กีต้าร์โปร่งเป็นเครื่องดนตรีที่เริ่มต้นได้ง่ายสำหรับทุกคน แต่ถ้าจะให้เสียงไพเราะ ใช้งานได้นาน และขึ้นเวทีได้อย่างมั่นใจ จำเป็นต้องพิจารณาตั้งแต่งานประกอบ วัสดุ ไปจนถึงระบบไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ กีต้าร์โปร่งไฟฟ้า Epiphone Hummingbird Pro Wine Red คือเวอร์ชันลิมิเต็ดสีไวน์เรดที่หยิบเอกลักษณ์ Hummingbird มาปรับให้ร่วมสมัย ให้โทนเสียงสมดุล จับถนัดมือ และดูแลรักษาง่าย เหมาะทั้งผู้เริ่มต้นที่จริงจังและมืออาชีพ
จุดกำเนิดของตระกูล Hummingbird
กีต้าร์ตระกูล Hummingbird เปิดตัวครั้งแรกช่วงทศวรรษ 1960 และเป็นหนึ่งในรุ่นที่ผู้คนจดจำมากที่สุดของกีต้าร์โปร่ง เพราะมีทั้งรูปลักษณ์สวย และเสียงที่คงที่ หนาแน่น และชัดเจน จุดเด่นคือทรง Dreadnought (ตัวถังขนาดใหญ่ ให้เสียงดังและมวลแน่น) และปิ๊กการ์ดลาย “นกฮัมมิงเบิร์ด” อันเป็นเอกลักษณ์ เวอร์ชัน Pro คือการปรับแนวคิดดั้งเดิมให้ทันสมัย ใช้งานสะดวก และเพิ่มระบบไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ เหมาะทั้งการเล่นสดและการบันทึกเสียง โดยยังคงบุคลิกเสียงแบบคลาสสิกไว้ครบถ้วน
รายละเอียดโครงสร้างและวัสดุ – Epiphone Hummingbird Pro Wine Red
รุ่นนี้เลือกใช้วัสดุอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้เสียงมีมิติ ฟังชัด และสมดุลระหว่างย่านต่ำ‑กลาง‑แหลม โดยรวมคือเล่นแล้วได้ทั้งความใสและความอุ่นในตัวเดียว
-
ไม้หน้า (Top): ไม้แท้ Solid Sitka Spruce ให้เสียงโปร่ง ใส ตอบสนองไวต่อแรงมือ (ตีเบาก็ดังชัด ตีแรงก็ยังไม่แตกพร่า)
-
ไม้ข้าง/หลัง: ไม้มะฮอกกานี (Select Mahogany) เพิ่มความอุ่นของโทนกลาง และทำให้เสียงทุ้มกระชับไม่บวม
-
คอ (Neck): ไม้มะฮอกกานี ทรงคอ SlimTaper D จับถนัดมือ เหมาะกับผู้เล่นส่วนใหญ่ทั้งมือเล็ก–กลาง–ใหญ่ เพราะคอไม่หนาหรือบางเกินไป โค้งรับอุ้งมือดี เปลี่ยนคอร์ดลื่น ไม่เมื่อยง่าย
-
ฟิงเกอร์บอร์ด: Pau Ferro พร้อมอินเลย์ Mother of Pearl ลาย Split Parallelogram ช่วยมองตำแหน่งเฟร็ตได้ชัด และให้สัมผัสเรียบมือ
-
สเกลและเฟร็ต: สเกล 24.72 นิ้ว จำนวน 20 เฟร็ต ขนาด Medium Jumbo ช่วยกดโน้ตได้เต็มนิ้ว เสียงชัดทั้งตีคอร์ดและโซโล่
ระบบไฟฟ้าที่ตอบโจทย์นักดนตรี
