ผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อออกฉายในปี 2006 ในวันช่วงเวลาที่ผมยังดิ้นรนเดินบนเส้นทางพิสูจน์ความเชื่อเพื่อความฝัน ในวันนั้น หนังนอกกระแสที่เหมือนงานชวนไปถ่ายทำพักร้อนเที่ยวฝรั่งเศสของผู้กำกับตำนาน Ridley Scott ที่แทบไม่เคยมีผลงาน Romantic Comedy ในเครดิต กับนักแสดงอย่าง Russell Crowe ที่ได้ออสการ์ร่วมกันมาจาก The Gladiator (2000) จากความบังเอิญที่ผมได้ชมหนังเรื่องนี้ กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจหลายอย่างในชีวิตจนมาถึงปัจจุบัน
เกือบ 20 ปีผ่านไปจากวันนั้น นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดกับการกลับมาซึมซับและเรียนรู้ว่า จุดที่ผมยืนในวันนี้ ผมจะได้รับอะไรจากหนังเรื่องนี้ต่างไปจากเดิมหรือไม่
พล็อตภาพยนตร์เล่าถึง Trader นักการเงินเพลย์บอยที่หิวเงิน "Max" อาศัยอยู่ในลอนดอน เขาได้รู้ว่าเขาได้รับมรดกจากไร่ไวน์และที่ดินของลุงที่เพิ่งเสียชีวิตและห่างเหินในภาคใต้ของฝรั่งเศส
การได้กลับไปจัดการขายมรดกชิ้นที่เขาไม่ต้องการนี้ เขาก็เริ่มนึกถึงวัยเด็กที่มีความสุขกับลุงของเขา
"Every single one of my memories takes place within 100 steps of this very spot. Good memories? Grand."
"ความทรงจำของฉันทุกความทรงจำเกิดขึ้นภายใน 100 ก้าวรอบจุดนี้ มันไม่ใช่เพียงความทรงจำดีๆ "มันยิ่งใหญ่""
Max ได้พบกับครอบครัวเพื่อนคนงานโรงกลั่นไวน์ชาวฝรั่งเศสของลุง ลูกสาวนอกสมรส(ของลุง?)ชาวอเมริกัน และคนรัก มันเปิดตาให้เขาเห็น จุดประกายความสุขของเขา และทำให้เขาตระหนักว่าชีวิตมีอะไรมากกว่าการทำงานและเงินทอง มันปลุกความเป็นมนุษย์ของเขาขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญกว่านั้น เขาเข้าสู่จุดที่ต้องเลือกครั้งสำคัญ ทั้งเรื่องการปกป้อง "ชาโตว์" ไร่ไวน์ของลุงเขา และการขึ้นสู่จุดสูงสุดของงานสายการเงินตัวเอง
20 ปีที่แล้ว ผมซึ่งก็เป็นนักลงทุนคนหนึ่งเช่นกัน เพิ่งผ่านโลกมาในระดับหนึ่ง ที่ไม่ต้องการใช้ชีวิตเพียงสร้างจำนวนตัวเลขบนหน้าจอเพิ่มขึ้นไปวัน ๆ การได้ชมหนังเรื่องนี้ทำให้ได้กลับมามองตัวเองว่า "ถ้าเป็นเราจะเลือกอะไร?" "อะไรคือความสำเร็จหรือความหมายที่แท้จริงของชีวิต?" นอกจากการจุดประกายคำถามเหล่านี้ หนังเรื่องนี้ก็แทรกซึมไปด้วย อารมณ์ขันที่ชาญฉลาด, คำสอนทรงคุณค่า, ความน่ารักแง่งามที่แทรกซึมอยู่ทุกฉาก (โดยเฉพาะทุกครั้งที่ Marion Cotillard ปรากฎตัวบนจอ) ทุกองค์ประกอบของหนังเล็ก ๆ เรื่องนี้ทำให้เราลืมไปเลยว่าเป็นงานของ Ridley Scott ที่ทำหนัง Hard Sci-fi และ Epic ในตำนานมาหลายเรื่อง
การได้กลับมาดูอีกครั้งในวัยนี้ ที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางชีวิตและการเงินในระดับหนึ่ง แต่ก็ทำให้มีเรื่องต้องตัดสินใจถึงเส้นทางบางสิ่งไม่ต่างจากตัวเอกในหนัง ผมก็พบว่า "สาร" ที่ได้รับจาก A Good Year ในวันนี้ คือคำตอบว่าผมเป็นใคร และตัดสินใจไปเพื่อสิ่งใดที่ทำให้เราเป็นตัวตนมาตลอด
