💡เมื่อคุณไปสัมภาษณ์งาน HR ถามว่า“ทำไมบริษัทของเราจึงควรจ้างคุณ” คุณจะตอบว่าอย่างไร?

ตามหัวข้อเลยนะคะ หลายๆคน คงตอบว่า เพราะฉันเก่งด้านนั้น ด้านนี้ มีประสบการณ์ มีพอร์ทลูกค้ามาด้วย วันนี้เลยมาแชร์เทคนิค….

🎙 [ เทคนิคสัมภาษณ์งานแบบ 'Bill Gates'
ตอบให้ได้งาน ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง
พิชิตคำถามสุดหิน 'อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่?' ]
.
บิล เกตส์ (Bill Gates) มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟต์ ไม่เคยมีประสบการณ์ไปสมัครงานเหมือนพนักงานทั่วไป แต่เขาก็ผ่านการคัดเลือกคนเก่งเข้ามาทำงานนับครั้งไม่ถ้วน จึงพอจะรู้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ผู้สมัครโดดเด่นในสายตานายจ้าง
.
ในปี 2020 เกตส์เคย “พลิกบทบาท” มานั่งเก้าอี้ฝั่งผู้สมัครเอง ในรายการ State of Inspiration ที่มีนักบาสชื่อดัง สเตฟเฟน เคอร์รี เป็นพิธีกร เขาต้องรับบทเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์วัยหนุ่มที่ดรอปเรียนแล้วมาสมัครงานที่ไมโครซอฟต์เป็นครั้งแรก คำตอบของเขาใน “การสัมภาษณ์สมมุติ” ครั้งนั้น กลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกที่ผู้สมัครงานควรนำไปใช้ เพราะเต็มไปด้วยเทคนิคที่แสดงถึงการเตรียมตัว ความจริงใจ และความสามารถในการเจรจา
.
⁉️ คำถามคลาสสิก: “ทำไมเราควรจ้างคุณ?”
.
เมื่อถูกถามคำถามยอดฮิตว่า “ทำไมเราควรจ้างคุณ?” เกตส์ตอบอย่างมั่นใจว่าอยากให้คณะกรรมการดูโค้ดที่เขาเขียน เพราะเขาเรียนรู้ด้วยตนเองและทำงานหนักกว่าที่มหาวิทยาลัยสอน พร้อมเสริมว่าเขาสนุกกับการทำงานเป็นทีม แม้อาจวิจารณ์โค้ดของเพื่อนแบบเข้มงวด แต่ก็ชอบความท้าทายและมุ่งมั่นคิดถึงอนาคตของซอฟต์แวร์
.
คำตอบนี้สะท้อนมากกว่าความสามารถด้านเทคนิค มันบอกว่าเขาเป็น คนที่รักการเรียนรู้, ทำงานกับทีมได้, มีเป้าหมายใหญ่ และมองไกลกว่าปัจจุบัน
.
ผู้เชี่ยวชาญด้านการสัมภาษณ์แนะนำให้ผู้สมัครเตรียมตัวเช่นเดียวกับเกตส์ เริ่มจากศึกษาบริษัทและตำแหน่งงาน เพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมและสิ่งที่คาดหวังแล้วใช้ข้อมูลนั้นมาปรับคำตอบของตนเองให้สอดคล้อง
.
การค้นคว้านี้สำคัญมาก เพราะผลสำรวจจาก Jobscan ระบุว่ากว่า 47% ของผู้จ้างงานจะปฏิเสธผู้สมัครที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทไม่มากพอ ข้อมูลที่เราควรค้นหาเตรียมเอาไว้คือโครงสร้างองค์กร ธุรกิจหลัก รวมถึงคุณค่าที่องค์กรยึดถือ เพื่อให้คำตอบแสดงว่าเราสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทและพร้อมเติบโตไปพร้อมกัน
.
👉 สำหรับผู้สมัครทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้เตรียมคำตอบลักษณะเดียวกัน คือไม่ใช่แค่พูดว่าตัวเองเก่ง แต่เล่า “เรื่องราว” ที่แสดงให้เห็นว่าคุณจะช่วยให้องค์กรไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร
.
เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ดีคือ STAR Method (Situation–Task–Action–Result)
.
Situation (สถานการณ์): อธิบายบริบท
.
Task (งาน/เป้าหมาย): บอกว่าคุณรับผิดชอบอะไร
.
Action (การลงมือทำ): เล่าว่าคุณทำอะไร
.
Result (ผลลัพธ์): ปิดท้ายด้วยผลลัพธ์จริง
.
เช่น หากถูกถามว่า “คุณเคยเจอสถานการณ์ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาไหม?”
.
Situation: เคยต้องเร่งเปิดตัวระบบใหม่ภายใน 1 เดือน ทั้งที่ปกติใช้เวลา 3 เดือน
.
Task: ดูแลทีมโปรแกรมเมอร์และนักออกแบบให้โครงการเสร็จทัน
.
Action: ใช้ Agile sprint รายสัปดาห์ มี stand-up ทุกเช้า และเจรจาลูกค้าเพื่อตัดฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
.
Result: ระบบเปิดตัวทันเวลา ลูกค้าพอใจสูง และผู้บริหารชมเชยว่าเป็น “ทีมตัวอย่างด้านการบริหารเวลา”
.
คำตอบลักษณะนี้กระชับแต่ทรงพลัง และยังบอกถึงทักษะอื่น ๆ เช่นการบริหารเวลา การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกับคนอื่น
.
⁉️ คำถามเรื่องจุดอ่อน: ความจริงใจคือกุญแจ
.
อีกคำถามที่ทำให้ผู้สมัครกังวลคือ “จุดอ่อนของคุณคืออะไร?”
.
เกตส์ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาไม่ถนัดงานขายหรือการตลาด แต่ถนัดด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากกว่า คำตอบนี้แสดงถึง ความจริงใจและการรู้จักตัวเอง ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่มองว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ
.
ผู้เชี่ยวชาญจาก Harvard Business Review ยืนยันว่า คำตอบที่เสแสร้ง เช่น “ผมขยันเกินไป” มักไม่ได้ผล เพราะฟังไม่จริงใจ ในทางกลับกัน การยอมรับข้อบกพร่องและบอกวิธีพัฒนาต่างหากที่สร้างความน่าเชื่อถือ
.
👉 หลักการง่าย ๆ คือ:
.
เลือกจุดอ่อนที่ไม่กระทบต่อแกนหลักของงาน อธิบายสั้น ๆ ว่ามันเกิดจากอะไร บอกขั้นตอนที่คุณกำลังทำเพื่อพัฒนา เช่น ลงคอร์สออนไลน์ ใช้เครื่องมือใหม่ หรือขอคำปรึกษาจากรุ่นพี่
.
การซื่อสัตย์ไม่ได้ทำให้คุณดูด้อยค่า แต่ทำให้เห็นว่า คุณพร้อมพัฒนาและกล้าเผชิญความจริง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่องค์กรยุคใหม่ต้องการ โดยเฉพาะสตาร์ตอัปที่ต้องการคนกล้าเสนอความคิดเห็นจริง ไม่ใช่แค่พยักหน้าตาม
.
⁉️ คำถามค่าตอบแทน: ศิลปะการเจรจาเงินเดือน
.
คำถามที่ผู้สมัครกังวลที่สุดคือ “คุณอยากได้เงินเดือนเท่าไหร่?”
.
เกตส์ตอบว่าเขาหวังจะได้ “หุ้น” มากกว่าค่าจ้างเงินสด เพราะเชื่อมั่นในอนาคตของบริษัทและพร้อมรับความเสี่ยง คำตอบนี้ไม่เพียงเลี่ยงการเจาะตัวเลขตรง ๆ แต่ยังสะท้อนว่าเขามองอนาคตร่วมกับองค์กร
.
👉 เทคนิคนี้สอดคล้องกับคำแนะนำของ Harvard Business School Online ที่เสนอ 7 ขั้นตอนการเจรจาเงินเดือน:
.
1. รู้คุณค่าของตัวเอง – ศึกษาอัตราเงินเดือนในตลาด
.
2. กำหนดกรอบขั้นต่ำและเป้าหมายสูง – เผื่อไว้สำหรับการเจรจา

