ภาษีทรัมป์ล่อใจ ‘ลักลอบของหรู’ ซุกเพชรในรองเท้า นาฬิกาใต้รักแร้ สวมเสื้อหลายชั้นตบตาศุลกากร กำไรงามเกิน 30% นักช้อปขอเสี่ยงลอง
.
ภาษีทรัมป์ที่สูงลิ่ว กำลังปลุกกระแส “ลักลอบสินค้าหรู” ให้กลับมาเฟื่องฟู พร้อมสารพัดกลเม็ดที่คนรวยและนักเดินทางคิดค้นเพื่อเลี่ยงภาษี บ้างสวมเสื้อผ้าหลายชั้นซ่อนกระเป๋าและเครื่องประดับ บ้างเย็บอัญมณีไว้ในรองเท้าหรือเสื้อผ้า บางรายถึงขั้นม้วนนาฬิกาข้อมือลงในสารเหนียวซุกใต้รักแร้
.
ภายใต้ภาษีทรัมป์ที่พุ่งสูงลิ่ว นี่กำลังสร้าง “แรงจูงใจครั้งใหญ่” ให้เหล่านักเดินทางและนักช้อปชั้นสูงอเมริกันแห่บินไปจับจ่ายสินค้าหรูในต่างแดน แล้วหาทางนำกลับประเทศโดย “ไม่ผ่านด่านภาษี”
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แม้จะเสี่ยงถูกจับ แต่กำไรก้อนโตเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่ 17.4% ซึ่ง “สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1935” โดยผู้บริโภคชาวอเมริกันจะจ่ายแพงขึ้นราว 35% สำหรับเสื้อผ้า และแพงขึ้นราว 37% สำหรับสินค้าเครื่องหนัง
.
ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าจากอินเดียก็ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 50% ซึ่งอินเดียเป็นแหล่งซื้องานปักและลูกปัดอันประณีต เช่นเดียวกับชุดแต่งงาน ส่วนนาฬิกาสวิส ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูงลิ่ว ก็ถูกเรียกเก็บภาษี 39% แม้กระทั่งสินค้าจากสหภาพยุโรปก็โดนภาษี 15%
.
แต่หากช้อปสินค้าเหล่านี้ในต่างประเทศอย่างในปารีส จะสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ทำให้ประหยัดได้กว่า 35% เมื่อเทียบกับการซื้อในสหรัฐ
.
ปัญหาคือ จะนำกลับมาสหรัฐอย่างไรโดยไม่เสียภาษี หนึ่งในวิธีนั้นคือ หากเจ้าหน้าที่ศุลกากรถามเกี่ยวกับสินค้าหรูในกระเป๋าหรือบนตัว นักลักลอบอาจใช้วิธีการโกหก เช่น อ้างว่ากระเป๋า Louis Vuitton ราคา 3,000 ดอลลาร์เป็นของที่ซื้อไว้หลายปีก่อน หรือบอกว่าเป็นของปลอมราคาถูก แต่ต้องภาวนาให้ไม่มีใครตรวจใบเสร็จบัตรเครดิตย้อนหลัง
.
ทั้งนี้ คนที่ลักลอบมักจะถูกจับได้ภายหลัง ไม่ใช่ตอนผ่านด่านทันที เช่น เมื่อเอาของไปขายต่อจนเกิดการสืบสวน จึงถูกตรวจพบในที่สุด คล้ายกับกรณีของชายที่ติดเต่า 51 ตัวไว้ที่ตัวเพื่อลักลอบข้ามชายแดนสหรัฐ-แคนาดาในปี 2014 และถูกจับได้ในภายหลังเมื่อพยายามส่งเต่าไปขายในจีน
.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐแทบไม่ค่อยตรวจเสื้อผ้าหรือเปิดกระเป๋าของนักเดินทาง ซึ่งง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน เว้นแต่มีข้อพิรุธ
.