มีฉากหนึ่งที่โดดเด่นในช่วงท้ายของภาพยนตร์ หลังจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น Max ได้รับข้อเสนอจากเจ้านายใหญ่ของเขา คือ จะลาออกด้วยค่าชดเชยมหาศาล หรือกลายเป็นหุ้นส่วนของบริษัทตลอดชีวิต
เมื่อพูดคุยกับเลขาส่วนตัวผู้รู้ใจของเขา ซึ่งแนะนำให้คว้าโอกาสทองนี้ไว้ "Sir Nigel (เจ้านายของ Max) ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนจนกระทั่งเขาอายุ 53 ปี ตอนนี้ดูเขาสิ"
Max ตอบกลับ "ใช่ ดูเขาสิ"
ในวันนี้ผมเข้าใจถ่องแท้ถึงความหมายของคำว่า "ดูเขาสิ" Sir Nigel ที่ทำงานการเงินมาทั้งชีวิตไม่ต่างจาก Max จนได้เป็นหุ้นส่วนบริษัท มีเงินมากกว่าที่เขาจะใช้, ซื้องานศิลปะและภาพวาดที่มีราคาแพงซึ่งเขาไม่เคยได้ดูของจริงที่เก็บอยู่ในเซฟ, มีชีวิตแต่ไม่ได้ใช้ชีวิต
นี่คือบทเรียนที่ทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงในวันที่ฝึกงานตอนปีสาม
ผมเห็นรุ่นพี่คณะตัวเองที่ดูแลผม ทำงานมาสิบปีเพื่อย้ายโต๊ะจากหน้าห้องไปสู่หลังห้องห่างไม่เกินสิบเมตร
ผมเข้าสู่โลกการลงทุน เห็นนักลงทุนที่ใช้ชีวิตอยู่กับทางของตนจมอยู่กับการสร้างความสำเร็จผ่านตัวเลขที่เติบโตไปเรื่อย ๆ จนบางคนตาย บางคนก็ทำเช่นนี้วนเวียนไปจนแก่
ผมมาเห็นโลกจากการบิน เห็นพี่กัปตันบางคน มีปัญหาสุขภาพไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ บางคนต้องเสียช่วงเวลาสำคัญในชีวิตไปเพราะหน้าที่จากการบินอยู่ต่างประเทศ
ซึ่งเป็นบทเรียนที่ดีเกี่ยวกับอาชีพ: หากคุณต้องการทราบว่าอนาคตของคุณจะเป็นอย่างไร ลองดูชีวิตของเจ้านายของคุณตอนนี้ ว่าคือสิ่งที่คุณต้องการเป็นในอนาคตหรือเปล่า?
สิ่งที่ Max เรียนรู้ คือสิ่งเดียวกันกับทุกทางเลือกในชีวิตผมที่เป็นมา ผมไม่คิดทำงานประจำจากรุ่นพี่คนนั้น ผมไม่จมอยู่เพียงโลกการลงทุนเพราะตัวอย่างจากคนที่มัวเมากับตัวเลขหน้าจอไปทั้งชีวิต และผมอาจจะไม่ได้ใช้เวลากับโลกการบินนานไปจนแก่หรือเกษียณ เพราะผมอยากใช้เวลาและกำลังที่เหลือ ไปทำและใช้ชีวิตที่เหมาะกับตัวเอง
"This place just doesn’t suit my life."
"No, Max, it is your life that doesn’t suit this place."
"ที่นี่ไม่เหมาะกับชีวิตผมเลย" Max ชวนนางเองให้กลับไปใช้ชีวิตในเมืองกับเขา
"ไม่หรอก แม็กซ์ ชีวิตคุณต่างหากที่ไม่เหมาะกับที่นี่" นางเอกตอบ
ผมดีใจที่ได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง เงิน-อาชีพ-งาน และความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันเป็นการเตือนให้รู้ว่าเมื่อไรที่เราควรหยุด อยู่กับปัจจุบัน เพลิดเพลินกับความสุขที่เรียบง่ายของชีวิต นั่นเป็นบทเรียนสำคัญของผมในการดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง
ฉากที่ Max เข้าไปให้คำตอบกับนายของเขาว่าจะเลือกทางไหน รับเงินแล้วออกจากเกม หรือเป็นหุ้นส่วนสู่จุดสูงสุดของอาชีพ เขาถามเจ้านายเขาที่แขวนโชว์รูป Copy ของ van Gogh แต่เก็บรูปจริงไว้ในเซฟใจความว่า
แล้วคุณมีเวลาได้ดูรูปจริง ๆ ตอนไหน? ลงไปในเซฟชั้นใต้ดินตอนตีสอง นั่งมองมันอยู่คนเดียวเหรอ?
