หลังจากที่หยางกลับมา YG รอบล่าสุด ดูเหมือนว่าทาง YG จะมีการวางกลยุทธิ์ใหม่ในการสร้างศิลปินขึ้นมา แล้วทำให้ประสบความสำเร็จในรูปแบบที่แตกต่างจากค่ายอื่นๆ เขาทำกัน รวมไปถึงวิธีวัดระดับความนิยมของศิลปินในค่าย เพื่อวางแผนในการโปรโมท จัดทำอัลบั้ม และวางแผนจัด Concert ที่ไม่เหมือนค่ายอื่นเท่าไหร่
เพราะถ้าใครตาม Kpop มานานน่าจะรู้ว่าส่วนใหญ่แล้ว เมื่อค่ายออกวง BG หรือ GG มาสักวง จะมี Loop ที่ใกล้เคียงกันในการโปรโมทศิลปินใหม่ ก็คือการส่งไปรายการเวทีเพลงต่างๆ ในประเทศ แล้ววัดผลว่าใครดังกว่ากันด้วยถ้วยรางวัลของรายการเพลงต่างๆ รวมไปถึงถ้วยรางวัลของเวทีใหญ่ปลายปีด้วย ใครได้ถ้วยเยอะ ก็วัดความสำเร็จได้ตามนั้น จะ Pak จะ Rak จะเดซัง บอนซัง บอนไซอะไรก็ว่ากันไป ซึ่งก็ดูจะเป็นระบบที่ยึดถึงมาเนิ่นนาน
มาลองไล่ดูว่าหยางมันแหกขนบ Kpop อย่างไรบ้าง
.
1. ไม่สนใจขึ้นรายการเพลงมากมายเหมือนค่ายอื่นๆ
สำหรับค่าย YG หลายคนน่าจะรู้กันบ้างว่าค่ายนี้มันไม่ปกติ เพราะชอบไปมีปัญหากับสถานี หรือรายการเพลงต่างๆ เยอะ จนทำให้หลังๆ ส่งศิลปินไปโปรโมทแค่ไม่กี่ช่อง ไม่กี่รายการ รายการเพลงที่ขึ้นก็เป็นแค่รายการใหญ่ๆ อย่าง Mcountdown, หรือ SBS Inkigayo แค่สองเวทีเท่านั้น ช่องอื่น เวทีอื่นที่วงรุ๊กกี้มีโอกาสได้ถ้วยง่ายๆ แต่ YG ก็ไม่ส่งไปขึ้นเวทีพวกนี้เลย ทำให้โอกาสได้รางวัลน้อยมากๆ เพราะการขึ้นเวทีหลักแบบนี้จะชนกับเบอร์ใหญ่ๆ แบบเต็มตัว ทำให้ก็ไม่ค่อยได้ถ้วยอะไรเท่าไหร่
ในขณะที่วงอื่นๆ ค่ายๆ อื่นๆ เขาจะเน้นขึ้นให้มากที่สุด โดยเฉพาะถ้าเป็นศิลปินใหม่ เรียกว่าค่ายส่งไปทุกรายการเพลงเลย เพื่อลุ้นให้ได้ถ้วยรางวัลให้มากที่สุด เพื่อทำให้วงเป็นที่รู้จัก และยอมรับในระดับประเทศก่อน และเมื่อดังในประเทศแล้ว ก็ค่อยต่อยอดไประดับเอเชีย และเมกา ยุโรปต่อไป แต่ถ้าไปนอกเอเชียไม่ได้ ก็เน้นภายในประเทศเป็นหลัก
ผลก็คือ Babymonster ไม่ค่อยได้ถ้วยรางวัลรายการเพลงเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยไปขึ้นหลายเวทีนั้นเอง แต่หยางมันแคร์หรือเปล่า ก็เปล่า เพราะไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ถ้าจะได้ถ้วยรางวัล มันก็ต้องได้เพราะเพลงมันดังจริงๆ แบบเพลงของวงไหน เบอร์ไหนก็กั้นไม่อยู่
แล้วที่สำคัญ การไปขึ้นเวทีเหล่านั้น การตบแต่งเวทีให้สวยงามอลังการ เป็นหน้าที่ของค่ายเพลงนั้นๆ ที่ต้องลงทุนเอาเอง ถ้าไม่ลงทุน ก็เต้นหน้าจอ LED โล่งๆ กันไป ดังนั้นการจะไปขึ้นเวทีรายการเพลง ก็ต้องลงทุน และหยางอาจจะมองว่าถ้าขึ้นบ่อยๆ แสดงเพลงเดิมๆ ซ้ำๆ มันไม่ได้ทำให้น่าสนใจ คนจะเบื่อเสียมากกว่า ก็เลยคิดว่าส่งไปแค่สองรายการ ขึ้นสองอาทิตย์ก็พอแล้วสำหรับการโปรโมทในรายการเพลง
เพราะงั้นในมุมมองของ Yg แล้ว การได้ถ้วยรางวัลไม่ได้สำคัญมาก ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจะได้ เพลงต้องดังจริงๆ ไม่งั้นคงส่งไปกวาดถ้วยกับรายการเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมดแล้ว