ติดตั้งปิ๊กอัพ Fishman Sonicore คู่กับพรีแอมป์ Fishman Sonitone ที่ซ่อนอยู่ภายในซาวด์โฮล (Soundhole) ควบคุมได้ง่ายด้วยปุ่ม Volume และ Tone โดยไม่รบกวนรูปลักษณ์ภายนอก เสียงที่ส่งออกคงคาแรกเตอร์ธรรมชาติของตัวกีต้าร์ เหมาะทั้งเสียบเข้ามิกเซอร์ ระบบ PA หรือแอมป์อะคูสติก
งานประกอบและดีไซน์ที่เหนือชั้น
-
สี Wine Red แบบลิมิเต็ด: โดดเด่น หรูหรา เห็นลายไม้ชัดเจน
-
ปิ๊กการ์ดลายฮัมมิงเบิร์ด: เอกลักษณ์ของตระกูลนี้ ช่วยปกป้องไม้หน้าและเพิ่มลูกเล่นบนเวที
-
สะพานสาย (Bridge): Reverse Belly Pau Ferro พร้อม Bone Saddle ส่งผ่านแรงสั่นได้ดี เสียงยาวและนิ่ง
-
ลูกบิด (Tuners): Grover Ratio 18:1 ตั้งสายละเอียดและคงที่
ฟีลลิ่งการเล่นและการเซ็ตอัปสำหรับงานเวที
-
คอทรง SlimTaper D: จับถนัดมือ ขนาดคอพอดี ไม่หนาหรือบางเกินไป ควบคุมมือซ้ายได้มั่นใจ
-
เฟร็ต Medium Jumbo + รัศมีฟิงเกอร์บอร์ด 12 นิ้ว: กดคอร์ดได้เต็มนิ้ว ดันสายลื่น ไม่สะดุด เสียงไม่เพี้ยนง่าย
-
ทรง Dreadnought พร้อม Cutaway: เอื้อมถึงเฟร็ตบนๆ (ใกล้ตัวกีต้าร์) ได้ง่าย เหมาะกับการเล่นท่อนเมโลดี้หรือโซโล่ช่วงพีคของเพลง
-
น้ำหนักบาลานซ์ดี: สะพายเล่นนาน ๆ ไหล่ไม่ล้า เคลื่อนไหวบนเวทีคล่องตัว
-
ผิวคอเรียบลื่น: เปลี่ยนคอร์ดรวดเร็ว ต่อเนื่อง ไม่สะดุดมือ
-
Bone Nut และ Bone Saddle: ถ่ายทอดการสั่นจากสายสู่ตัวกีต้าร์ได้เต็มที่ ทำให้เสียงทอดยาว (ซัสเทน) และได้ยินโน้ตชัดเจน
การตั้งสายและแอ็คชัน (ความสูงของสายกีต้าร์ที่เฟร็ต 12)
- ชุดสายโรงงาน .012–.053 เหมาะทั้ง ตีคอร์ด (strumming) และ ฟิงเกอร์สไตล์ (fingerstyle) หากต้องการโทนแน่นขึ้นสามารถอัปเป็น .013 แต่ควรปรับความสูงของสายกีต้าร์ที่เฟร็ต 12 ให้เหมาะสม
- ความสูงของสายกีต้าร์ที่เฟร็ต 12 (กึ่งกลางคอ): โดยทั่วไปสาย 6 ราว 2.0–2.5 มม. และสาย 1 ราว 1.5–2.0 มม. ถ้ามือกดแรงให้ตั้งสูงขึ้นเล็กน้อย ถ้ามือกดเบา หรือชอบเล่นเร็ว สามารถตั้งความสูงสายให้ต่ำลงได้ แต่ควรตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีเสียงสายสั่นกระทบเฟร็ต (บัซซ์)
- การตั้งระยะเสียง (Intonation) จากโรงงานค่อนข้างแม่นยำ แต่เมื่อเปลี่ยนขนาดสาย (เกจ) ควรตรวจและตั้งใหม่ เพื่อให้คอร์ดในตำแหน่งเฟร็ตสูงยังตรงคีย์
การเชื่อมต่อระบบเสียงสด
- ปุ่มควบคุม Volume/Tone อยู่ในซาวด์โฮล (Soundhole) หยิบปรับได้สะดวกโดยไม่บดบังดีไซน์
