เจาะขุมพลังไฟฟ้า Mercedes-Benz GLC EV รถ SUV ไฟฟ้าสถาปัตยกรรม 800 โวลต์


GLC ถือว่าเป็นหัวใจหลักของ Mercedes-Benz เพราะขายดีที่สุดในกลุ่ม SUV มาหลายปี พอแบรนด์ประกาศว่า “GLC จะมีเวอร์ชันไฟฟ้าล้วน (BEV : battery electric vehicle) นั่นไม่ใช่แค่การเพิ่มรุ่น แต่เป็นการวาง “หมากสำคัญ” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV ของค่ายดาวสามแฉกเลยทีเดียว

สิ่งที่ Mercedes ทำคือเอา DNA ของ GLC เดิม ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความหรู ความนุ่ม และความมั่นใจในการขับ มาผสมกับ เทคโนโลยี EV ใหม่ล่าสุด ที่พัฒนาเองเกือบทั้งหมด จนได้ SUV ไฟฟ้าที่ตั้งเป้าให้เป็น “มาตรฐานใหม่ของรถหรูไฟฟ้า”
แพลตฟอร์มไฟฟ้า + สถาปัตยกรรม 800 ที่ชาร์จเร็วที่สุดในคลาส

The all-new Mercedes-Benz GLC with EQ Technology ใช้โครงสร้าง BEV ล้วน ไม่ใช่การดัดแปลงจากเวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาป จุดเด่นคือ สถาปัตยกรรม 800V เทียบเท่า Porsche Taycan หรือ Hyundai IONIQ 5 ทำให้รองรับการชาร์จเร็ว DC ได้สูงสุด 320 kW (ยังเป็นตัวเลขเบื้องต้น) ซึ่งถือว่าเร็วสุดในคลาส SUV หรู ซึ่งนอกจากจะลดเวลาในการชาร์จแล้ว ยังทำให้ ระบบไฟฟ้าทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าเทคโนโลยี 400V ทั่วไป

แพลตฟอร์มใหม่นี้มีความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 8 เซนติเมตร ทำให้ได้ห้องโดยสารที่ใหญ่ขึ้น การยึดเกาะถนนดีขึ้น
แบตเตอรี่เจเนอเรชันใหม่

Mercedes มีแบตเตอรี่หลายระดับความจุ (multi-variant battery) ให้เลือก โดยรุ่นท็อปใช้ เซลล์ที่มีขั้วบวก (anode) ที่ผสมซิลิคอนออกไซด์เข้ากับกราไฟต์ (Silicon Oxide + Graphite) เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน (Wh/kg) ให้สูงเป็นพิเศษ ข้อดีก็คือทำให้แบตเตอรี่มีน้ำหนักเบาลง ประสิทธิภาพดีกว่า และวิ่งไกลขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดแบต มาพร้อมระบบจัดการความร้อนทำงานคู่กับ Heat Pump อัจฉริยะ ช่วยคงระยะทางวิ่งแม้ใช้งานในสภาพอุณหภูมิติดลบ

Mercedes-Benz เลือกใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion ขนาด 94 kWh สำหรับทุกรุ่นย่อย โดยเปิดตัวด้วยเวอร์ชัน GLC 400 4MATIC ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (Twin-Motor) ให้กำลังรวม 483 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full-Time ระบบเดียวกับที่ใช้ใน S-Class EV อย่าง EQSเทคโนโลยีการชาร์จเป็นแบบ Bidirectional Charging ที่ทำให้รถสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานสำรองให้กับบ้าน (V2H) หรือแม้กระทั่งจ่ายพลังงานกลับเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้า (V2G) ได้

ขุมพลังมอเตอร์คู่ + เกียร์ 2 สปีด

มอเตอร์หลัง พัฒนาโดย Mercedes เอง พร้อม เกียร์ 2 สปีด คล้าย Porsche Taycan ทำให้ประสิทธิภาพสูงทั้งรอบต้นและรอบปลาย

เกียร์ 1 : ให้แรงบิดแบบจัดเต็มตอนออกตัว

เกียร์ 2 : คุมรอบมอเตอร์ให้มีประสิทธิภาพสูงเวลาวิ่งด้วยความเร็วสูง

มอเตอร์หน้า ทำงานเสริมเมื่อระบบตรวจจับการลื่นไถล หรือเมื่อผู้ขับต้องการแรงส่งเพิ่ม (ผ่าน DCU – Disconnect Unit)

Inverter ใช้ SiC (Silicon Carbide) ช่วยลดการสูญเสียไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพระบบขับเคลื่อน
 
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า (4MATIC)

GLC EV มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า (4MATIC) ที่ฉลาดสุด ๆ มี มอเตอร์หน้า + มอเตอร์หลัง ควบคุมแยกอิสระ ตรวจจับการลื่นไถลแล้วกระจายแรงบิดแบบเรียลไทม์ พร้อมระบบ Disconnect Unit (DCU) สามารถตัด-ต่อกำลังของมอเตอร์หน้าได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ เพื่อประหยัดพลังงานโดยไม่เสียสมรรถนะ

เทคโนโลยีจัดการความร้อน – จุดที่ EV ส่วนใหญ่แพ้ แต่ GLC EV เอาอยู่

หนึ่งใน Pain Point ของ EV คือ สมรรถนะและระยะทางวิ่งลดลงมากในอากาศหนาวจัด
Mercedes แก้ไขด้วยการใช้ Heat Pump แบบ multi-source : ใช้ความร้อนจาก (1) มอเตอร์ (2)  แบตเตอรี่ (3) อากาศรอบข้าง ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของฮีตเตอร์ไฟฟ้าแบบเดิม สามารถอุ่นแบตให้ถึงอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนเสียบชาร์จเร็ว ทำให้คงอัตราชาร์จสูง แม้แบตเย็นจัด และผู้โดยสารไม่ต้องเลือกว่าจะ “อุ่นแบตหรืออุ่นห้องโดยสาร” เพราะระบบนี้ทำได้พร้อมกัน

นี่คือเหตุผลที่ Mercedes ส่งรถไปทดสอบ อุณหภูมิติดลบ -25°C ที่สวีเดน เพื่อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีนี้ใช้ได้จริง

ระบบเบรก + รีเจนเจนเนอเรชันเจนใหม่

Mercedes ยกเครื่องใหม่หมด :
รวม ESP + brake booster + master cylinder ไว้ในโมดูลเดียว
ให้ฟีลแป้นเบรกแม่นยำ มั่นใจ ไม่ว่ารถจะเบรกด้วยรีเจนฯ หรือเบรกจริง
จุดเด่นคือ การขับเคลื่อนที่สมูทและต่อเนื่อง ผู้ขับไม่รู้สึกถึงรอยต่อระหว่างรีเจนกับดิสก์เบรก
ถ้าเกิดปัญหา ระบบยังสลับกลับไปใช้ไฮดรอลิก 100% โดยอัตโนมัติ เป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงของแบรนด์

โปรแกรมทดสอบสุดโหด – ไม่ใช่แค่ “วิ่งได้” แต่ต้อง “วิ่งได้แบบ Mercedes”



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่