ตัวอย่างเช่น เมื่อครอบครัวอารอนสันเดินทางถึงนิวยอร์กโดยเรือเดินสมุทร พวกเขาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่า ซื้อของจากต่างประเทศมาเพียง 100 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นวงเงินสูงสุดที่กฎหมายกำหนดในขณะนั้น แต่ภรรยาที่ชื่อแคร์รี อารอนสัน “แสดงท่าทีประหม่า” ทำให้เจ้าหน้าที่สงสัยและตรวจค้นกระเป๋าทั้งคู่เกือบสิบใบ จนพบกล่องใส่เครื่องประดับที่ว่างเปล่า จึงเชิญผู้หญิงสองนายมาค้นตัวแคร์รี และพบว่าเธอซ่อนเข็มกลัด สร้อยข้อมือ และนาฬิกาไว้กับร่างกาย
.
เมื่อรู้ว่าจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด นักลักลอบจึงสร้างสรรค์วิธีการต่างๆ บางคนสวมเสื้อผ้าหลายชั้นเพื่อซ่อนของ ซ่อนอัญมณีในรองเท้า เย็บไว้ในเสื้อผ้า หรือแม้แต่ซ่อนในรูจมูก หู หรือกระเพาะอาหาร ชายคนหนึ่งถึงกับม้วนนาฬิกาในสารเหนียวแล้วซุกไว้ใต้รักแร้ เคยมีครั้งหนึ่งพบ นาฬิกาฝรั่งเศสถูกซ่อนมาในโลงศพ “ที่มีศพจริง” อยู่ด้วย เพื่อให้ดูสมจริง
.
ด้วยการลักลอบหลากหลายวิธีเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก เช่น มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถึงกับค้นตะกร้าปิกนิกของ “นักท่องเที่ยวชาวแคนาดา” ที่มาเที่ยวน้ำตกไนแองการ่าแบบไปเช้าเย็นกลับ โดยให้เหตุผลว่า เขากังวลว่าในตะกร้านั้นอาจไม่ได้มีแค่แซนด์วิช แต่อาจเต็มไปด้วยถุงมือหนังแพะอ่อน ที่เป็นของหรูซึ่งถูกลักลอบนำเข้ามาขายในสหรัฐ
.
.
ลิงก์อ่านต่อในคอมเมนต์
.
.
#กรุงเทพธุรกิจ #InsightforOpportunities #กรุงเทพธุรกิจEconomic
พาสีทรัมล่อใจแอบขนของหรุ
ภาษีทรัมป์ล่อใจ ‘ลักลอบของหรู’ ซุกเพชรในรองเท้า นาฬิกาใต้รักแร้ สวมเสื้อหลายชั้นตบตาศุลกากร กำไรงามเกิน 30% นักช้อปขอเสี่ยงลอง
.
ภาษีทรัมป์ที่สูงลิ่ว กำลังปลุกกระแส “ลักลอบสินค้าหรู” ให้กลับมาเฟื่องฟู พร้อมสารพัดกลเม็ดที่คนรวยและนักเดินทางคิดค้นเพื่อเลี่ยงภาษี บ้างสวมเสื้อผ้าหลายชั้นซ่อนกระเป๋าและเครื่องประดับ บ้างเย็บอัญมณีไว้ในรองเท้าหรือเสื้อผ้า บางรายถึงขั้นม้วนนาฬิกาข้อมือลงในสารเหนียวซุกใต้รักแร้
.
ภายใต้ภาษีทรัมป์ที่พุ่งสูงลิ่ว นี่กำลังสร้าง “แรงจูงใจครั้งใหญ่” ให้เหล่านักเดินทางและนักช้อปชั้นสูงอเมริกันแห่บินไปจับจ่ายสินค้าหรูในต่างแดน แล้วหาทางนำกลับประเทศโดย “ไม่ผ่านด่านภาษี”
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แม้จะเสี่ยงถูกจับ แต่กำไรก้อนโตเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่ 17.4% ซึ่ง “สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1935” โดยผู้บริโภคชาวอเมริกันจะจ่ายแพงขึ้นราว 35% สำหรับเสื้อผ้า และแพงขึ้นราว 37% สำหรับสินค้าเครื่องหนัง
.
ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าจากอินเดียก็ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 50% ซึ่งอินเดียเป็นแหล่งซื้องานปักและลูกปัดอันประณีต เช่นเดียวกับชุดแต่งงาน ส่วนนาฬิกาสวิส ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูงลิ่ว ก็ถูกเรียกเก็บภาษี 39% แม้กระทั่งสินค้าจากสหภาพยุโรปก็โดนภาษี 15%
.