- ควรใช้สายสัญญาณคุณภาพดีและยาวพอเหมาะ ลดสัญญาณรบกวนและคงรายละเอียดปลายแหลม
- หลีกเลี่ยงการหันไมโครโฟนหรือลำโพงมอนิเตอร์ (wedge) เข้าหาตัวกีต้าร์โดยตรง หากเกิดเสียงหวีด (feedback) ให้ใช้ที่อุดซาวด์โฮล (Soundhole) หรือหมุนลดปุ่ม Tone ลงเล็กน้อย และใช้ฟังก์ชันน็อตช์ฟิลเตอร์ (Notch Filter) ที่มิกเซอร์เพื่อตัดความถี่ต้นเหตุ
โทนเสียงและแนวเพลงที่เหมาะ – Epiphone Hummingbird Pro Wine Red
ไม้หน้า Solid Sitka Spruce ให้ความใสและรายละเอียด ส่วนไม้ข้าง‑หลัง Mahogany เติมความอุ่นและความแน่นของย่านทุ้ม จึงได้เสียงที่โปร่ง เสียงสมดุลดี เมื่อดีดคอร์ดหลายสายพร้อมกัน (คอร์ดเต็ม) แต่ละโน้ตได้ยินชัด แยกเสียงออกจากกัน ไม่ปะปน เมโลดี้ได้ยินชัดเมื่อเล่นเป็นวงดนตรี และตอบสนองแรงมือได้ดี คุมความดัง‑เบาได้ง่าย เหมาะทั้งการอัดเสียงและการเล่นสด
-
โฟล์ก/ป็อปร็อก (ตีคอร์ด): คอร์ดเต็ม เปิดกว้าง ไม่ทับย่านคีย์บอร์ด
-
นักร้อง–นักแต่งเพลง (ฟิงเกอร์สไตล์ (fingerstyle)): รายละเอียดโน้ตและฮาร์โมนิกชัด ปลายแหลมใสแต่ไม่บาดหู
-
คันทรี/วอร์ชิป: ย่านกลาง‑แหลมเด่น (ไฮมิด) ทำให้อาร์เปจิโอและริฟฟ์สั้น ๆ ตัดผ่านในวงได้ดี
การตั้งค่าโทนบน Fishman Sonitone
- Pop/Acoustic Rock: ตั้ง Volume ราว 70% และปรับ Tone ไว้ช่วง 50–60% เพื่อให้เสียงใสชัด แต่ไม่แหลมเกินไป
- ฟิงเกอร์สไตล์ (fingerstyle) / บันทึกเสียง: ลดค่า Tone ลงมาแถว 40–50% เพื่อให้เสียงนุ่มลง และลดเสียงนิ้วเสียดสีกับสาย
- คันทรี/วอร์ชิป: เพิ่ม Tone ไปที่ประมาณ 55–65% เพื่อดันย่านกลาง–แหลม (ไฮมิด) ให้คอร์ดคมชัดในเสียงรวมของวง
ความโดดเด่นของ Epiphone Hummingbird Pro Wine Red
1. ทรง Dreadnought พร้อม Cutaway เข้าถึงเฟร็ตสูงได้สะดวก
2. โทนเสียงสมดุล: ไม้หน้า Sitka ใสคม + Mahogany อุ่นหนา
3. ระบบไฟฟ้า Fishman ให้ซาวด์ธรรมชาติ ปรับใช้สด/อัดเสียงได้ง่าย
4. งานประกอบเรียบร้อย ใช้วัสดุคัดเกรด ในช่วงราคาที่เข้าถึงได้
Epiphone Hummingbird Pro Wine Red กับการใช้งานจริง
รุ่นนี้ตอบโจทย์ผู้เล่นหลายระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นที่อยากจริงจังไปจนถึงมืออาชีพที่ต้องการเครื่องดนตรีไว้ขึ้นงานเวทีหรืออัดเสียง โทนเสียงที่อ่านง่ายในมิกซ์และดีไซน์ที่โดดเด่นช่วยเพิ่มความมั่นใจบนเวที ขณะเดียวกันการบำรุงรักษาก็ไม่ยุ่งยาก เหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการกีต้าร์หนึ่งตัวที่ทำได้ครบในสถานการณ์ส่วนใหญ่
