ธปท.เรียกผู้ค้าทองรายใหญ่ 13 ราย หารือ 15 ก.ย.นี้ หลัง กกร.ปูดตัวเลขส่งทองไปกัมพูชาพุ่งสูงผิดปกติ จนติดอันดับ 3 ของการส่งออก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีธุรกิจค้าอัญมณีเครื่องประดับรองรับ ด้านวงในให้จับตา “ทองคำ” ช่องโหว่เศรษฐกิจ เหตุเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล จนกระทรวงการคลัง-แบงก์ชาติต้องถกหาวิธีดูแลธุรกรรมทองคำเพื่อปิดช่องฟอกเงิน เผย 7 เดือนไทยส่งออกทองไปกัมพูชาแล้วกว่า 71,800 ล้านบาท
ทั้ง ๆ ที่ “ทองคำ” จัดเป็นสินทรัพย์สำคัญที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมฟอกเงินนอกระบบของกลุ่มสแกมเมอร์ ที่เป็น 1 ในข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยให้กัมพูชาร่วมมือตามแผนปฏิบัติการอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เร่งดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
ส่งทองไปกัมพูชาพุ่งสูงผิดปกติ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในขณะนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างโดยเฉพาะในเรื่องของการส่งออก “ทองคำ” ซึ่งอาจจะมีผลที่ทำให้ค่าเงินของไทยแข็งขึ้น โดย กกร.กำลังลงรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้งและจะมีการหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการลงรายละเอียดที่ชัดเจนและหาแนวทางแก้ไขต่อไป
พร้อมกันนั้นได้มีการยกตัวอย่าง การส่งออกทองคำ ซึ่งอยู่ในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ไปกัมพูชา ทำไมจึงมีตัวเลขมูลค่าการส่งออกที่สูงมาก ทั้ง ๆ ที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปค่อนข้างมาก โดยการส่งออกสินค้าในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับพบว่า ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกทองคำมีสัดส่วนมากที่สุด
“จากที่ทราบกันดีว่า ประเทศกัมพูชามีปัญหาในเรื่องของสแกมเมอร์ที่ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้ กกร.มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมประเทศไทยส่งออกทองคำไปยังกัมพูชามากผิดปกติ และมีความกังวลว่าเรื่องนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและจับตาดูต่อไป เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด การตั้งข้อสังเกตในปัจจัยดังกล่าว
ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ กกร.ยังไม่ได้ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องนี้อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คาดไม่ถึง เพราะเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ โดยการส่งออกทองคำไปกัมพูชาอาจจะมีทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งก็ต้องดูที่รายละเอียดกันอีกครั้งหลังการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ซึ่งหากมองในความเป็นจริงเศรษฐกิจไทยไม่ดี และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยไป 0.25% แล้วเงินบาทต้องอ่อนค่า แต่นี่กลับแข็งขึ้นซึ่งถือว่าผิดปกติ”
ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกทองคำในเดือนกรกฎาคม 2568 มีมูลค่า 1,008 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 14.65% จากราคาตลาดทองคำโลกที่ลดลงเป็นครั้งแรก หลังราคาทองเพิ่มติดต่อกันมา 6 เดือน ขณะที่ยอดรวมส่งออกทองคำ 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค. 2568) มีมูลค่า 7,622.76 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 81.56% และแยกเป็นรายเดือนมกราคม 2568 มูลค่า 1,167.87 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 148.95%, เดือนกุมภาพันธ์ มูลค่า 933.63 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 26.395%,
