคายขึ้น และก็มีงานวิจัยใหม่พยายามจะทำความเข้าใจความหยาบคายนี้ โดยมีสมมติฐานที่น่าสนใจว่า การปฏิบัติต่อกันอย่างหยาบคายหรือ 'ไม่มีมารยาท' เป็นเรื่องที่เกิดเฉพาะในโลกออนไลน์ หากอยู่ในโหมดออฟไลน์จะไ่ม่เป็น เพราะคนจะประนีประนอมกันมากขึ้นเมื่อดีลกันต่อหน้า
.
งานวิจัยนี้ทำขึ้นในอังกฤษ เป็นงานใหม่ปี 2025 นี้เอง และผลที่น่าสนใจก็คือ ผู้คนไม่ได้เป็นอย่างที่คิดกัน
.
โดยในโลกออกไลน์ ที่ผู้คนต่างหยาบคายใส่กัน ส่วนหนึ่งเพราะชอบประชดประชันกันเวลาไม่พอใจ และพอโต้กันไปมาก็จะหยาบคายขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ว่าออฟไลน์จะไม่เป็น เพราะงานวิจัยก็ชี้เช่นกันว่ามันแค่เกิด 'ช้ากว่า' คือคนมันจะไม่ได้ซัดกันหยาบคายเต็มที่ในประโยคสองประโยค แต่ทุกวันนี้คนเราจะโต้กันไปมาสักพัก ก่อนความรุนแรงทางถ้อยคำจะไปถึงขั้นขยาบคายในที่สุด ไม่ได้ต่างจากโลกออนไลน์
.
นี่อาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่งานวิจัยนี้พิสูจน์ว่า จริงๆ แล้ว 'ความหยาบคาย' แบบที่เราเจอในโลกออนไลน์ มันหลุดออกมาออฟไลน์เรียบร้อยแล้ว เราสัมผัสได้ถึงความหยาบคายในการมีปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้าได้ระดับเดียวกับที่เราเจอในออนไลน์ และนี่เองที่หักล้างความคิดที่ว่า ถ้าคนเราคุยกันต่อหน้า ความหยาบคายจะน้อยลง สถานการณ์จะไม่บานปลาย ฯลฯ
.
คำถามที่สำคัญคือ ทำไมมันเป็นแบบนี้
.
แนวทางอธิบายหลักอย่างหนึ่งคือการโทษโควิด-19 ที่ทำให้คนไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กันแบบต่อหน้าเป็นเวลานาน เหมือนทุกอย่างถูกรีเซ็ตหมด ทุกคนชินกับการคุยกันผ่านหน้าจอ และมาตรฐานการคุยกันออนไลน์ในโลกออฟไลน์ มันเลยเป็นอย่างที่เห็น
.
นี่เองทำให้ปัญหาโยนกลับมาในโลกออนไลน์ ว่ามันมีอะไรในโลกออนไลน์ที่ทำให้คน 'หยาบคาย' ขึ้น
.
ในอดีต คำอธิบายคือ การปฏิสัมพันธ์ออนไลน์มันเป็นแบบ 'นิรนาม' คนเลย 'หยาบคาย' กันง่าย ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะหายไปถ้าคุยกันแบบไม่นิรนาม (ไม่ต้องพูดถึงออฟไลน์) แต่งานวิจัยข้างต้นก็ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่การคุยกันต่อหน้า ก็ไม่รอดจากระดับความหยาบคายที่สูงขึ้นในยุคนี้
.
คำถามต่อมาคือ หรือว่า 'สำนึก' คนมันเปลี่ยน คนไม่ได้มองว่าที่ทำแบบนี้มันหยาบคายหรือไม่มีมารยาทอีกต่อไปแล้ว ก็เลยทำแบบนี้? งานวิจัยข้างต้นชี้เช่นกันว่า คนที่หยาบคายรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ทำมันหยาบคาย แต่ยังทำ เพราะนั่นคือสิ่งที่คาดหวังว่าคนอื่นจะทำ หรือให้ตรงคือเวลาคุยกันมันจะค่อยๆ เสียดสีกันและยกระดับความหยาบคายขึ้นช้าๆ จนคุยกันในภาษาที่ไม่ได้ต่างจากพิมพ์ด่ากันในที่สุด
.
และมาถึงตรงนี้ สิ่งที่เขาอธิบายกันก็คือ จริงๆ แล้วคนที่ 'หยาบคายตามธรรมชาติ' หรือหยาบคายแบบไม่ได้สำนึกว่าที่ทำนี้มันหยาบคาย จริงๆ ก็ไม่ได้มีมากไปกว่าในอดีต แต่ในปัจจุบัน ด้วยโซเชียลมีเดีย ด้วยอัลกอริทึม หรือด้วยความนิยมทางสังคมอะไรก็ตามแต่ เราจึงเห็นความหยาบคายมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูจาก 'อินฟลูฯ' หรือ 'เซเลบฯ ออนไลน์' แต่ละคน มีใครเบาๆ บ้าง? มีแต่แรงๆ กันทั้งนั้น
.
ประเด็นคือ 'บรรทัดฐาน' (norm) สังคมมันไม่ได้เปลี่ยนเลย แต่สังคม 'ให้รางวัล' หรือ 'ให้พื้นที่สื่อ' คนที่ 'ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐาน' มากขึ้น ซึ่งจะบอกว่าสร้างมาตรฐานใหม่ก็พอได้ หรือจะบอกว่ามันกำลังสร้างสังคมสองมาตรฐาน ที่ทุกคนรู้ว่านี่คือสิ่งที่เสียมารยาท แต่ทุกคนก็ทำ เพราะคิดว่าถึงตัวเองไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดี
.
แน่นอน เรื่องพวกนี้หายนะพอสมควร และมันก็ไม่มีใครรู้ว่าในทางปฏิบัติจริงจะแก้ได้ยังไง เพราะการบอกให้ปิดอินเทอร์เน็ต ให้คนกลับไปดูทีวีที่ผ่านกองเซ็นเซอร์แบบเมื่อก่อนมันก็น่าจะทำให้คนกลับเป็นเหมือนเดิมได้ แต่มันคงทำไม่ได้จริง
.
สุดท้าย สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ แม้แต่อินฟลูเอนเซอร์ตัวแรงๆ บนอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก สิ่งที่เห็นมันก็อาจเป็นแค่คาแรกเตอร์ที่ทำเพื่อเรียกเอนเกจเมนต์ และเปลี่ยนมันมาเป็นรายได้ หรือเป็น 'การแสดง' แบบหนึ่งเท่านั้น ตัวจริงของหลายๆ คนก็อาจไม่ได้ดุเดือดแบบนั้น ก็ไม่ได้ต่างจากนักดนตรีหรือร็อกสตาร์ที่สร้าง 'บุคลิกบนเวที' ของศิลปินให้เป็นที่จดจำและเพิ่มอรรถรสในการเสพงาน ทั้งที่จริงๆ ในชีวิตส่วนตัวก็ไม่ได้เป็นคนแบบนั้น
.
#MIND #BrandThink #CreativeChange
#Empowering #Diversity #PositiveImpact