------
2. ไม่เน้นเดินสายขึ้นเวทีใหญ่กลางปี ปลายปี
สำหรับวงรุ๊กกี้ การได้ไปแสดงงานใหญ่ปลายปี ย่อมเป็นความฝันของศิลปินทุกคน เพราะเป็นโอกาสที่จะเปิดตัวให้กับคนดูได้ง่ายที่สุด และก็แน่นอนว่ามีหลายสถานีที่ทำรายการปลายปี และก็จะเชิญศิลปินดังๆ มาขึ้นเวทีเพื่อเรียก Rating ให้กับเวทีของตัวเอง เวทีไหนได้วงดังๆ มาขึ้นเยอะ เวทีก็จะดังไปด้วย
แต่ YG ขึ้นแค่เวทีเดียว คือของ SBS Gayo Daejeon
เท่านั้น และไม่ขึ้นของสถานีอื่น เวทีอื่นเลย
ข้อดีคือจะทุ่มงบแบบเล่นใหญ่ จัดเต็ม ขน Dancer แสดงสีเสียง Effect ต่างๆ เต็มที่ มีเอา Live Band มาเล่นเพื่อทำให้บรรยากาศสนุกขึ้น อย่าง Babymonster ก็ตามรอยแนวทางนี้อย่างชัดเจน คือไม่ขึ้นเวทีอื่นเลย ขึ้นแต่ของ SBS Gayo Daejeon เท่านั้น แล้วเล่นใหญ่มาก จัด Blocking ใหม่ ใช้เวทีให้คุ้มทุกส่วน ไม่ได้ใช้ Blocking เดิมๆ ตามที่เคยแสดงบนรายการเพลงเหมือนวงอื่นๆ เพื่อให้โชว์ดูแตกต่าง และน่าสนใจมากขึ้น
ผลก็คือโชว์มันน่าสนใจ และดูมืออาชีพมาก คุณภาพของภาพรวมโชว์ไม่มีใครกล้าพูดเลยว่าไม่ดี แถมยังร้องสดแบบ 100% ถ้าร้องผิด ร้องพลาดก็เห็นกันตรงนั้นเลย แบบที่อายอนสร้างตำนาน Babymomo นะแหละ และการขึ้นเวทีไม่ว่าจะรอบก่อน หรือรอบนี้ก็ยังคงเป็นวงที่มียอดวิวสูงที่สุดในงานเหมือนเดิม และชิกิต้า ก็เป็นคนที่มียอดดู Fancam มากที่สุดในงานติดต่อกันมาสองปีติด
สรุปได้ว่าไม่ต้องขึ้นบ่อยๆ ให้คนเบื่อ แต่ขึ้นแล้วต้องทำให้คนจำ ว่าคุณภาพของวงในการแสดงสดเป็นอย่างไร
-----
3. เน้นการร้องสดเป็นจุดขายสำคัญ
วงในยุคหลังๆ ของ YG ไม่ว่าจะเป็นเด็กสมบัติ หรือ Babymonster จะเน้นการร้องสดเป็นหลัก โดยเฉพาะ Babymonster จะสร้างจุดขายเลยว่าร้องสดเท่านั้นไม่มีลิปซิงค์ จะผิด จะพลาด ก็ไม่เป็นไป แต่ต้องทำให้คนดูรู้สึกว่าได้มาฟังศิลปินร้องสดจริงๆ เพราะมันจะสื่อสารพลังไปได้ดีกว่าการเต้นตามเพลง หรือร้องทับ Pre Record เพียงอย่างเดียว
เนื่องจากหลังๆ มาวง Kpop ส่วนมากเน้นความสมบูรณ์แบบมากเกินไป ทั้งๆ ที่ศิลปินเองก็สามารถร้องสดบนเวทีได้สบายๆ แต่กลัวว่าถ้าพลาดร้องผิด ร้องเพี้ยน จะโดนกระแสโจมตี เหมือนตอนที่ Momo โดนจากการร้อง Encore นั่นแหละ เลยทำให้ค่ายส่วนมากเลือกจะ Play safe โดยการให้ร้องทับ Backing Track เป็นหลัก หรือไม่ก็ให้ลิปซิงค์ไปเลย เน้นไปที่การเต้น การโชว์ไปแทน
แต่ YG ไม่ได้สนใจเรื่องความผิดพลาดตรงนั้น และมองเห็นว่าในยุคที่ Kpop วงอื่นๆ ไม่เน้นการร้องสด การให้ BM ร้องสดไปเลยน่าจะเป็นจุดขายที่ดี และแน่นอนว่ามั้นประสบความสำเร็จด้วยดี การเห็นศิลปินถือไมค์ลอย ร้องสดจึงกลายเป็นภาพลักษณ์ที่แตกต่าง และสร้างความสนใจให้กับคนดูได้มากมาย
เพราะงั้นมุมมองก็คือร้องผิด ร้องพลาดไม่เป็นไร แต่ต้องแสดง Attitude และพลังผ่านเสียงร้องสดๆ ออกมาให้ได้ เพื่อกระตุ้นอารมณ์คนฟังให้มากที่สุด เพราะนี่คือสิ่งที่ศิลปินควรจะเป็น
-----
4. เน้นการโปรโมทผ่านช่องทาง Social media ของวงเป็นหลัก
