อาจจะเป็นกระทู้ระบาย ที่ขอระบายความรู้สึกอัดอั้นในใจหน่อยนะคะ
เราเกิดมาในตอนที่พ่อแม่ลำบาก เลยไม่สามารถดูแลเลี้ยงดูเราได้ เลยหอบเราใส่ผ้าขนหนูมาตอนอายุ 1เดือน เอามาให้ปู่ย่าเลี้ยง
แล้วเขาสองคนก็ไปใช้ชีวิตด้วยกันต่อที่ต่างจังหวัด โดยที่ไม่เคยมาหา ไม่เคยส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้กับเราเลย จนกระทั้งเราโต
ในชีวิตนี้ เรานับครั้งได้เลยนะกับการที่ได้เจอหน้าพวกเขา แต่ก็เข้าใจว่าเขามีเราในตอนที่กำลังลำบาก
หลังจากที่เขาปล่อยให้เราอยู่กับปู่ย่าได้จนอายุ 5ขวบ เขาก็มีน้องคนที่สอง และน้องคนที่สามตามมา ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นและเข้าสู่สภาวะปกติ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ส่งเสียเรานะ ก็พอเข้าใจได้ เพราะเขามีลูกใหม่ตั้งสองคน ค่าใช้จ่ายคงเยอะ จนไม่สามารถแบ่งมาส่งเสียเราได้
แต่เราก็รักพวกเขานะ เราโหยหาความรักจากพ่อแม่มาตลอด ยิ่งตอนเด็ก เราเฝ้าถามกับตัวเอง ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เคยมาหาเราบ้าง ทำไมเขาไม่มารับเราไปอยู่กับเขาบ้างเลย วันพ่อวันแม่นี่ถือเป็นปมเป็นวันที่เราไม่อยากให้มีเลยจริงๆ เพราะเพื่อนๆเขามีพ่อแม่กันหมด
ปู่กับย่าของเราทำงานหาเงินดูแลตัวเองและดูแลเรา โดยที่ไม่มีลูกมาส่งเสียเลี้ยงดูช่วยเหลือ
ในวันที่เราลำบาก เราจำได้ไม่มีวันลืมเลย มาม่า 3ซองมาต้มแบ่งกันกิน เคยต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินไปโรงเรียน ส่วนค่าเทอมย่าก็ต้องไปคุยกับครูเพื่อทยอยผ่อนจ่าย พวกเราต้องอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ นอนในเล้าไก่ก็เคยมาแล้ว
เรามีพี่น้อง 3คน แต่เราเป็นเพียงคนเดียวที่เรียนไม่จบ เพราะปู่กับย่าเราอายุมาก หมดแรงที่จะทำงานส่งเสียเราได้ เราเลยต้องลาออกมา แล้วทำงาน ครั้นจะทำงานไปด้วยเเรียนไปด้วยก็ไม่ไหว เพราะเรามีค่าใช้จ่ายที่ต้องเลี้ยงดูคนสูงอายุ 2คน และก็ตัวเราเองด้วย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ฯลฯ
ในขณะที่น้องของเราสองคนได้อยู่กับพ่อแม่แบบพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเขามีชีวิตที่สบายกว่าเรา มีที่ดิน มีบ้านเป็นของตัวเอง แถมน้องๆก็ได้เรียนเพราะพ่อแม่ส่งเสียทุกอย่าง