3. ซ้อมคำตอบ – ฝึกกับเพื่อนหรือโค้ชเพื่อไม่ให้ตื่นเต้น
.
4. ขอเวลาไตร่ตรอง – อย่าตอบตกลงทันที
.
5. อย่ากดตัวเองต่ำเกินไป – เริ่มจากตัวเลขที่สะท้อนคุณค่า
.
6. เตรียมรับคำถามยาก – เช่น “ทำไมเราควรเพิ่มเงินให้คุณ?”
.
7. มองแพ็กเกจโดยรวม – เงินเดือนเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ควรพิจารณาสวัสดิการ โบนัส หรือหุ้นด้วย
.
นี่คือเหตุผลที่เกตส์เลือกพูดถึงหุ้น เพราะมันสะท้อนทั้งความมั่นใจและการคิดแบบระยะยาว
.
แม้การสัมภาษณ์ของเกตส์จะเป็นเพียงการสมมุติ แต่บทเรียนที่ได้ชัดเจนมาก:
.
- การเตรียมตัว: ศึกษาบริษัทและตำแหน่งงานล่วงหน้า
- การเล่าเรื่อง: ใช้ STAR Method เพื่อทำให้คำตอบชัดเจน
- ความจริงใจ: ยอมรับข้อบกพร่อง พร้อมแผนพัฒนา
- การต่อรอง: เจรจาอย่างมองภาพรวม ไม่ใช่แค่ตัวเลข
.
โลกการทำงานทุกวันนี้แข่งขันสูง การตอบคำถามอย่างสร้างสรรค์ การรู้คุณค่าของตนเอง และการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณต่างจากผู้สมัครคนอื่น ๆ และทำให้นายจ้างเห็นว่าคุณคือคนที่เหมาะจะเดินไปข้างหน้ากับองค์กร

CR. https://www.facebook.com/share/19KZTaJAfV/?mibextid=wwXIfr
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่