สำหรับค่ายอื่น อาจจะเลือกลง MV ไว้กับช่องของค่าย เพราะช่องค่ายคนเยอะกว่า และโปรโมทได้ง่ายกว่า รวมไปถึงรายได้จากยอดวิวก็เข้าค่ายโดยตรง
ในขณะที่ YG เลือกที่จะสร้างช่องให้กับวงต่างๆ แยกกันไปเลย แต่ละวงก็เริ่มจาก 0 และสร้างฐานแฟนคลับกันเอาเอง แน่นอนว่ามีแสตนค่ายตามไป Sub ช่องเป็นเรื่องปกติ แต่จะสร้างฐานให้ใหญ่ได้จริงๆ มันก็ต้องทำให้คนนอกเข้ามาให้ความสนใจได้นะแหละ ซึ่งก็ไม่ง่ายหากว่าสมาชิกในวงไม่มีเสน่ห์ที่ดึงดูดความสนใจของคนได้มากพอ
เราได้เห็นวงรุ่นพี่อย่าง Blackpink ที่มีการเดินด้วยแนวทางนี้มานานมาก และพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ วงรุ่นน้องอย่าง Babymonster ก็ทำตามรูปแบบนี้เช่นกัน แต่ที่แตกต่างก็คือการอัด Content ทาง Social Media แบบหนักมาก ไม่ว่าจะเป็น Youtube, Tiktok, Instagram, Facebook มี Content ให้ได้ดูเรื่อยๆ คลิป Short เต้นต่างๆ มีให้ดูเรื่อยๆ หรือใน Youtube ก็มีเบื้องหลังต่างๆ ให้ดูมากมาย
แต่ที่ต่างจากรุ่นพี่มากๆ ก็คือการทำ MV และ Dance Practice มีเยอะมาก ทำหลายเพลงมาก นอกจาก MV แล้วก็ยังมีวีดีโอการเต้นมีหลายรูปแบบ เพื่อทดแทนการไม่ไปขึ้นเวทีโปรโมทในการเพลงนั่นเอง เมื่อประหยัดเวลาตรงนั้นได้ ก็เอาเวลามาทำคลิปเต้นลงช่องตัวเองดีกว่า เพราะการลงทุนทำฉาก หรือถ่ายทำนั้น ก็จะได้ผลตอบกลับมาจากรายได้ของยอดวิว รวมถึงข้อมูลหลังบ้านของคนที่เข้ามาดู
ข้อมูลตรงนี้สำคัญมาก เพราะมันละเอียดเลย และถ้าใช้ข้อมูลเหล่านี้เอาไปวิเคราะห์ต่อยอดเป็น จะทำให้วางแผนต่างๆ ได้ง่ายขึ้นมาก
หมายความว่าแทนที่จะเสียเวลา เสียเงินไปโปรโมทตามรายการเพลงที่คนดูจำกัดแค่ในประเทศ แล้วไม่ได้รายได้อะไรกลับมา แล้วเด็กๆ ก็ต้องเสียเวลาทั้งวันในการไปอัดรายการโดยไม่ได้ค่าตัวอะไร สู้มาทำฉากเอง ถ่ายทำเอง แล้วโปรโมทลงช่อง Babymonster ที่มีคนทั่วโลกรอดู รอทำ Reaction อยู่น่าจะเป็นแนวทางโปรโมทที่ดีกว่านั่นเอง แล้วรายได้จากยอดวิว ก็คืนกลับไปหาค่าย และตัวศิลปินด้วย ไม่ใช่รายการเพลงที่เป็นเสือนอนกิน
ตรงนี้แหละที่ทำให้วง Babymonster เติบโตในระดับ Global ได้รวดเร็วมากกว่าวงอื่นๆ ในเจนเดียวกัน ยอด Engagement ใน Social media platform เหล่านี้สำคัญกับการตรวจวัดความนิยมได้มากกว่าถ้วยรางวัล หรือรอให้องค์กรณ์มาจัดเรตติ้งตั้งเยอะ แล้วมันคือข้อมูลจริงที่เอาไปต่อยอดได้
ผลที่ตามมาก็คือวงเติบโตเร็วมากสุดๆ สามารถสร้างฐานแฟนคลับทั่วโลกได้เร็วอย่างที่ไม่เคยมีวง GG ไหนจะทำได้เร็วขนาดนี้มาก่อนเลย เอาแค่ใน Youtube ล่าสุดยอด Sub ก็ไปถึง 10 ล้านแล้วในเวลาไม่ถึงสองปี ถือเป็นอันดับที่สาม ของ Kpop GG เป็นรองแค่ Blackpink และ Twice เท่านั้น
แน่นอนว่าพอ Comeback วันที่ 10 ตค. ก็จะสามารถทำให้ยอดต่างๆ ใน Social วิ่งขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ เช่นกัน
-----
5. ไม่สนใจ Chart เพลงในประเทศ และการจัดระดับ Brand Reputation ใดๆ