เดือนมีนาคม มูลค่า 1,447.95 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 269.55%, เดือนเมษายน มูลค่า 1,011.76 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 250.52%, เดือนพฤษภาคม มูลค่า 907.67 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 55.87%, เดือนมิถุนายน มูลค่า 1,145.26 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 26.18%
ขณะที่การส่งออกทองคำของไทย ที่อยู่ในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568 ตามตัวเลขของสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) พบว่า ไทยมีการส่งออกไปยังกัมพูชา อยู่ในอันดับ 3 รองจากการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ และอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งค้าทองคำที่สำคัญของโลก โดยตัวเลขการส่งออกไปยังกัมพูชา 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่มูลค่า 71,886,633,245 บาท คิดเป็น 13.60% เมื่อเทียบกับการส่งออกช่วงเดียวกันของปี 2567 เพิ่มขึ้น 19.06% ทีเดียว
ไร้หน่วยงานกำกับค้าทองคำ
แหล่งข่าวในวงการสถาบันการเงิน เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า “ทองคำ” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อค่าเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยมีธุรกรรมเรื่องทองคำค่อนข้างสูง หรือติดอันดับ 7 ของโลก อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันธุรกรรมการซื้อขายทองคำในไทยขณะนี้ “ไม่ได้มีหน่วยงานกำกับดูแล” ทำให้อาจเป็นช่องโหว่หรือจุดอ่อนของระบบเศรษฐกิจเช่นกัน
เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง เคลื่อนย้ายได้ง่าย ขณะที่การส่งออกทองคำก็เพียงแค่แจ้งกรมศุลกากร เพื่อขอใบอนุญาตส่งออกจากสำนักมาตรฐานและราคาศุลกากร เหมือนการส่งออกสินค้าทั่วไป จนทำให้เกิดเป็น “ช่องโหว่” ของการใช้ทองคำในการทำธุรกรรมนอกระบบสีเทา หรือฟอกเงินได้ง่ายโดยไม่มีการตรวจสอบ
แหล่งข่าวกล่าวว่า การส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาที่มีตัวเลขสูงมาก พบความผิดปกติในช่วงระหว่างปี 2567 และ 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินในไทยดำเนินการเรื่องการปิดบัญชีม้าอย่างจริงจัง รวมถึงต่อมาก็มีการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต.ควบคุมบัญชีซื้อขายคริปโต ซึ่งเป็นไปได้ว่าขบวนการสแกมเมอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน อาจเปลี่ยนวิธีการมาใช้เงินสดซื้อทองคำและส่งออกไปแทน เพราะอย่างที่บอกว่าการซื้อขายทองคำไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล และถ้าเป็นเรื่อง “สีเทา” ก็ต้องเป็นเรื่องที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องเข้ามาตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาทราบว่าหลาย ๆ หน่วยงานก็เริ่มมองเห็นถึงปัญหานี้ที่ถือเป็นช่องโหว่ของระบบเศรษฐกิจเช่นกัน โดยมีการหารือถึงการหาวิธีที่จะเข้ามา “ดูแลธุรกรรมทองคำ” ทั้งในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย, กรมศุลกากร, กระทรวงการคลัง รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ แต่ด้วยบทบาทอำนาจหน้าที่แต่ละหน่วยงานอาจยังไม่ครอบคลุมไปถึง แต่ผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ อาจจะต้องประสานความร่วมมือกันมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ามีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ส่งออกทองเหมือนสินค้าทั่วไป
นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวถึง กกร.ระบุพบ “ความผิดปกติ” การส่งออกทองคำไปยังประเทศกัมพูชา โดยมีมูลค่าสูงเป็นหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบทำให้เงินบาทแข็งค่านั้น จากข้อมูลกรมศุลกากรพบว่า มีการส่งออกไปมากจริง แต่ตนจำมูลค่าชัดเจนไม่ได้ โดยการส่งออกไปกัมพูชา ก็มีทั้งทองแท่ง และที่แปรรูปเป็นอัญมณี เพราะตลาดที่กัมพูชาถือเป็นตลาดใหญ่ มีกลุ่มที่มีกำลังซื้อ แต่จะเป็นสีเทาหรือไม่นั้น “ก็อาจจะเป็นไปได้” แต่ในแง่ของการส่งออกต้องบอกว่า เมื่อมีการทำพิธีการศุลกากรในการส่งออกตามปกติ “ก็ทำได้” เพราะไม่ใช่ธุรกรรมหรือเป็นสินค้าต้องห้ามแต่อย่างใด
