กรมอุทยานฯ สั่งปิดโซนสัตว์ดุร้ายซาฟารีเวิลด์ชั่วคราว ปรับปรุงให้ได้ตามมาตรฐาน และสวัสดิภาพสัตว์

กรมอุทยานฯ สั่งปิดโซนสัตว์ดุร้าย Safari World ชั่วคราว! และปรับปรุงให้ได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยและสวัสดิภาพสัตว์

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ออกคำสั่งเร่งด่วนให้สวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ระงับการให้บริการในส่วนของโซนสัตว์ดุร้าย (Safari Park) ทันที หลังจากการตรวจสอบพบว่ามาตรการด้านความปลอดภัยและสวัสดิภาพสัตว์ยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง และมีจุดบกพร่องหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนภายใน 30 วัน

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้คณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ เพื่อประเมินมาตรการความปลอดภัยและสวัสดิภาพสัตว์เร่งด่วน ภายหลังเหตุการณ์สิงโตทำร้ายเจ้าหน้าที่จนเสียชีวิต

โดยผลการตรวจสอบพบจุดบกพร่องหลายประการที่ต้องเร่งแก้ไขภายใน 30 วัน

ทั้งนี้จากการตรวจสอบใบอนุญาต ระบุใช้ได้ถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2567 (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตฯ)​ ซึ่งสามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติเนื่องจากได้มีการยื่นขอต่อใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ 2562

การตรวจสอบเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 13.00 น. คณะเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานแห่งชาติฯ หลายหน่วยเข้าร่วมตรวจสอบ นำโดย
- นางใกล้รุ่ง พูลผล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า
- นายสดุดี พันธุ์ภักดี ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา
- นายนาวี ช้างภิรมย์ ผู้อำนวยการส่วนประสานความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติ และหัวหน้าชุดเหยี่ยวดง
- นายธานี วงศ์นาค ผู้อำนวยการส่วนคุ้มครองสัตว์ป่า
- นายภัทรพล มณีอ่อน หัวหน้ากลุ่มงานสุขภาพสัตว์ป่า
และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายอนุวัฒน์ วัฒนนนรเศรษฐ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (สวนสัตว์) ของซาฟารีเวิลด์ เป็นผู้นำตรวจสอบ

จากเหตุการณ์เศร้าที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 คณะเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบและพบว่าสิงโต 5 ตัวจากฝูง 7 ตัวได้เข้ารุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์จนเสียชีวิต

📌ตัวที่เข้าตะปบเป็นตัวแรกชื่อ ทรัมป์ ซึ่งเป็นสิงโตเพศผู้

นอกจากนี้ยังมี
📌ไบท์ (เพศผู้)
📌อ้อน (เพศเมีย)
📌อ้าย (เพศเมีย)
📌ยาว (เพศเมีย)
ที่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย

สิงโตทั้งหมดมีอายุประมาณ 10 ปี โดย เจ้าหน้าที่ได้กักสิงโตทั้ง 5 ตัวนี้ไว้ในกรงชั่วคราว และแยกเพศ เพื่อเฝ้าสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด หากไม่สามารถปรับพฤติกรรมได้ ทางสวนสัตว์อาจต้องย้ายสิงโตเหล่านี้ไปที่พักสัตว์ของบริษัทที่จังหวัดปราจีนบุรี และนำสิงโตชุดใหม่มาทดแทน

สำหรับผลการตรวจสอบด้านสวัสดิภาพสัตว์ในกรงพักทั้งสิงโตและเสือ​จำนวน​ 6 กรง พบว่ามีกรง​จำนวน​ 5 กรง​ ที่ต้องปรับปรุง​ เช่น​ ปรับพื้นไม่ให้มีนำขัง​ ประตูล็อคให้เพิามความแข็งแรง​ ตาข่ายต้องไม่เป็นสนิม​ เป็นต้น และยังพบจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่ต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน ดังนี้

▪️ด้านสภาพพื้นที่และสิ่งก่อสร้าง
รั้วกั้น 2 ชั้น สูง 3 เมตร พบจุดที่ชำรุดเสียหายหลายจุด ทางการจึงสั่งให้ซ่อมแซมให้มั่นคงแข็งแรง ปรับปรุงความสูงให้เท่ากัน และเสริมคานกันด้านล่างเพื่อป้องกันสัตว์ขุดดินหนี นอกจากนี้ยังสั่งให้กำจัดวัชพืชใกล้แนวรั้วเพื่อป้องกันสัตว์ปีนหนีและง่ายต่อการบำรุงรักษา

▪️ ด้านป้ายเตือน
ป้ายเตือนภาษาอังกฤษ ใช้คำที่ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ และยังแนะนำให้เพิ่มจำนวนป้ายเตือนให้ถี่ขึ้น พร้อมระบุเบอร์โทรศัพท์สำหรับเหตุฉุกเฉิน

▪️ ด้านการรักษาความปลอดภัย
จุดอับสายตาควรติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม และป้อมเปิด-ปิดประตูควรมีเจ้าหน้าที่เฝ้าประจำตลอดเวลาเพื่อควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว

▪️ด้านยานพาหนะสำหรับเจ้าหน้าที่
รถบังคับสัตว์ควรเพิ่มตะแกรงเหล็กป้องกันกระจก และเจ้าหน้าที่ควรมีอุปกรณ์ป้องกันตัว เช่น กระบองช็อตไฟฟ้า หรือสายน้ำแรงดันสูง นอกจากนี้ยังควรมีเจ้าหน้าที่ประจำรถคันละ 2 คนในลักษณะของ Buddy System เพื่อช่วยเหลือกันและกัน

▪️ด้านสวัสดิภาพสัตว์
พบปัญหากรงของสิงโตบางส่วนมีน้ำท่วมขัง พื้นแฉะและลื่น มีแสงส่องถึงน้อยและอากาศถ่ายเทไม่ดี ส่วนลูกเสือพบปัญหาผิวหนังอักเสบและติดเชื้อ ซึ่งอาจเกิดจากความชื้นและการสุขาภิบาลที่ไม่เหมาะสมในกรง

ทั้งนี้ กรมอุทยานฯ ได้สั่งให้ซาฟารีเวิลด์ปิดให้บริการในโซนสวนสัตว์เปิด (ซาฟารีปาร์ค) บริเวณพื้นที่จัดแสดงสัตว์ดุร้ายทันที จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดบริการได้

นอกจากนี้ยังสั่งให้ทบทวนและปรับปรุงแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินให้มีความครอบคลุมและสามารถปฏิบัติได้จริง พร้อมจัดให้มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และซ้อมแผนอย่างสม่ำเสมอ และให้ดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงานต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด โดยซาฟารีเวิลด์ต้องดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงตามข้อบกพร่องที่ตรวจพบทั้ง 23 ข้อ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมอุทยานฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานสวนสัตว์ทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกแห่งมีการดำเนินงานที่เป็นไปตามหลักสากล ทั้งในด้านความปลอดภัยและการดูแลสวัสดิภาพของสัตว์อย่างแท้จริง.












ที่มา : เพจ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่