กรุงเทพฯ ทรุดตัวปีละ 1 ซม. ฝนถล่ม ระบายน้ำติดขัด เสี่ยงจมบาดาล ภายในปี 2573

กรุงเทพฯ ทรุดตัวปีละ 1 ซม. ฝนถล่ม ระบายน้ำติดขัด เสี่ยงจมบาดาล ภายในปี 2573

https://www.facebook.com/share/p/17N6PcKib9/?mibextid=wwXIfr


พายุฝนถาโถมแทบทุกวันตลอดช่วงนี้ ทั้งอิทธิพลจากพายุ “วิภา–คาจิกิ–หนองฟ้า” ทำให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยเผชิญฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง สร้างความกังวลให้กับประชาชนว่าจะซ้ำรอย น้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 หรือไม่ เหตุการณ์ครั้งนั้นคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 800 คน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึงกว่า 1.4 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ มีการศึกษาวิเคราะห์เชิงคาดการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ ซึ่งระบุว่า หากเกิดอุทกภัยขนาดใหญ่ที่มีความถี่ระดับ “คาบ 10 ปี” (หรือเกิดทุก 10 ปี) และไม่มีมาตรการป้องกันหรือปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรม ภายในปี พ.ศ. 2573 กรุงเทพฯอาจเผชิญน้ำท่วมในระดับที่ ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 96% ของเมือง

กรุงเทพที่ลุ่มต่ำ เสี่ยงน้ำท่วม 2573

“ดร.สนธิ คชวัฒน์” นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย เตือนว่า ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี หากไม่มีมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกและจัดการปัญหาน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ ภายในปี 2573 กรุงเทพฯ อาจเผชิญสถานการณ์เลวร้ายที่สุด (worst case scenario) คือน้ำทะเลไหลบ่าเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและลำคลองสายต่าๆ ก่อนทะลักเข้ามายังพื้นที่ชั้นในจนเกือบทั้งเมืองถูกน้ำท่วม ขณะเดียวกันการระบายน้ำออกสู่อ่าวไทยก็จะทำได้ยากยิ่งขึ้น เนื่องจากสภาพน้ำทะเลหนุนและระบบระบายน้ำที่ไม่เพียงพอ

ปัญหาพื้นฐานของกรุงเทพฯ คือภูมิประเทศที่เป็นที่ลุ่มต่ำกว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยราว 1 เมตร โดยเฉพาะพื้นที่ทางตะวันออกของกรุงเทพฯ และบางส่วนของจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทย กำลังทรุดตัวต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 1 เซนติเมตร ผนวกกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 3–5 มิลลิเมตรจากภาวะโลกร้อนและน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงอย่างมหาศาล

“ดร.สนธิ” ระบุด้วยว่า ปริมาณฝนตกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 7% หากอุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในช่วงมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดความชื้นจากมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่ภาคกลางและภาคเหนือ ทำให้บางวันฝนตกหนักเกิน 100 มิลลิเมตรต่อวัน ทั้งที่กรุงเทพฯ รองรับได้เพียง 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังบนถนนและคูคลองรอการระบายทันที

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้นเมื่อพื้นที่แก้มลิงและพื้นที่รองรับน้ำของกรุงเทพฯ หายไปอย่างรวดเร็ว ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จากพื้นที่รับน้ำเดิมกว่า 92,000 ไร่ ปัจจุบันเหลือเพียง 34,000 ไร่ เนื่องจากการถมดินสร้างบ้านจัดสรรและชุมชนใหม่ เช่น พื้นที่เดิมของสนามบินสุวรรณภูมิที่เคยทำหน้าที่เป็นแก้มลิง ก็ถูกพัฒนาเป็นสนามบินขนาดใหญ่ พื้นที่รองรับน้ำจึงลดลงมหาศาลกว่า 58,000 ไร่

"ดร.สนธิ" ระบุว่า การแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ต้องเริ่มจากการจัดการน้ำทั้งระบบในลุ่มเจ้าพระยา โดยไม่ใช่การแยกส่วนให้ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดรับผิดชอบเพียงลำพัง แต่ต้องมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการภาพรวม แนวทางที่ควรพิจารณา อาทิ

-การสร้าง “Water Highway” เชื่อมเส้นทางน้ำจากปทุมธานี–รังสิต–กรุงเทพฯ–สมุทรปราการ สู่ทะเลโดยตรง

- การทำโครงการ “Delta Work” แบบประเทศเนเธอร์แลนด์ ผ่านการก่อสร้างเขื่อน กำแพงกันคลื่น และประตูระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุน พร้อมระบบสูบน้ำลงทะเล

- การพิจารณาย้ายเมืองหลวงในกรณีเลวร้ายที่สุด เช่นที่อินโดนีเซียย้ายจาการ์ตาไปยังเมืองนูซันตารา บนเกาะบอร์เนียว เนื่องจากไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วม ดินทรุด และมลพิษได้

"ดร.สนธิ" ทิ้งท้ายว่า ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ไม่ใช่เรื่องระยะสั้น แต่เป็นวิกฤติที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างเมือง ภาวะโลกร้อน และการใช้ประโยชน์ที่ดิน หากไม่เร่งคิดใหม่และลงมือแก้ไขอย่างเป็นระบบ กรุงเทพฯ อาจเผชิญชะตากรรมซ้ำรอยจาการ์ตาเร็วกว่าที่คาด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่