เพราะถ้าทำในรูป หจก. หสม. หรือบุคคลธรรมดา วันดีคืนดี อาจจะต้องเป็นหนี้บุคคลภายนอกมหาศาลจนอาจจะถึงขั้นล้มละลายโดนยึดบ้านยึดรถยึดทรัพย์สินส่วนตัวจนหมดเกลี้ยง
ดูอย่างร้านขายน้ำร้านนี้ ลูกน้องขับรถไปส่งน้ำให้ลูกค้า แต่เข้าโค้งแรงไปหน่อย ไปชนเสาไฟของหลวง ล้มไป 52 ต้น บ้านของชาวบ้าน พังไปอีกหลายหลัง
ค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ให้รัฐ ไม่ต่ำกว่า 25 ล้าน ค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ให้ชาวบ้านที่บ้านพังอีกหลายแสน
ถ้าเจ้าของร้านน้ำ จดในรูปบริษัท อย่างน้อย ก็เป็นบัฟเฟอร์กันชนรับแรงกระแทกไว้ชั้นนึง ถ้าบริษัทไม่มีทรัพย์สินเพียงพอให้ยึด หลวงก็ตามมายึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นไม่ได้ (ถ้าจ่ายค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว)
คนทำธุรกิจ ไม่รู้หรอกว่า วันดีคืนดี จะตกเป็นหนี้ก้อนโตโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า อย่างถ้าผิดพลาดเรื่องภาษี ก็มีเจ้ามือ คือกรมสรรพากร พร้อมจะมาประเมินภาษีย้อนหลังก้อนโต และยึดทรัพย์
ขนาดลูกค้าผม เป็นชาวต่างชาติ เปิดกิจการร้านซักรีด จับกลุ่มลูกค้าโรงแรมเป็นหลัก เค้ายังคิดเผื่อ (โดยผมไม่ต้องบอก) เลยว่า ถ้าวันหนึ่ง ลูกน้องเค้าขับรถไปรับส่งผ้าแล้วเกิด accident ไปสร้างความเสียหายต่อบุคคลภายนอก มีค่าเสียหายเป็นสิบๆ ล้าน เค้าจะต้องทำยังไง เค้าก็ใช้วิธีแบ่งแยกบริษัท เอาบริษัทที่จะใช้เป็นเจ้าของที่ดิน เจ้าของทรัพย์สิน แยกต่างหาก ไม่เอามาเป็นนายจ้าง แต่ตั้งอีกบริษัทขึ้นมา รับหน้าเสื่อเป็นนายจ้างแทน และใช้บริษัทนี้ทำธุรกิจ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็ให้ตกอยู่กับบริษัทนี้ โดยไม่ลามไปถึงบริษัทแรกที่ใช้ครอบครองทรัพย์สิน
แต่หลายคน ตอนจะเริ่มธุรกิจ ก็ขี้เหนียวอยู่กับค่าทำบัญชีไม่เท่าไหร่ บางคนเลือกจดเป็น หจก. เพราะไม่ต้องใช้ผู้สอบบัญชี ประหยัดค่าสอบบัญชีไปได้อีก แค่ใช้ tax auditor ที่ถูกลงมาหน่อย แต่ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่จะถูกยึดทรัพย์สินจนหมดตัวเลย
เหตุผลที่คนทำธุรกิจควรจดบริษัทมากกว่าทำในรูป หจก. หสม. หรือบุคคลธรรมดา
ดูอย่างร้านขายน้ำร้านนี้ ลูกน้องขับรถไปส่งน้ำให้ลูกค้า แต่เข้าโค้งแรงไปหน่อย ไปชนเสาไฟของหลวง ล้มไป 52 ต้น บ้านของชาวบ้าน พังไปอีกหลายหลัง
ค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ให้รัฐ ไม่ต่ำกว่า 25 ล้าน ค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ให้ชาวบ้านที่บ้านพังอีกหลายแสน
ถ้าเจ้าของร้านน้ำ จดในรูปบริษัท อย่างน้อย ก็เป็นบัฟเฟอร์กันชนรับแรงกระแทกไว้ชั้นนึง ถ้าบริษัทไม่มีทรัพย์สินเพียงพอให้ยึด หลวงก็ตามมายึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นไม่ได้ (ถ้าจ่ายค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว)
คนทำธุรกิจ ไม่รู้หรอกว่า วันดีคืนดี จะตกเป็นหนี้ก้อนโตโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า อย่างถ้าผิดพลาดเรื่องภาษี ก็มีเจ้ามือ คือกรมสรรพากร พร้อมจะมาประเมินภาษีย้อนหลังก้อนโต และยึดทรัพย์
ขนาดลูกค้าผม เป็นชาวต่างชาติ เปิดกิจการร้านซักรีด จับกลุ่มลูกค้าโรงแรมเป็นหลัก เค้ายังคิดเผื่อ (โดยผมไม่ต้องบอก) เลยว่า ถ้าวันหนึ่ง ลูกน้องเค้าขับรถไปรับส่งผ้าแล้วเกิด accident ไปสร้างความเสียหายต่อบุคคลภายนอก มีค่าเสียหายเป็นสิบๆ ล้าน เค้าจะต้องทำยังไง เค้าก็ใช้วิธีแบ่งแยกบริษัท เอาบริษัทที่จะใช้เป็นเจ้าของที่ดิน เจ้าของทรัพย์สิน แยกต่างหาก ไม่เอามาเป็นนายจ้าง แต่ตั้งอีกบริษัทขึ้นมา รับหน้าเสื่อเป็นนายจ้างแทน และใช้บริษัทนี้ทำธุรกิจ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็ให้ตกอยู่กับบริษัทนี้ โดยไม่ลามไปถึงบริษัทแรกที่ใช้ครอบครองทรัพย์สิน
แต่หลายคน ตอนจะเริ่มธุรกิจ ก็ขี้เหนียวอยู่กับค่าทำบัญชีไม่เท่าไหร่ บางคนเลือกจดเป็น หจก. เพราะไม่ต้องใช้ผู้สอบบัญชี ประหยัดค่าสอบบัญชีไปได้อีก แค่ใช้ tax auditor ที่ถูกลงมาหน่อย แต่ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่จะถูกยึดทรัพย์สินจนหมดตัวเลย