“คนส่งออกก็ทำการค้าปกติ มีดีมานด์เขาก็ขายออกไป เพราะไม่ได้เป็นยุทธปัจจัย ไม่ได้เป็นอาวุธที่ต้องห้ามส่งออกไป ก็เป็นสินค้าชนิดหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่มีขั้นตอน วิธีการที่ต้องแจ้ง ต้องรายงาน ถ้าทำถูกต้องก็ต้องให้ เว้นแต่ว่ามีการลักลอบ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำกันปกติ เพราะส่งออกไปก็ไม่มีภาษีอยู่แล้ว แล้วการส่งออกไปกัมพูชาก็มีมานานแล้ว บางช่วงอาจจะมาก บางช่วงน้อย” นายธีรัชย์กล่าว
ส่วนประเด็นที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าก็คือ การนำเข้าและส่งออก ก็ย่อมมีผลกับอัตราแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว ดังนั้นหากกลัวเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็ต้องไปทำมาตรการดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนมาก ซึ่งอาจจะหารือร่วมกันกับผู้ค้า อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทมองว่า หลัก ๆ มาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่ามากกว่า
แบงก์ชาติเรียกประชุมผู้ค้าทอง
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ข่าวเรื่องนี้น่าจะมีความสับสนอยู่บ้าง เพราะอ้างตัวเลขส่งออกสูง ๆ เป็น 10,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ทราบที่มาชัดเจน และดูแล้ว “น่าจะเป็นไปไม่ได้” โดยหากไปรวมอยู่ในหมวดอัญมณี อัญมณีก็จะไม่ใช่ทองคำ ทั้งนี้ ตนยังไม่แน่ใจว่าทาง กกร.ใช้ข้อมูลตัวเลขจากไหนมาอ้างอิง มีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งเท่าที่ตนตรวจสอบก็ยังไม่มีหน่วยงานที่ยืนยันตัวเลขดังกล่าว
“เมืองไทยนำเข้าทองคำ เราไม่มีเหมืองทองเยอะ ๆ ส่วนใหญ่จึงนำเข้ามา ซึ่งก็ไม่ได้นำเข้ามามาก ดังนั้นจะส่งออกไปเยอะ ๆ มากกว่าการนำเข้าได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ แล้วอีกประเด็นที่น่าสงสัยก็คือ ประเทศเพื่อนบ้านจะมีภาษี แล้วธุรกรรมต้องผ่านธนาคาร ทั่วโลกมี ปปง.ควบคุมหมด ถ้าส่งออกไปก็ต้องมีตัวเลขทางการ ต้องผ่านกรมศุลกากร ผ่านแบงก์ พวกนี้อ้างอิง จึงสงสัยว่าตัวเลขที่อ้างว่าส่งออกไปเยอะ ๆ มาจากไหน ใครเป็นผู้ส่งออก และใครเป็นผู้นำเข้า ข้อมูลที่ออกมาดูจะพูดกันลอย ๆ อยู่” นายจิตติกล่าว
พร้อมกับกล่าวว่า ในวันที่ 15 กันยายนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เรียกผู้ประกอบการค้าทองคำเข้าไปประชุมหารือซึ่งต้องรอดูว่าจะมีรายละเอียดอย่างไรออกมาบ้าง “ราคาทองกับค่าเงินบาทจะมีความสัมพันธ์กัน โดยเมื่อเงินบาทแข็งค่า ทองต่างประเทศปรับขึ้น แต่ราคาทองในประเทศจะถูกลงหรือปรับขึ้นน้อยกว่า ทั้งนี้ หากเงินบาทเทียบดอลลาร์เปลี่ยนแปลง 10 สตางค์ จะทำให้ราคาทองเปลี่ยนแปลงประมาณ 160 บาท
ดังนั้น เมื่อเงินบาทแข็งค่าก็จะทำให้คนไทยซื้อทองได้ในราคาถูก อย่างช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้ราคาทองโลกอยู่ที่ 3,490 เหรียญ ทองไทยทำนิวไฮขึ้นไปที่ 54,800 บาท ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์กว่า ๆ แต่ช่วงนี้ทองโลกอยู่ที่กว่า 3,600 เหรียญ ทองไทยมีทำนิวไฮ 54,900 บาท แต่ลดลงมาแถว ๆ 54,650 บาท เพราะเงินบาทแข็งค่าที่ 31.80 บาทต่อเหรียญ” นายจิตติกล่าว
ขณะที่นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ในส่วนของ “ฮั่วเซ่งเฮง” เอง ไม่ได้ส่งออกทองคำไปกัมพูชา จึงไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูล แต่หากให้พูดถึงภาพรวม ปัจจุบันผู้ประกอบการค้าทองคำในไทยมีการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย แต่ฮั่วเซ่งเฮงจะทำการค้ากับตลาด สปป.ลาวเป็นหลัก
“ตอนนี้เข้าใจว่า การนำเข้า-ส่งออกทอง น่าจะน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว เพราะเป็นระบบซื้อขายบนมือถือเพื่อเทรดดิ้งกันมากขึ้น ซึ่งก็จะอยู่ในประเทศเป็นหลัก ส่วนการทำการค้ากับต่างประเทศ เราก็ทำได้ดีขึ้น ต่างชาติให้ความสนใจ อย่างล่าสุดก็มีการจัดงาน Thailand Gold Forum ที่ต่างชาติมาร่วมกันจำนวนมาก”