มาในวันนี้ หลังจากที่เราทิ้งการเรียน เข้าสู่วัยทำงานเต็มตัวมาสู่ปีที่ 12 เราเป็นคนที่ไม่กิน ไม่เที่ยว ไม่มีเพื่อน เราพยามยามเก็บออมเงินมาเป็นสิบปี จนสามารถซื้อที่ดิน และสร้างบ้านให้ปู่กับย่าได้ รวมถึงซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในการพาปู่ย่าไปหาหมอ แม้ทุกอย่างที่เรามี มันไม่ใช่ที่ผืนใหญ่ ไม่ใช่บ้านหลังโต ไม่ใช่รถคันใหม่ แต่เราก็รู้สึกดีใจ ภูมิใจ ที่ได้เห็นปู่กับย่ามีรอยยิ้ม และอยู่ในพื้นที่ในบ้านที่เป็นของพวกเราเอง
ตั้งแต่เด็กจนโต เราแทบไม่ได้ติดต่อกันเลยค่ะ นั่นจึงทำให้เราและน้องๆแทบไม่มีความสนิทกัน ส่วนพ่อแม่เอง เราก็เพิ่งติดต่อกันในช่วงที่เริ่มมีโซเชียลแล้ว แต่ก็ไม่กี่ปีนี้ ซึ่งนานๆก็จะคุยกันทีค่ะ เพราะเราเองก็เกร็งๆ ไม่ค่อยสนิทกับพ่อแม่เท่าไหร่
แล้ววันนี้ จู่ๆคำว่าลูกอกตัญญูก็ผุดขึ้นมาในหัวเรา
พอดีพ่อแม่จะทำบ้านใหม่ค่ะ ซึ่งจู่ๆน้องสาวก็ติดต่อมาหาเรา ถามว่าเราจะช่วยลงขันเท่าไหร่
ด้วยความที่เราเองก็หมดเงินเก็บไปกับที่ดิน บ้านและรถแล้ว และเราก็ งง นิดหน่อย ตรงที่ร้อยวันพันปี เขาแทบไม่ติดต่อมา แต่วันนี้ติดต่อมาแล้วถามถึงเรื่องเงิน เราก็เลยบอกน้องสาวไปว่า... เราไม่มีเงิน อีกอย่างบ้านหลังที่จะทำนั้น เราไม่มีโอกาสได้ไปอยู่กับพวกเขาด้วย
น้องสาวเลยพูดขึ้นมาว่า...
พ่อแม่เป็นคนทำให้พี่เกิดมานะ แม้พวกเขาจะไม่ได้เลี้ยงดู แต่พี่ก็ต้องสำนึกตรงนี้ไว้ด้วย พี่จะไม่ช่วยหน่อยเหรอ
แม้จะเป็นประโยคที่ไม่มีคำหยาบคาย แต่ก็เหมือนด่าว่าเรากลายๆ ว่าเราเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่ช่วยเหลือในการสร้างบ้านให้พ่อแม่
เรารู้สึกเจ็บ รู้สึกโกรธ โมโหนะคะ ที่ประโยคพวกนี้ พ่อแม่ยังไม่เคยมาพูดกับเราเลย แต่เราได้แต่เงียบไว้ ทั้งที่ในใจเรามีประโยคมากมายจะพูดออกออกไป อยากจะเถียงน้องสาวว่า...
ใช่ พวกเขาทำให้พี่เกิดมา แต่เขาเคยมาหา เคยมาอยู่กับพี่ หรือเคยมาส่งเสียเลี้ยงดูพี่มั้ย ชีวิตของพี่ต้องเจออะไรมาแต่เด็กเคยรับรู้บ้างมั้ย พ่อแม่เองก็ยังไม่เคยส่งเสียหรือดูแลปู่ย่าในฐานะลูกเลย ก็มีแต่พี่นี่แหละ ที่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตและดูแลปู่กับย่าจนมีวันนี้ได้
แต่เราก็ได้แต่คิดค่ะ ไม่กล้าพูดออกไป เพราะเรารู้ว่าถ้าพูดออกไป มันเหมือนเราว่าพ่อแม่ตัวเอง
และก็ต้องยอมรับค่ะ ว่าตลอดมาเราไม่เคยส่งเสียอะไรให้พ่อแม่เลย เพราะกำลังกาย กำลังทรัพย์ที่เรามีตอนนี้ เราทำได้แค่ดูแลตัวเอง ดูแลปู่ย่าแค่นั้น
แต่ภายในใจของเรา มันก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าเราเป็นลูกอกตัญญูจริงๆรึป่าว ที่ไม่มีความสามารถพอที่จะดูแลพ่อแม่ได้เหมือนลูกคนอื่น เราจะบาปมั้ยที่ไม่ได้ดูแลผู้ให้กำเนิด
ขอบคุณพื้นที่นี้ที่ให้ระบายนะคะ