การเปรียบเทียบกับรุ่นอื่น
เมื่อเทียบกับกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าระดับเดียวกัน จุดต่างที่เห็นชัดคือสี Wine Red แบบลิมิเต็ดและบุคลิกเสียงที่บาลานซ์เล่นง่าย รุ่นนี้คงสไตล์ Hummingbird แต่ทำให้ใช้งานจริงสะดวกขึ้นด้วยระบบไฟฟ้าและงานฮาร์ดแวร์ที่แม่นยำ เหมาะกับคนที่อยากได้เสียงคลาสสิกในแพ็กเกจที่พร้อมใช้งานทันที
สรุป
รุ่นนี้ถือเป็นกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าที่ผสมผสานความคลาสสิกกับความทันสมัยได้ลงตัว เหมาะทั้งการซ้อม เล่นสด และบันทึกเสียง ด้วยโทนเสียงที่อ่านง่ายในวงและดีไซน์ที่โดดเด่น จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องดนตรีทำงานได้จริงในระยะยาว
สนใจสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ Lazada และ Shopee ได้เลยที่นี่
🛒สั่งซื้อได้ที่นี่
👉 Lazada >
ดูรายละเอียดสินค้าใน Lazada
👉 Shopee >
ดูรายละเอียดสินค้าใน Shopee
🎸🐦 Epiphone Hummingbird Pro Wine Red กีต้าร์โปร่งไฟฟ้า ระดับตำนานในโฉมใหม่ ✨🎶
กีต้าร์โปร่งเป็นเครื่องดนตรีที่เริ่มต้นได้ง่ายสำหรับทุกคน แต่ถ้าจะให้เสียงไพเราะ ใช้งานได้นาน และขึ้นเวทีได้อย่างมั่นใจ จำเป็นต้องพิจารณาตั้งแต่งานประกอบ วัสดุ ไปจนถึงระบบไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ กีต้าร์โปร่งไฟฟ้า Epiphone Hummingbird Pro Wine Red คือเวอร์ชันลิมิเต็ดสีไวน์เรดที่หยิบเอกลักษณ์ Hummingbird มาปรับให้ร่วมสมัย ให้โทนเสียงสมดุล จับถนัดมือ และดูแลรักษาง่าย เหมาะทั้งผู้เริ่มต้นที่จริงจังและมืออาชีพ
จุดกำเนิดของตระกูล Hummingbird
กีต้าร์ตระกูล Hummingbird เปิดตัวครั้งแรกช่วงทศวรรษ 1960 และเป็นหนึ่งในรุ่นที่ผู้คนจดจำมากที่สุดของกีต้าร์โปร่ง เพราะมีทั้งรูปลักษณ์สวย และเสียงที่คงที่ หนาแน่น และชัดเจน จุดเด่นคือทรง Dreadnought (ตัวถังขนาดใหญ่ ให้เสียงดังและมวลแน่น) และปิ๊กการ์ดลาย “นกฮัมมิงเบิร์ด” อันเป็นเอกลักษณ์ เวอร์ชัน Pro คือการปรับแนวคิดดั้งเดิมให้ทันสมัย ใช้งานสะดวก และเพิ่มระบบไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ เหมาะทั้งการเล่นสดและการบันทึกเสียง โดยยังคงบุคลิกเสียงแบบคลาสสิกไว้ครบถ้วน