สำหรับวง Kpop วงอื่นๆ หลังจากออกเพลงแล้ว ก็ต้องนั่งเฝ้าชาร์ตเพลง ลุ้นให้เพลงตัวเองติดอันดับสูงๆ เพื่อพิสูจน์ความนิยมในประเทศ ว่ามีคนยอมรับ และชอบเพลงของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าติดอันดับสูงๆ ก็หวังว่าความนิยมเหล่านี้ จะทำให้วงดังขึ้น ได้ไปออกรายการ, ได้โฆษณา หรือต่อยอดอื่นๆ ได้เพื่อให้วงมีรายได้เข้ามา และเข้าบัญชีของศิลปิน
แต่ YG ไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้เท่าไหร่ แน่นอนว่าติดอันดับสูงๆ ในชาร์ตย่อมดีอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ติด ก็ไม่ได้หมายความวงไม่ประสบความสำเร็จ หรือว่าล้มเหลวแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ YG สนใจมากกว่าคือตัวเลขหลังบ้านของ Social Media Platform ต่างๆ มากกว่า ถ้าตัวเลขเหล่านั้นไปถึงเป้าเร็วกว่าที่คิด ก็แสดงว่าประสบความสำเร็จแล้ว
ถามว่าเด็กๆ BM อยากให้เพลงตัวเองติดอันดับ 1 ของชาร์ตในเกาหลีหรือเปล่า แน่นอนว่าทุกคนอยากติด แต่ถ้าไม่ติดเพราะไปชนเบอร์ใหญ่ หรือไม่ติดเพราะแนวเพลงที่เป็นที่นิยมในเวลานั้นไม่ตรงกับแนวเพลงของวง อันนี้ก็ต้องทำใจ เพราะมันเป็นแค่กระแสในประเทศเท่านั้น อีกทั้งวงจากเจน 4 ก็ยัง Active กัน และมีฐานแฟนคลับในประเทศที่แข็งแรง การออกเพลงไปชนกับวงดังๆ เหล่านี้ โอกาสที่จะได้อันดับดีๆ ก็ย่อมน้อยลงไปเช่นกัน แต่วงอายุยังไม่ถึงสองปี ยังมีเวลาอีกเยอะในการสร้างฐานแฟนคลับตัวเองขึ้นมา ไม่มีอะไรน่าห่วงแต่อย่างใด
ส่วนเรื่ององค์กรณ์จัด Rating นั้น หยางไม่น่าให้ความสำคัญอะไร เพราะสมัยนี้คนจะจ้างงาน เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขพวกนี้สักเท่าไหร่แล้ว เพราะรู้ว่ามันมีเบื้องหลังยังไง สมัยนี้เขาสนใจที่ยอด Social Engagement กันเป็นหลักแล้ว ถ้าวงสามารถสร้าง Engagement ให้กับสินค้าได้ เขาไม่สนหรอกว่า Rating ที่องค์กรณ์ต่างๆ จัดให้จะอยู่ที่อันดับเท่าไหร่
ไม่อย่างนั้นวงที่อันดับ Rating ต่ำต้อยอย่าง Babymonster ทำไมถึงมีแต่แบรนด์ใหญ่ๆ อยากเข้ามาร่วมงานด้วยล่ะ
ถ้าวงไม่เป็นที่นิยมในเกาหลีแบบที่องค์กรณ์จัดเรตติ้งบอก ทำไมถึงขายอัลบั้มได้ดีมากๆ ขนาดนี้ และทำไมถึงสามารถไปจัดคอนเสิร์ตที่ KSPO Dome ได้เร็วขนาดนั้น แถมขายบัตรแบบ Sold out ได้ทั้งสองวัน ทั้งๆ ที่เพลงก็ไม่ติดชาร์ตอันดับสูงๆ อะไรมากมาย ทำไมนะ ทำไม
กลยุทธิ์ของ YG ที่แหกขนบ Kpop ค่ายอื่นๆ จะสามารถทำให้ Babymosnter ประสบความสำเร็จได้จริงหรือไม่
เพราะถ้าใครตาม Kpop มานานน่าจะรู้ว่าส่วนใหญ่แล้ว เมื่อค่ายออกวง BG หรือ GG มาสักวง จะมี Loop ที่ใกล้เคียงกันในการโปรโมทศิลปินใหม่ ก็คือการส่งไปรายการเวทีเพลงต่างๆ ในประเทศ แล้ววัดผลว่าใครดังกว่ากันด้วยถ้วยรางวัลของรายการเพลงต่างๆ รวมไปถึงถ้วยรางวัลของเวทีใหญ่ปลายปีด้วย ใครได้ถ้วยเยอะ ก็วัดความสำเร็จได้ตามนั้น จะ Pak จะ Rak จะเดซัง บอนซัง บอนไซอะไรก็ว่ากันไป ซึ่งก็ดูจะเป็นระบบที่ยึดถึงมาเนิ่นนาน
มาลองไล่ดูว่าหยางมันแหกขนบ Kpop อย่างไรบ้าง
.