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการค้าขายทองคำประมาณ 13 รายในประเทศ ได้รับเชิญจาก ธปท. เข้าหารือในวันที่ 15 ก.ย.นี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าหารือในประเด็นอะไรบ้าง ส่วนหนึ่งก็คงเป็นประเด็นเรื่องเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งส่งออกทองก็มีมูลค่าค่อนข้างสูง ทางผู้ประกอบการก็คงไปพูดในฝั่งของผู้ค้าทอง ขณะเดียวกันก็มีความเข้าใจ เซ็กเตอร์อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่เนื่องจากผู้ค้าทองก็ไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบาย ดังนั้นหากทางการมีมาตรการอะไรออกมาก็ต้องปฏิบัติตาม
กัมพูชามีร้านค้าอัญมณีน้อย
ด้านนายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์สมาคมอัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่า (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณีการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาสูงผิดปกตินั้น ทางสมาพันธ์ไม่ได้ทราบรายละเอียดหรือข้อมูลที่ชัดเจน จึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดในประเด็นดังกล่าวได้ว่า มีนัยสำคัญอย่างไรบ้าง แต่หากติดตามภาพรวมของราคาทองคำในตลาดโลก ปัจจุบันยังคงมีความต้องการจากผู้นำเข้าในหลายประเทศเพื่อเป็นสินทรัพย์สร้างความมั่นคงและลดการถือครองเงินเหรียญสหรัฐลง ขณะที่ราคาทองคำในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง ประมาณ 3,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ขณะที่นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวถึงการส่งออกทองคำไปตลาดกัมพูชา จากข้อมูลพบว่า “มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง” ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2568 จนถึงปัจจุบัน ส่วนนัยของการส่งออกไปตลาดดังกล่าวนั้นมีอะไรหรือไม่ ไม่ทราบในรายละเอียดซึ่งให้ข้อมูลเรื่องนี้ไม่ได้เบื้องต้นประเทศกัมพูชาไม่ได้มีผู้ประกอบการด้านอัญมณีและเครื่องประดับมากนัก...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1883292
แบงก์ชาติถกด่วนผู้ค้าทอง ส่งออกผิดปกติ ผวาทุนเทา
ทั้ง ๆ ที่ “ทองคำ” จัดเป็นสินทรัพย์สำคัญที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมฟอกเงินนอกระบบของกลุ่มสแกมเมอร์ ที่เป็น 1 ในข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยให้กัมพูชาร่วมมือตามแผนปฏิบัติการอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เร่งดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
ส่งทองไปกัมพูชาพุ่งสูงผิดปกติ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในขณะนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างโดยเฉพาะในเรื่องของการส่งออก “ทองคำ” ซึ่งอาจจะมีผลที่ทำให้ค่าเงินของไทยแข็งขึ้น โดย กกร.กำลังลงรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้งและจะมีการหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการลงรายละเอียดที่ชัดเจนและหาแนวทางแก้ไขต่อไป
พร้อมกันนั้นได้มีการยกตัวอย่าง การส่งออกทองคำ ซึ่งอยู่ในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ไปกัมพูชา ทำไมจึงมีตัวเลขมูลค่าการส่งออกที่สูงมาก ทั้ง ๆ ที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปค่อนข้างมาก โดยการส่งออกสินค้าในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับพบว่า ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกทองคำมีสัดส่วนมากที่สุด
“จากที่ทราบกันดีว่า ประเทศกัมพูชามีปัญหาในเรื่องของสแกมเมอร์ที่ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้ กกร.มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมประเทศไทยส่งออกทองคำไปยังกัมพูชามากผิดปกติ และมีความกังวลว่าเรื่องนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและจับตาดูต่อไป เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด การตั้งข้อสังเกตในปัจจัยดังกล่าว
ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ กกร.ยังไม่ได้ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องนี้อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คาดไม่ถึง เพราะเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ โดยการส่งออกทองคำไปกัมพูชาอาจจะมีทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งก็ต้องดูที่รายละเอียดกันอีกครั้งหลังการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ซึ่งหากมองในความเป็นจริงเศรษฐกิจไทยไม่ดี และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยไป 0.25% แล้วเงินบาทต้องอ่อนค่า แต่นี่กลับแข็งขึ้นซึ่งถือว่าผิดปกติ”
ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกทองคำในเดือนกรกฎาคม 2568 มีมูลค่า 1,008 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 14.65% จากราคาตลาดทองคำโลกที่ลดลงเป็นครั้งแรก หลังราคาทองเพิ่มติดต่อกันมา 6 เดือน ขณะที่ยอดรวมส่งออกทองคำ 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค. 2568) มีมูลค่า 7,622.76 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 81.56% และแยกเป็นรายเดือนมกราคม 2568 มูลค่า 1,167.87 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 148.95%, เดือนกุมภาพันธ์ มูลค่า 933.63 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 26.395%,
เดือนมีนาคม มูลค่า 1,447.95 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 269.55%, เดือนเมษายน มูลค่า 1,011.76 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 250.52%, เดือนพฤษภาคม มูลค่า 907.67 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 55.87%, เดือนมิถุนายน มูลค่า 1,145.26 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 26.18%
ขณะที่การส่งออกทองคำของไทย ที่อยู่ในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568 ตามตัวเลขของสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) พบว่า ไทยมีการส่งออกไปยังกัมพูชา อยู่ในอันดับ 3 รองจากการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ และอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งค้าทองคำที่สำคัญของโลก โดยตัวเลขการส่งออกไปยังกัมพูชา 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่มูลค่า 71,886,633,245 บาท คิดเป็น 13.60% เมื่อเทียบกับการส่งออกช่วงเดียวกันของปี 2567 เพิ่มขึ้น 19.06% ทีเดียว
ไร้หน่วยงานกำกับค้าทองคำ
แหล่งข่าวในวงการสถาบันการเงิน เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า “ทองคำ” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อค่าเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยมีธุรกรรมเรื่องทองคำค่อนข้างสูง หรือติดอันดับ 7 ของโลก อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันธุรกรรมการซื้อขายทองคำในไทยขณะนี้ “ไม่ได้มีหน่วยงานกำกับดูแล” ทำให้อาจเป็นช่องโหว่หรือจุดอ่อนของระบบเศรษฐกิจเช่นกัน
เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง เคลื่อนย้ายได้ง่าย ขณะที่การส่งออกทองคำก็เพียงแค่แจ้งกรมศุลกากร เพื่อขอใบอนุญาตส่งออกจากสำนักมาตรฐานและราคาศุลกากร เหมือนการส่งออกสินค้าทั่วไป จนทำให้เกิดเป็น “ช่องโหว่” ของการใช้ทองคำในการทำธุรกรรมนอกระบบสีเทา หรือฟอกเงินได้ง่ายโดยไม่มีการตรวจสอบ