รายละเอียดโครงสร้างและวัสดุ – Epiphone Hummingbird Pro Wine Red
รุ่นนี้เลือกใช้วัสดุอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้เสียงมีมิติ ฟังชัด และสมดุลระหว่างย่านต่ำ‑กลาง‑แหลม โดยรวมคือเล่นแล้วได้ทั้งความใสและความอุ่นในตัวเดียว
- ไม้หน้า (Top): ไม้แท้ Solid Sitka Spruce ให้เสียงโปร่ง ใส ตอบสนองไวต่อแรงมือ (ตีเบาก็ดังชัด ตีแรงก็ยังไม่แตกพร่า)
- ไม้ข้าง/หลัง: ไม้มะฮอกกานี (Select Mahogany) เพิ่มความอุ่นของโทนกลาง และทำให้เสียงทุ้มกระชับไม่บวม
- คอ (Neck): ไม้มะฮอกกานี ทรงคอ SlimTaper D จับถนัดมือ เหมาะกับผู้เล่นส่วนใหญ่ทั้งมือเล็ก–กลาง–ใหญ่ เพราะคอไม่หนาหรือบางเกินไป โค้งรับอุ้งมือดี เปลี่ยนคอร์ดลื่น ไม่เมื่อยง่าย
- ฟิงเกอร์บอร์ด: Pau Ferro พร้อมอินเลย์ Mother of Pearl ลาย Split Parallelogram ช่วยมองตำแหน่งเฟร็ตได้ชัด และให้สัมผัสเรียบมือ
- สเกลและเฟร็ต: สเกล 24.72 นิ้ว จำนวน 20 เฟร็ต ขนาด Medium Jumbo ช่วยกดโน้ตได้เต็มนิ้ว เสียงชัดทั้งตีคอร์ดและโซโล่
ระบบไฟฟ้าที่ตอบโจทย์นักดนตรี
ติดตั้งปิ๊กอัพ Fishman Sonicore คู่กับพรีแอมป์ Fishman Sonitone ที่ซ่อนอยู่ภายในซาวด์โฮล (Soundhole) ควบคุมได้ง่ายด้วยปุ่ม Volume และ Tone โดยไม่รบกวนรูปลักษณ์ภายนอก เสียงที่ส่งออกคงคาแรกเตอร์ธรรมชาติของตัวกีต้าร์ เหมาะทั้งเสียบเข้ามิกเซอร์ ระบบ PA หรือแอมป์อะคูสติก
งานประกอบและดีไซน์ที่เหนือชั้น
- สี Wine Red แบบลิมิเต็ด: โดดเด่น หรูหรา เห็นลายไม้ชัดเจน
- ปิ๊กการ์ดลายฮัมมิงเบิร์ด: เอกลักษณ์ของตระกูลนี้ ช่วยปกป้องไม้หน้าและเพิ่มลูกเล่นบนเวที
- สะพานสาย (Bridge): Reverse Belly Pau Ferro พร้อม Bone Saddle ส่งผ่านแรงสั่นได้ดี เสียงยาวและนิ่ง
- ลูกบิด (Tuners): Grover Ratio 18:1 ตั้งสายละเอียดและคงที่
ฟีลลิ่งการเล่นและการเซ็ตอัปสำหรับงานเวที
- คอทรง SlimTaper D: จับถนัดมือ ขนาดคอพอดี ไม่หนาหรือบางเกินไป ควบคุมมือซ้ายได้มั่นใจ
- เฟร็ต Medium Jumbo + รัศมีฟิงเกอร์บอร์ด 12 นิ้ว: กดคอร์ดได้เต็มนิ้ว ดันสายลื่น ไม่สะดุด เสียงไม่เพี้ยนง่าย
- ทรง Dreadnought พร้อม Cutaway: เอื้อมถึงเฟร็ตบนๆ (ใกล้ตัวกีต้าร์) ได้ง่าย เหมาะกับการเล่นท่อนเมโลดี้หรือโซโล่ช่วงพีคของเพลง