การที่เราไม่สามารถส่งเสียและดูแลพ่อแม่ได้ นี่เท่ากับว่าเราเป็นลูกอกตัญญูและเนรคุณหรือเปล่าคะ
เราเกิดมาในตอนที่พ่อแม่ลำบาก เลยไม่สามารถดูแลเลี้ยงดูเราได้ เลยหอบเราใส่ผ้าขนหนูมาตอนอายุ 1เดือน เอามาให้ปู่ย่าเลี้ยง
แล้วเขาสองคนก็ไปใช้ชีวิตด้วยกันต่อที่ต่างจังหวัด โดยที่ไม่เคยมาหา ไม่เคยส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้กับเราเลย จนกระทั้งเราโต
ในชีวิตนี้ เรานับครั้งได้เลยนะกับการที่ได้เจอหน้าพวกเขา แต่ก็เข้าใจว่าเขามีเราในตอนที่กำลังลำบาก
หลังจากที่เขาปล่อยให้เราอยู่กับปู่ย่าได้จนอายุ 5ขวบ เขาก็มีน้องคนที่สอง และน้องคนที่สามตามมา ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นและเข้าสู่สภาวะปกติ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ส่งเสียเรานะ ก็พอเข้าใจได้ เพราะเขามีลูกใหม่ตั้งสองคน ค่าใช้จ่ายคงเยอะ จนไม่สามารถแบ่งมาส่งเสียเราได้
แต่เราก็รักพวกเขานะ เราโหยหาความรักจากพ่อแม่มาตลอด ยิ่งตอนเด็ก เราเฝ้าถามกับตัวเอง ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เคยมาหาเราบ้าง ทำไมเขาไม่มารับเราไปอยู่กับเขาบ้างเลย วันพ่อวันแม่นี่ถือเป็นปมเป็นวันที่เราไม่อยากให้มีเลยจริงๆ เพราะเพื่อนๆเขามีพ่อแม่กันหมด
ปู่กับย่าของเราทำงานหาเงินดูแลตัวเองและดูแลเรา โดยที่ไม่มีลูกมาส่งเสียเลี้ยงดูช่วยเหลือ
ในวันที่เราลำบาก เราจำได้ไม่มีวันลืมเลย มาม่า 3ซองมาต้มแบ่งกันกิน เคยต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินไปโรงเรียน ส่วนค่าเทอมย่าก็ต้องไปคุยกับครูเพื่อทยอยผ่อนจ่าย พวกเราต้องอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ นอนในเล้าไก่ก็เคยมาแล้ว
เรามีพี่น้อง 3คน แต่เราเป็นเพียงคนเดียวที่เรียนไม่จบ เพราะปู่กับย่าเราอายุมาก หมดแรงที่จะทำงานส่งเสียเราได้ เราเลยต้องลาออกมา แล้วทำงาน ครั้นจะทำงานไปด้วยเเรียนไปด้วยก็ไม่ไหว เพราะเรามีค่าใช้จ่ายที่ต้องเลี้ยงดูคนสูงอายุ 2คน และก็ตัวเราเองด้วย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ฯลฯ
ในขณะที่น้องของเราสองคนได้อยู่กับพ่อแม่แบบพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเขามีชีวิตที่สบายกว่าเรา มีที่ดิน มีบ้านเป็นของตัวเอง แถมน้องๆก็ได้เรียนเพราะพ่อแม่ส่งเสียทุกอย่าง