แหล่งข่าวกล่าวว่า การส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาที่มีตัวเลขสูงมาก พบความผิดปกติในช่วงระหว่างปี 2567 และ 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินในไทยดำเนินการเรื่องการปิดบัญชีม้าอย่างจริงจัง รวมถึงต่อมาก็มีการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต.ควบคุมบัญชีซื้อขายคริปโต ซึ่งเป็นไปได้ว่าขบวนการสแกมเมอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน อาจเปลี่ยนวิธีการมาใช้เงินสดซื้อทองคำและส่งออกไปแทน เพราะอย่างที่บอกว่าการซื้อขายทองคำไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล และถ้าเป็นเรื่อง “สีเทา” ก็ต้องเป็นเรื่องที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องเข้ามาตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาทราบว่าหลาย ๆ หน่วยงานก็เริ่มมองเห็นถึงปัญหานี้ที่ถือเป็นช่องโหว่ของระบบเศรษฐกิจเช่นกัน โดยมีการหารือถึงการหาวิธีที่จะเข้ามา “ดูแลธุรกรรมทองคำ” ทั้งในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย, กรมศุลกากร, กระทรวงการคลัง รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ แต่ด้วยบทบาทอำนาจหน้าที่แต่ละหน่วยงานอาจยังไม่ครอบคลุมไปถึง แต่ผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ อาจจะต้องประสานความร่วมมือกันมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ามีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ส่งออกทองเหมือนสินค้าทั่วไป
นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวถึง กกร.ระบุพบ “ความผิดปกติ” การส่งออกทองคำไปยังประเทศกัมพูชา โดยมีมูลค่าสูงเป็นหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบทำให้เงินบาทแข็งค่านั้น จากข้อมูลกรมศุลกากรพบว่า มีการส่งออกไปมากจริง แต่ตนจำมูลค่าชัดเจนไม่ได้ โดยการส่งออกไปกัมพูชา ก็มีทั้งทองแท่ง และที่แปรรูปเป็นอัญมณี เพราะตลาดที่กัมพูชาถือเป็นตลาดใหญ่ มีกลุ่มที่มีกำลังซื้อ แต่จะเป็นสีเทาหรือไม่นั้น “ก็อาจจะเป็นไปได้” แต่ในแง่ของการส่งออกต้องบอกว่า เมื่อมีการทำพิธีการศุลกากรในการส่งออกตามปกติ “ก็ทำได้” เพราะไม่ใช่ธุรกรรมหรือเป็นสินค้าต้องห้ามแต่อย่างใด
“คนส่งออกก็ทำการค้าปกติ มีดีมานด์เขาก็ขายออกไป เพราะไม่ได้เป็นยุทธปัจจัย ไม่ได้เป็นอาวุธที่ต้องห้ามส่งออกไป ก็เป็นสินค้าชนิดหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่มีขั้นตอน วิธีการที่ต้องแจ้ง ต้องรายงาน ถ้าทำถูกต้องก็ต้องให้ เว้นแต่ว่ามีการลักลอบ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำกันปกติ เพราะส่งออกไปก็ไม่มีภาษีอยู่แล้ว แล้วการส่งออกไปกัมพูชาก็มีมานานแล้ว บางช่วงอาจจะมาก บางช่วงน้อย” นายธีรัชย์กล่าว
ส่วนประเด็นที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าก็คือ การนำเข้าและส่งออก ก็ย่อมมีผลกับอัตราแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว ดังนั้นหากกลัวเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็ต้องไปทำมาตรการดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนมาก ซึ่งอาจจะหารือร่วมกันกับผู้ค้า อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทมองว่า หลัก ๆ มาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่ามากกว่า
แบงก์ชาติเรียกประชุมผู้ค้าทอง
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ข่าวเรื่องนี้น่าจะมีความสับสนอยู่บ้าง เพราะอ้างตัวเลขส่งออกสูง ๆ เป็น 10,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ทราบที่มาชัดเจน และดูแล้ว “น่าจะเป็นไปไม่ได้” โดยหากไปรวมอยู่ในหมวดอัญมณี อัญมณีก็จะไม่ใช่ทองคำ ทั้งนี้ ตนยังไม่แน่ใจว่าทาง กกร.ใช้ข้อมูลตัวเลขจากไหนมาอ้างอิง มีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งเท่าที่ตนตรวจสอบก็ยังไม่มีหน่วยงานที่ยืนยันตัวเลขดังกล่าว
“เมืองไทยนำเข้าทองคำ เราไม่มีเหมืองทองเยอะ ๆ ส่วนใหญ่จึงนำเข้ามา ซึ่งก็ไม่ได้นำเข้ามามาก ดังนั้นจะส่งออกไปเยอะ ๆ มากกว่าการนำเข้าได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ แล้วอีกประเด็นที่น่าสงสัยก็คือ ประเทศเพื่อนบ้านจะมีภาษี แล้วธุรกรรมต้องผ่านธนาคาร ทั่วโลกมี ปปง.ควบคุมหมด ถ้าส่งออกไปก็ต้องมีตัวเลขทางการ ต้องผ่านกรมศุลกากร ผ่านแบงก์ พวกนี้อ้างอิง จึงสงสัยว่าตัวเลขที่อ้างว่าส่งออกไปเยอะ ๆ มาจากไหน ใครเป็นผู้ส่งออก และใครเป็นผู้นำเข้า ข้อมูลที่ออกมาดูจะพูดกันลอย ๆ อยู่” นายจิตติกล่าว