1. ไม่สนใจขึ้นรายการเพลงมากมายเหมือนค่ายอื่นๆ
สำหรับค่าย YG หลายคนน่าจะรู้กันบ้างว่าค่ายนี้มันไม่ปกติ เพราะชอบไปมีปัญหากับสถานี หรือรายการเพลงต่างๆ เยอะ จนทำให้หลังๆ ส่งศิลปินไปโปรโมทแค่ไม่กี่ช่อง ไม่กี่รายการ รายการเพลงที่ขึ้นก็เป็นแค่รายการใหญ่ๆ อย่าง Mcountdown, หรือ SBS Inkigayo แค่สองเวทีเท่านั้น ช่องอื่น เวทีอื่นที่วงรุ๊กกี้มีโอกาสได้ถ้วยง่ายๆ แต่ YG ก็ไม่ส่งไปขึ้นเวทีพวกนี้เลย ทำให้โอกาสได้รางวัลน้อยมากๆ เพราะการขึ้นเวทีหลักแบบนี้จะชนกับเบอร์ใหญ่ๆ แบบเต็มตัว ทำให้ก็ไม่ค่อยได้ถ้วยอะไรเท่าไหร่
ในขณะที่วงอื่นๆ ค่ายๆ อื่นๆ เขาจะเน้นขึ้นให้มากที่สุด โดยเฉพาะถ้าเป็นศิลปินใหม่ เรียกว่าค่ายส่งไปทุกรายการเพลงเลย เพื่อลุ้นให้ได้ถ้วยรางวัลให้มากที่สุด เพื่อทำให้วงเป็นที่รู้จัก และยอมรับในระดับประเทศก่อน และเมื่อดังในประเทศแล้ว ก็ค่อยต่อยอดไประดับเอเชีย และเมกา ยุโรปต่อไป แต่ถ้าไปนอกเอเชียไม่ได้ ก็เน้นภายในประเทศเป็นหลัก
ผลก็คือ Babymonster ไม่ค่อยได้ถ้วยรางวัลรายการเพลงเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยไปขึ้นหลายเวทีนั้นเอง แต่หยางมันแคร์หรือเปล่า ก็เปล่า เพราะไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ถ้าจะได้ถ้วยรางวัล มันก็ต้องได้เพราะเพลงมันดังจริงๆ แบบเพลงของวงไหน เบอร์ไหนก็กั้นไม่อยู่
แล้วที่สำคัญ การไปขึ้นเวทีเหล่านั้น การตบแต่งเวทีให้สวยงามอลังการ เป็นหน้าที่ของค่ายเพลงนั้นๆ ที่ต้องลงทุนเอาเอง ถ้าไม่ลงทุน ก็เต้นหน้าจอ LED โล่งๆ กันไป ดังนั้นการจะไปขึ้นเวทีรายการเพลง ก็ต้องลงทุน และหยางอาจจะมองว่าถ้าขึ้นบ่อยๆ แสดงเพลงเดิมๆ ซ้ำๆ มันไม่ได้ทำให้น่าสนใจ คนจะเบื่อเสียมากกว่า ก็เลยคิดว่าส่งไปแค่สองรายการ ขึ้นสองอาทิตย์ก็พอแล้วสำหรับการโปรโมทในรายการเพลง
เพราะงั้นในมุมมองของ Yg แล้ว การได้ถ้วยรางวัลไม่ได้สำคัญมาก ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจะได้ เพลงต้องดังจริงๆ ไม่งั้นคงส่งไปกวาดถ้วยกับรายการเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมดแล้ว
------
2. ไม่เน้นเดินสายขึ้นเวทีใหญ่กลางปี ปลายปี
สำหรับวงรุ๊กกี้ การได้ไปแสดงงานใหญ่ปลายปี ย่อมเป็นความฝันของศิลปินทุกคน เพราะเป็นโอกาสที่จะเปิดตัวให้กับคนดูได้ง่ายที่สุด และก็แน่นอนว่ามีหลายสถานีที่ทำรายการปลายปี และก็จะเชิญศิลปินดังๆ มาขึ้นเวทีเพื่อเรียก Rating ให้กับเวทีของตัวเอง เวทีไหนได้วงดังๆ มาขึ้นเยอะ เวทีก็จะดังไปด้วย
แต่ YG ขึ้นแค่เวทีเดียว คือของ SBS Gayo Daejeon เท่านั้น และไม่ขึ้นของสถานีอื่น เวทีอื่นเลย