แต่หากช้อปสินค้าเหล่านี้ในต่างประเทศอย่างในปารีส จะสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ทำให้ประหยัดได้กว่า 35% เมื่อเทียบกับการซื้อในสหรัฐ
.
ปัญหาคือ จะนำกลับมาสหรัฐอย่างไรโดยไม่เสียภาษี หนึ่งในวิธีนั้นคือ หากเจ้าหน้าที่ศุลกากรถามเกี่ยวกับสินค้าหรูในกระเป๋าหรือบนตัว นักลักลอบอาจใช้วิธีการโกหก เช่น อ้างว่ากระเป๋า Louis Vuitton ราคา 3,000 ดอลลาร์เป็นของที่ซื้อไว้หลายปีก่อน หรือบอกว่าเป็นของปลอมราคาถูก แต่ต้องภาวนาให้ไม่มีใครตรวจใบเสร็จบัตรเครดิตย้อนหลัง
.
ทั้งนี้ คนที่ลักลอบมักจะถูกจับได้ภายหลัง ไม่ใช่ตอนผ่านด่านทันที เช่น เมื่อเอาของไปขายต่อจนเกิดการสืบสวน จึงถูกตรวจพบในที่สุด คล้ายกับกรณีของชายที่ติดเต่า 51 ตัวไว้ที่ตัวเพื่อลักลอบข้ามชายแดนสหรัฐ-แคนาดาในปี 2014 และถูกจับได้ในภายหลังเมื่อพยายามส่งเต่าไปขายในจีน
.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐแทบไม่ค่อยตรวจเสื้อผ้าหรือเปิดกระเป๋าของนักเดินทาง ซึ่งง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน เว้นแต่มีข้อพิรุธ
.
ตัวอย่างเช่น เมื่อครอบครัวอารอนสันเดินทางถึงนิวยอร์กโดยเรือเดินสมุทร พวกเขาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่า ซื้อของจากต่างประเทศมาเพียง 100 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นวงเงินสูงสุดที่กฎหมายกำหนดในขณะนั้น แต่ภรรยาที่ชื่อแคร์รี อารอนสัน “แสดงท่าทีประหม่า” ทำให้เจ้าหน้าที่สงสัยและตรวจค้นกระเป๋าทั้งคู่เกือบสิบใบ จนพบกล่องใส่เครื่องประดับที่ว่างเปล่า จึงเชิญผู้หญิงสองนายมาค้นตัวแคร์รี และพบว่าเธอซ่อนเข็มกลัด สร้อยข้อมือ และนาฬิกาไว้กับร่างกาย
.
เมื่อรู้ว่าจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด นักลักลอบจึงสร้างสรรค์วิธีการต่างๆ บางคนสวมเสื้อผ้าหลายชั้นเพื่อซ่อนของ ซ่อนอัญมณีในรองเท้า เย็บไว้ในเสื้อผ้า หรือแม้แต่ซ่อนในรูจมูก หู หรือกระเพาะอาหาร ชายคนหนึ่งถึงกับม้วนนาฬิกาในสารเหนียวแล้วซุกไว้ใต้รักแร้ เคยมีครั้งหนึ่งพบ นาฬิกาฝรั่งเศสถูกซ่อนมาในโลงศพ “ที่มีศพจริง” อยู่ด้วย เพื่อให้ดูสมจริง
.
ด้วยการลักลอบหลากหลายวิธีเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก เช่น มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถึงกับค้นตะกร้าปิกนิกของ “นักท่องเที่ยวชาวแคนาดา” ที่มาเที่ยวน้ำตกไนแองการ่าแบบไปเช้าเย็นกลับ โดยให้เหตุผลว่า เขากังวลว่าในตะกร้านั้นอาจไม่ได้มีแค่แซนด์วิช แต่อาจเต็มไปด้วยถุงมือหนังแพะอ่อน ที่เป็นของหรูซึ่งถูกลักลอบนำเข้ามาขายในสหรัฐ
.
.
ลิงก์อ่านต่อในคอมเมนต์
.
.
#กรุงเทพธุรกิจ #InsightforOpportunities #กรุงเทพธุรกิจEconomic