พร้อมกับกล่าวว่า ในวันที่ 15 กันยายนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เรียกผู้ประกอบการค้าทองคำเข้าไปประชุมหารือซึ่งต้องรอดูว่าจะมีรายละเอียดอย่างไรออกมาบ้าง “ราคาทองกับค่าเงินบาทจะมีความสัมพันธ์กัน โดยเมื่อเงินบาทแข็งค่า ทองต่างประเทศปรับขึ้น แต่ราคาทองในประเทศจะถูกลงหรือปรับขึ้นน้อยกว่า ทั้งนี้ หากเงินบาทเทียบดอลลาร์เปลี่ยนแปลง 10 สตางค์ จะทำให้ราคาทองเปลี่ยนแปลงประมาณ 160 บาท
ดังนั้น เมื่อเงินบาทแข็งค่าก็จะทำให้คนไทยซื้อทองได้ในราคาถูก อย่างช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้ราคาทองโลกอยู่ที่ 3,490 เหรียญ ทองไทยทำนิวไฮขึ้นไปที่ 54,800 บาท ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์กว่า ๆ แต่ช่วงนี้ทองโลกอยู่ที่กว่า 3,600 เหรียญ ทองไทยมีทำนิวไฮ 54,900 บาท แต่ลดลงมาแถว ๆ 54,650 บาท เพราะเงินบาทแข็งค่าที่ 31.80 บาทต่อเหรียญ” นายจิตติกล่าว
ขณะที่นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ในส่วนของ “ฮั่วเซ่งเฮง” เอง ไม่ได้ส่งออกทองคำไปกัมพูชา จึงไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูล แต่หากให้พูดถึงภาพรวม ปัจจุบันผู้ประกอบการค้าทองคำในไทยมีการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย แต่ฮั่วเซ่งเฮงจะทำการค้ากับตลาด สปป.ลาวเป็นหลัก
“ตอนนี้เข้าใจว่า การนำเข้า-ส่งออกทอง น่าจะน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว เพราะเป็นระบบซื้อขายบนมือถือเพื่อเทรดดิ้งกันมากขึ้น ซึ่งก็จะอยู่ในประเทศเป็นหลัก ส่วนการทำการค้ากับต่างประเทศ เราก็ทำได้ดีขึ้น ต่างชาติให้ความสนใจ อย่างล่าสุดก็มีการจัดงาน Thailand Gold Forum ที่ต่างชาติมาร่วมกันจำนวนมาก”
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการค้าขายทองคำประมาณ 13 รายในประเทศ ได้รับเชิญจาก ธปท. เข้าหารือในวันที่ 15 ก.ย.นี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าหารือในประเด็นอะไรบ้าง ส่วนหนึ่งก็คงเป็นประเด็นเรื่องเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งส่งออกทองก็มีมูลค่าค่อนข้างสูง ทางผู้ประกอบการก็คงไปพูดในฝั่งของผู้ค้าทอง ขณะเดียวกันก็มีความเข้าใจ เซ็กเตอร์อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่เนื่องจากผู้ค้าทองก็ไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบาย ดังนั้นหากทางการมีมาตรการอะไรออกมาก็ต้องปฏิบัติตาม
กัมพูชามีร้านค้าอัญมณีน้อย
ด้านนายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์สมาคมอัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่า (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณีการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาสูงผิดปกตินั้น ทางสมาพันธ์ไม่ได้ทราบรายละเอียดหรือข้อมูลที่ชัดเจน จึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดในประเด็นดังกล่าวได้ว่า มีนัยสำคัญอย่างไรบ้าง แต่หากติดตามภาพรวมของราคาทองคำในตลาดโลก ปัจจุบันยังคงมีความต้องการจากผู้นำเข้าในหลายประเทศเพื่อเป็นสินทรัพย์สร้างความมั่นคงและลดการถือครองเงินเหรียญสหรัฐลง ขณะที่ราคาทองคำในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง ประมาณ 3,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ขณะที่นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวถึงการส่งออกทองคำไปตลาดกัมพูชา จากข้อมูลพบว่า “มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง” ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2568 จนถึงปัจจุบัน ส่วนนัยของการส่งออกไปตลาดดังกล่าวนั้นมีอะไรหรือไม่ ไม่ทราบในรายละเอียดซึ่งให้ข้อมูลเรื่องนี้ไม่ได้เบื้องต้นประเทศกัมพูชาไม่ได้มีผู้ประกอบการด้านอัญมณีและเครื่องประดับมากนัก...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1883292