ข้อดีคือจะทุ่มงบแบบเล่นใหญ่ จัดเต็ม ขน Dancer แสดงสีเสียง Effect ต่างๆ เต็มที่ มีเอา Live Band มาเล่นเพื่อทำให้บรรยากาศสนุกขึ้น อย่าง Babymonster ก็ตามรอยแนวทางนี้อย่างชัดเจน คือไม่ขึ้นเวทีอื่นเลย ขึ้นแต่ของ SBS Gayo Daejeon เท่านั้น แล้วเล่นใหญ่มาก จัด Blocking ใหม่ ใช้เวทีให้คุ้มทุกส่วน ไม่ได้ใช้ Blocking เดิมๆ ตามที่เคยแสดงบนรายการเพลงเหมือนวงอื่นๆ เพื่อให้โชว์ดูแตกต่าง และน่าสนใจมากขึ้น
ผลก็คือโชว์มันน่าสนใจ และดูมืออาชีพมาก คุณภาพของภาพรวมโชว์ไม่มีใครกล้าพูดเลยว่าไม่ดี แถมยังร้องสดแบบ 100% ถ้าร้องผิด ร้องพลาดก็เห็นกันตรงนั้นเลย แบบที่อายอนสร้างตำนาน Babymomo นะแหละ และการขึ้นเวทีไม่ว่าจะรอบก่อน หรือรอบนี้ก็ยังคงเป็นวงที่มียอดวิวสูงที่สุดในงานเหมือนเดิม และชิกิต้า ก็เป็นคนที่มียอดดู Fancam มากที่สุดในงานติดต่อกันมาสองปีติด
สรุปได้ว่าไม่ต้องขึ้นบ่อยๆ ให้คนเบื่อ แต่ขึ้นแล้วต้องทำให้คนจำ ว่าคุณภาพของวงในการแสดงสดเป็นอย่างไร
-----
3. เน้นการร้องสดเป็นจุดขายสำคัญ
วงในยุคหลังๆ ของ YG ไม่ว่าจะเป็นเด็กสมบัติ หรือ Babymonster จะเน้นการร้องสดเป็นหลัก โดยเฉพาะ Babymonster จะสร้างจุดขายเลยว่าร้องสดเท่านั้นไม่มีลิปซิงค์ จะผิด จะพลาด ก็ไม่เป็นไป แต่ต้องทำให้คนดูรู้สึกว่าได้มาฟังศิลปินร้องสดจริงๆ เพราะมันจะสื่อสารพลังไปได้ดีกว่าการเต้นตามเพลง หรือร้องทับ Pre Record เพียงอย่างเดียว
เนื่องจากหลังๆ มาวง Kpop ส่วนมากเน้นความสมบูรณ์แบบมากเกินไป ทั้งๆ ที่ศิลปินเองก็สามารถร้องสดบนเวทีได้สบายๆ แต่กลัวว่าถ้าพลาดร้องผิด ร้องเพี้ยน จะโดนกระแสโจมตี เหมือนตอนที่ Momo โดนจากการร้อง Encore นั่นแหละ เลยทำให้ค่ายส่วนมากเลือกจะ Play safe โดยการให้ร้องทับ Backing Track เป็นหลัก หรือไม่ก็ให้ลิปซิงค์ไปเลย เน้นไปที่การเต้น การโชว์ไปแทน
แต่ YG ไม่ได้สนใจเรื่องความผิดพลาดตรงนั้น และมองเห็นว่าในยุคที่ Kpop วงอื่นๆ ไม่เน้นการร้องสด การให้ BM ร้องสดไปเลยน่าจะเป็นจุดขายที่ดี และแน่นอนว่ามั้นประสบความสำเร็จด้วยดี การเห็นศิลปินถือไมค์ลอย ร้องสดจึงกลายเป็นภาพลักษณ์ที่แตกต่าง และสร้างความสนใจให้กับคนดูได้มากมาย
เพราะงั้นมุมมองก็คือร้องผิด ร้องพลาดไม่เป็นไร แต่ต้องแสดง Attitude และพลังผ่านเสียงร้องสดๆ ออกมาให้ได้ เพื่อกระตุ้นอารมณ์คนฟังให้มากที่สุด เพราะนี่คือสิ่งที่ศิลปินควรจะเป็น
-----
4. เน้นการโปรโมทผ่านช่องทาง Social media ของวงเป็นหลัก
สำหรับค่ายอื่น อาจจะเลือกลง MV ไว้กับช่องของค่าย เพราะช่องค่ายคนเยอะกว่า และโปรโมทได้ง่ายกว่า รวมไปถึงรายได้จากยอดวิวก็เข้าค่ายโดยตรง