มาในวันนี้ หลังจากที่เราทิ้งการเรียน เข้าสู่วัยทำงานเต็มตัวมาสู่ปีที่ 12 เราเป็นคนที่ไม่กิน ไม่เที่ยว ไม่มีเพื่อน เราพยามยามเก็บออมเงินมาเป็นสิบปี จนสามารถซื้อที่ดิน และสร้างบ้านให้ปู่กับย่าได้ รวมถึงซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในการพาปู่ย่าไปหาหมอ แม้ทุกอย่างที่เรามี มันไม่ใช่ที่ผืนใหญ่ ไม่ใช่บ้านหลังโต ไม่ใช่รถคันใหม่ แต่เราก็รู้สึกดีใจ ภูมิใจ ที่ได้เห็นปู่กับย่ามีรอยยิ้ม และอยู่ในพื้นที่ในบ้านที่เป็นของพวกเราเอง
ตั้งแต่เด็กจนโต เราแทบไม่ได้ติดต่อกันเลยค่ะ นั่นจึงทำให้เราและน้องๆแทบไม่มีความสนิทกัน ส่วนพ่อแม่เอง เราก็เพิ่งติดต่อกันในช่วงที่เริ่มมีโซเชียลแล้ว แต่ก็ไม่กี่ปีนี้ ซึ่งนานๆก็จะคุยกันทีค่ะ เพราะเราเองก็เกร็งๆ ไม่ค่อยสนิทกับพ่อแม่เท่าไหร่
แล้ววันนี้ จู่ๆคำว่าลูกอกตัญญูก็ผุดขึ้นมาในหัวเรา
พอดีพ่อแม่จะทำบ้านใหม่ค่ะ ซึ่งจู่ๆน้องสาวก็ติดต่อมาหาเรา ถามว่าเราจะช่วยลงขันเท่าไหร่
ด้วยความที่เราเองก็หมดเงินเก็บไปกับที่ดิน บ้านและรถแล้ว และเราก็ งง นิดหน่อย ตรงที่ร้อยวันพันปี เขาแทบไม่ติดต่อมา แต่วันนี้ติดต่อมาแล้วถามถึงเรื่องเงิน เราก็เลยบอกน้องสาวไปว่า... เราไม่มีเงิน อีกอย่างบ้านหลังที่จะทำนั้น เราไม่มีโอกาสได้ไปอยู่กับพวกเขาด้วย
น้องสาวเลยพูดขึ้นมาว่า... พ่อแม่เป็นคนทำให้พี่เกิดมานะ แม้พวกเขาจะไม่ได้เลี้ยงดู แต่พี่ก็ต้องสำนึกตรงนี้ไว้ด้วย พี่จะไม่ช่วยหน่อยเหรอ
แม้จะเป็นประโยคที่ไม่มีคำหยาบคาย แต่ก็เหมือนด่าว่าเรากลายๆ ว่าเราเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่ช่วยเหลือในการสร้างบ้านให้พ่อแม่
เรารู้สึกเจ็บ รู้สึกโกรธ โมโหนะคะ ที่ประโยคพวกนี้ พ่อแม่ยังไม่เคยมาพูดกับเราเลย แต่เราได้แต่เงียบไว้ ทั้งที่ในใจเรามีประโยคมากมายจะพูดออกออกไป อยากจะเถียงน้องสาวว่า... ใช่ พวกเขาทำให้พี่เกิดมา แต่เขาเคยมาหา เคยมาอยู่กับพี่ หรือเคยมาส่งเสียเลี้ยงดูพี่มั้ย ชีวิตของพี่ต้องเจออะไรมาแต่เด็กเคยรับรู้บ้างมั้ย พ่อแม่เองก็ยังไม่เคยส่งเสียหรือดูแลปู่ย่าในฐานะลูกเลย ก็มีแต่พี่นี่แหละ ที่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตและดูแลปู่กับย่าจนมีวันนี้ได้
แต่เราก็ได้แต่คิดค่ะ ไม่กล้าพูดออกไป เพราะเรารู้ว่าถ้าพูดออกไป มันเหมือนเราว่าพ่อแม่ตัวเอง
และก็ต้องยอมรับค่ะ ว่าตลอดมาเราไม่เคยส่งเสียอะไรให้พ่อแม่เลย เพราะกำลังกาย กำลังทรัพย์ที่เรามีตอนนี้ เราทำได้แค่ดูแลตัวเอง ดูแลปู่ย่าแค่นั้น
แต่ภายในใจของเรา มันก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าเราเป็นลูกอกตัญญูจริงๆรึป่าว ที่ไม่มีความสามารถพอที่จะดูแลพ่อแม่ได้เหมือนลูกคนอื่น เราจะบาปมั้ยที่ไม่ได้ดูแลผู้ให้กำเนิด
ขอบคุณพื้นที่นี้ที่ให้ระบายนะคะ