- น้ำหนักบาลานซ์ดี: สะพายเล่นนาน ๆ ไหล่ไม่ล้า เคลื่อนไหวบนเวทีคล่องตัว
- ผิวคอเรียบลื่น: เปลี่ยนคอร์ดรวดเร็ว ต่อเนื่อง ไม่สะดุดมือ
- Bone Nut และ Bone Saddle: ถ่ายทอดการสั่นจากสายสู่ตัวกีต้าร์ได้เต็มที่ ทำให้เสียงทอดยาว (ซัสเทน) และได้ยินโน้ตชัดเจน
การตั้งสายและแอ็คชัน (ความสูงของสายกีต้าร์ที่เฟร็ต 12)
- ชุดสายโรงงาน .012–.053 เหมาะทั้ง ตีคอร์ด (strumming) และ ฟิงเกอร์สไตล์ (fingerstyle) หากต้องการโทนแน่นขึ้นสามารถอัปเป็น .013 แต่ควรปรับความสูงของสายกีต้าร์ที่เฟร็ต 12 ให้เหมาะสม
- ความสูงของสายกีต้าร์ที่เฟร็ต 12 (กึ่งกลางคอ): โดยทั่วไปสาย 6 ราว 2.0–2.5 มม. และสาย 1 ราว 1.5–2.0 มม. ถ้ามือกดแรงให้ตั้งสูงขึ้นเล็กน้อย ถ้ามือกดเบา หรือชอบเล่นเร็ว สามารถตั้งความสูงสายให้ต่ำลงได้ แต่ควรตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีเสียงสายสั่นกระทบเฟร็ต (บัซซ์)
- การตั้งระยะเสียง (Intonation) จากโรงงานค่อนข้างแม่นยำ แต่เมื่อเปลี่ยนขนาดสาย (เกจ) ควรตรวจและตั้งใหม่ เพื่อให้คอร์ดในตำแหน่งเฟร็ตสูงยังตรงคีย์
การเชื่อมต่อระบบเสียงสด
- ปุ่มควบคุม Volume/Tone อยู่ในซาวด์โฮล (Soundhole) หยิบปรับได้สะดวกโดยไม่บดบังดีไซน์
- ควรใช้สายสัญญาณคุณภาพดีและยาวพอเหมาะ ลดสัญญาณรบกวนและคงรายละเอียดปลายแหลม
- หลีกเลี่ยงการหันไมโครโฟนหรือลำโพงมอนิเตอร์ (wedge) เข้าหาตัวกีต้าร์โดยตรง หากเกิดเสียงหวีด (feedback) ให้ใช้ที่อุดซาวด์โฮล (Soundhole) หรือหมุนลดปุ่ม Tone ลงเล็กน้อย และใช้ฟังก์ชันน็อตช์ฟิลเตอร์ (Notch Filter) ที่มิกเซอร์เพื่อตัดความถี่ต้นเหตุ
โทนเสียงและแนวเพลงที่เหมาะ – Epiphone Hummingbird Pro Wine Red
ไม้หน้า Solid Sitka Spruce ให้ความใสและรายละเอียด ส่วนไม้ข้าง‑หลัง Mahogany เติมความอุ่นและความแน่นของย่านทุ้ม จึงได้เสียงที่โปร่ง เสียงสมดุลดี เมื่อดีดคอร์ดหลายสายพร้อมกัน (คอร์ดเต็ม) แต่ละโน้ตได้ยินชัด แยกเสียงออกจากกัน ไม่ปะปน เมโลดี้ได้ยินชัดเมื่อเล่นเป็นวงดนตรี และตอบสนองแรงมือได้ดี คุมความดัง‑เบาได้ง่าย เหมาะทั้งการอัดเสียงและการเล่นสด
- โฟล์ก/ป็อปร็อก (ตีคอร์ด): คอร์ดเต็ม เปิดกว้าง ไม่ทับย่านคีย์บอร์ด
- นักร้อง–นักแต่งเพลง (ฟิงเกอร์สไตล์ (fingerstyle)): รายละเอียดโน้ตและฮาร์โมนิกชัด ปลายแหลมใสแต่ไม่บาดหู