ในขณะที่ YG เลือกที่จะสร้างช่องให้กับวงต่างๆ แยกกันไปเลย แต่ละวงก็เริ่มจาก 0 และสร้างฐานแฟนคลับกันเอาเอง แน่นอนว่ามีแสตนค่ายตามไป Sub ช่องเป็นเรื่องปกติ แต่จะสร้างฐานให้ใหญ่ได้จริงๆ มันก็ต้องทำให้คนนอกเข้ามาให้ความสนใจได้นะแหละ ซึ่งก็ไม่ง่ายหากว่าสมาชิกในวงไม่มีเสน่ห์ที่ดึงดูดความสนใจของคนได้มากพอ
เราได้เห็นวงรุ่นพี่อย่าง Blackpink ที่มีการเดินด้วยแนวทางนี้มานานมาก และพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ วงรุ่นน้องอย่าง Babymonster ก็ทำตามรูปแบบนี้เช่นกัน แต่ที่แตกต่างก็คือการอัด Content ทาง Social Media แบบหนักมาก ไม่ว่าจะเป็น Youtube, Tiktok, Instagram, Facebook มี Content ให้ได้ดูเรื่อยๆ คลิป Short เต้นต่างๆ มีให้ดูเรื่อยๆ หรือใน Youtube ก็มีเบื้องหลังต่างๆ ให้ดูมากมาย
แต่ที่ต่างจากรุ่นพี่มากๆ ก็คือการทำ MV และ Dance Practice มีเยอะมาก ทำหลายเพลงมาก นอกจาก MV แล้วก็ยังมีวีดีโอการเต้นมีหลายรูปแบบ เพื่อทดแทนการไม่ไปขึ้นเวทีโปรโมทในการเพลงนั่นเอง เมื่อประหยัดเวลาตรงนั้นได้ ก็เอาเวลามาทำคลิปเต้นลงช่องตัวเองดีกว่า เพราะการลงทุนทำฉาก หรือถ่ายทำนั้น ก็จะได้ผลตอบกลับมาจากรายได้ของยอดวิว รวมถึงข้อมูลหลังบ้านของคนที่เข้ามาดู
ข้อมูลตรงนี้สำคัญมาก เพราะมันละเอียดเลย และถ้าใช้ข้อมูลเหล่านี้เอาไปวิเคราะห์ต่อยอดเป็น จะทำให้วางแผนต่างๆ ได้ง่ายขึ้นมาก
หมายความว่าแทนที่จะเสียเวลา เสียเงินไปโปรโมทตามรายการเพลงที่คนดูจำกัดแค่ในประเทศ แล้วไม่ได้รายได้อะไรกลับมา แล้วเด็กๆ ก็ต้องเสียเวลาทั้งวันในการไปอัดรายการโดยไม่ได้ค่าตัวอะไร สู้มาทำฉากเอง ถ่ายทำเอง แล้วโปรโมทลงช่อง Babymonster ที่มีคนทั่วโลกรอดู รอทำ Reaction อยู่น่าจะเป็นแนวทางโปรโมทที่ดีกว่านั่นเอง แล้วรายได้จากยอดวิว ก็คืนกลับไปหาค่าย และตัวศิลปินด้วย ไม่ใช่รายการเพลงที่เป็นเสือนอนกิน
ตรงนี้แหละที่ทำให้วง Babymonster เติบโตในระดับ Global ได้รวดเร็วมากกว่าวงอื่นๆ ในเจนเดียวกัน ยอด Engagement ใน Social media platform เหล่านี้สำคัญกับการตรวจวัดความนิยมได้มากกว่าถ้วยรางวัล หรือรอให้องค์กรณ์มาจัดเรตติ้งตั้งเยอะ แล้วมันคือข้อมูลจริงที่เอาไปต่อยอดได้
ผลที่ตามมาก็คือวงเติบโตเร็วมากสุดๆ สามารถสร้างฐานแฟนคลับทั่วโลกได้เร็วอย่างที่ไม่เคยมีวง GG ไหนจะทำได้เร็วขนาดนี้มาก่อนเลย เอาแค่ใน Youtube ล่าสุดยอด Sub ก็ไปถึง 10 ล้านแล้วในเวลาไม่ถึงสองปี ถือเป็นอันดับที่สาม ของ Kpop GG เป็นรองแค่ Blackpink และ Twice เท่านั้น
แน่นอนว่าพอ Comeback วันที่ 10 ตค. ก็จะสามารถทำให้ยอดต่างๆ ใน Social วิ่งขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ เช่นกัน
-----
5. ไม่สนใจ Chart เพลงในประเทศ และการจัดระดับ Brand Reputation ใดๆ
สำหรับวง Kpop วงอื่นๆ หลังจากออกเพลงแล้ว ก็ต้องนั่งเฝ้าชาร์ตเพลง ลุ้นให้เพลงตัวเองติดอันดับสูงๆ เพื่อพิสูจน์ความนิยมในประเทศ ว่ามีคนยอมรับ และชอบเพลงของเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าติดอันดับสูงๆ ก็หวังว่าความนิยมเหล่านี้ จะทำให้วงดังขึ้น ได้ไปออกรายการ, ได้โฆษณา หรือต่อยอดอื่นๆ ได้เพื่อให้วงมีรายได้เข้ามา และเข้าบัญชีของศิลปิน
แต่ YG ไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้เท่าไหร่ แน่นอนว่าติดอันดับสูงๆ ในชาร์ตย่อมดีอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ติด ก็ไม่ได้หมายความวงไม่ประสบความสำเร็จ หรือว่าล้มเหลวแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ YG สนใจมากกว่าคือตัวเลขหลังบ้านของ Social Media Platform ต่างๆ มากกว่า ถ้าตัวเลขเหล่านั้นไปถึงเป้าเร็วกว่าที่คิด ก็แสดงว่าประสบความสำเร็จแล้ว
ถามว่าเด็กๆ BM อยากให้เพลงตัวเองติดอันดับ 1 ของชาร์ตในเกาหลีหรือเปล่า แน่นอนว่าทุกคนอยากติด แต่ถ้าไม่ติดเพราะไปชนเบอร์ใหญ่ หรือไม่ติดเพราะแนวเพลงที่เป็นที่นิยมในเวลานั้นไม่ตรงกับแนวเพลงของวง อันนี้ก็ต้องทำใจ เพราะมันเป็นแค่กระแสในประเทศเท่านั้น อีกทั้งวงจากเจน 4 ก็ยัง Active กัน และมีฐานแฟนคลับในประเทศที่แข็งแรง การออกเพลงไปชนกับวงดังๆ เหล่านี้ โอกาสที่จะได้อันดับดีๆ ก็ย่อมน้อยลงไปเช่นกัน แต่วงอายุยังไม่ถึงสองปี ยังมีเวลาอีกเยอะในการสร้างฐานแฟนคลับตัวเองขึ้นมา ไม่มีอะไรน่าห่วงแต่อย่างใด
ส่วนเรื่ององค์กรณ์จัด Rating นั้น หยางไม่น่าให้ความสำคัญอะไร เพราะสมัยนี้คนจะจ้างงาน เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขพวกนี้สักเท่าไหร่แล้ว เพราะรู้ว่ามันมีเบื้องหลังยังไง สมัยนี้เขาสนใจที่ยอด Social Engagement กันเป็นหลักแล้ว ถ้าวงสามารถสร้าง Engagement ให้กับสินค้าได้ เขาไม่สนหรอกว่า Rating ที่องค์กรณ์ต่างๆ จัดให้จะอยู่ที่อันดับเท่าไหร่
ไม่อย่างนั้นวงที่อันดับ Rating ต่ำต้อยอย่าง Babymonster ทำไมถึงมีแต่แบรนด์ใหญ่ๆ อยากเข้ามาร่วมงานด้วยล่ะ
ถ้าวงไม่เป็นที่นิยมในเกาหลีแบบที่องค์กรณ์จัดเรตติ้งบอก ทำไมถึงขายอัลบั้มได้ดีมากๆ ขนาดนี้ และทำไมถึงสามารถไปจัดคอนเสิร์ตที่ KSPO Dome ได้เร็วขนาดนั้น แถมขายบัตรแบบ Sold out ได้ทั้งสองวัน ทั้งๆ ที่เพลงก็ไม่ติดชาร์ตอันดับสูงๆ อะไรมากมาย ทำไมนะ ทำไม