- คันทรี/วอร์ชิป: ย่านกลาง‑แหลมเด่น (ไฮมิด) ทำให้อาร์เปจิโอและริฟฟ์สั้น ๆ ตัดผ่านในวงได้ดี
การตั้งค่าโทนบน Fishman Sonitone
- Pop/Acoustic Rock: ตั้ง Volume ราว 70% และปรับ Tone ไว้ช่วง 50–60% เพื่อให้เสียงใสชัด แต่ไม่แหลมเกินไป
- ฟิงเกอร์สไตล์ (fingerstyle) / บันทึกเสียง: ลดค่า Tone ลงมาแถว 40–50% เพื่อให้เสียงนุ่มลง และลดเสียงนิ้วเสียดสีกับสาย
- คันทรี/วอร์ชิป: เพิ่ม Tone ไปที่ประมาณ 55–65% เพื่อดันย่านกลาง–แหลม (ไฮมิด) ให้คอร์ดคมชัดในเสียงรวมของวง
ความโดดเด่นของ Epiphone Hummingbird Pro Wine Red
1. ทรง Dreadnought พร้อม Cutaway เข้าถึงเฟร็ตสูงได้สะดวก
2. โทนเสียงสมดุล: ไม้หน้า Sitka ใสคม + Mahogany อุ่นหนา
3. ระบบไฟฟ้า Fishman ให้ซาวด์ธรรมชาติ ปรับใช้สด/อัดเสียงได้ง่าย
4. งานประกอบเรียบร้อย ใช้วัสดุคัดเกรด ในช่วงราคาที่เข้าถึงได้
Epiphone Hummingbird Pro Wine Red กับการใช้งานจริง
รุ่นนี้ตอบโจทย์ผู้เล่นหลายระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นที่อยากจริงจังไปจนถึงมืออาชีพที่ต้องการเครื่องดนตรีไว้ขึ้นงานเวทีหรืออัดเสียง โทนเสียงที่อ่านง่ายในมิกซ์และดีไซน์ที่โดดเด่นช่วยเพิ่มความมั่นใจบนเวที ขณะเดียวกันการบำรุงรักษาก็ไม่ยุ่งยาก เหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการกีต้าร์หนึ่งตัวที่ทำได้ครบในสถานการณ์ส่วนใหญ่
การเปรียบเทียบกับรุ่นอื่น
เมื่อเทียบกับกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าระดับเดียวกัน จุดต่างที่เห็นชัดคือสี Wine Red แบบลิมิเต็ดและบุคลิกเสียงที่บาลานซ์เล่นง่าย รุ่นนี้คงสไตล์ Hummingbird แต่ทำให้ใช้งานจริงสะดวกขึ้นด้วยระบบไฟฟ้าและงานฮาร์ดแวร์ที่แม่นยำ เหมาะกับคนที่อยากได้เสียงคลาสสิกในแพ็กเกจที่พร้อมใช้งานทันที
สรุป
รุ่นนี้ถือเป็นกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าที่ผสมผสานความคลาสสิกกับความทันสมัยได้ลงตัว เหมาะทั้งการซ้อม เล่นสด และบันทึกเสียง ด้วยโทนเสียงที่อ่านง่ายในวงและดีไซน์ที่โดดเด่น จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องดนตรีทำงานได้จริงในระยะยาว
สนใจสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ Lazada และ Shopee ได้เลยที่นี่
🛒สั่งซื้อได้ที่นี่
👉 Lazada > ดูรายละเอียดสินค้าใน Lazada
👉 Shopee > ดูรายละเอียดสินค้าใน Shopee