นี่คือใจความสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้รับในการกลับมาดูในวัยนี้
ขอปิดท้ายด้วยคําพูดจากลุงของ Max
"Once you find something good Max, you have to take care of it. You have to let it grow."
"เมื่อหลานเจอสิ่งที่ดีแล้ว แม็กซ์ หลานต้องดูแลมันให้ดี หลานต้องปล่อยให้มันเติบโต"
ขอบคุณที่โลกนี้มีภาพยนตร์
10/10
A Good Year (2006): เมื่อเราเจอสิ่งที่ดี
เกือบ 20 ปีผ่านไปจากวันนั้น นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดกับการกลับมาซึมซับและเรียนรู้ว่า จุดที่ผมยืนในวันนี้ ผมจะได้รับอะไรจากหนังเรื่องนี้ต่างไปจากเดิมหรือไม่
พล็อตภาพยนตร์เล่าถึง Trader นักการเงินเพลย์บอยที่หิวเงิน "Max" อาศัยอยู่ในลอนดอน เขาได้รู้ว่าเขาได้รับมรดกจากไร่ไวน์และที่ดินของลุงที่เพิ่งเสียชีวิตและห่างเหินในภาคใต้ของฝรั่งเศส
การได้กลับไปจัดการขายมรดกชิ้นที่เขาไม่ต้องการนี้ เขาก็เริ่มนึกถึงวัยเด็กที่มีความสุขกับลุงของเขา
"Every single one of my memories takes place within 100 steps of this very spot. Good memories? Grand."
"ความทรงจำของฉันทุกความทรงจำเกิดขึ้นภายใน 100 ก้าวรอบจุดนี้ มันไม่ใช่เพียงความทรงจำดีๆ "มันยิ่งใหญ่""
Max ได้พบกับครอบครัวเพื่อนคนงานโรงกลั่นไวน์ชาวฝรั่งเศสของลุง ลูกสาวนอกสมรส(ของลุง?)ชาวอเมริกัน และคนรัก มันเปิดตาให้เขาเห็น จุดประกายความสุขของเขา และทำให้เขาตระหนักว่าชีวิตมีอะไรมากกว่าการทำงานและเงินทอง มันปลุกความเป็นมนุษย์ของเขาขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญกว่านั้น เขาเข้าสู่จุดที่ต้องเลือกครั้งสำคัญ ทั้งเรื่องการปกป้อง "ชาโตว์" ไร่ไวน์ของลุงเขา และการขึ้นสู่จุดสูงสุดของงานสายการเงินตัวเอง
20 ปีที่แล้ว ผมซึ่งก็เป็นนักลงทุนคนหนึ่งเช่นกัน เพิ่งผ่านโลกมาในระดับหนึ่ง ที่ไม่ต้องการใช้ชีวิตเพียงสร้างจำนวนตัวเลขบนหน้าจอเพิ่มขึ้นไปวัน ๆ การได้ชมหนังเรื่องนี้ทำให้ได้กลับมามองตัวเองว่า "ถ้าเป็นเราจะเลือกอะไร?" "อะไรคือความสำเร็จหรือความหมายที่แท้จริงของชีวิต?" นอกจากการจุดประกายคำถามเหล่านี้ หนังเรื่องนี้ก็แทรกซึมไปด้วย อารมณ์ขันที่ชาญฉลาด, คำสอนทรงคุณค่า, ความน่ารักแง่งามที่แทรกซึมอยู่ทุกฉาก (โดยเฉพาะทุกครั้งที่ Marion Cotillard ปรากฎตัวบนจอ) ทุกองค์ประกอบของหนังเล็ก ๆ เรื่องนี้ทำให้เราลืมไปเลยว่าเป็นงานของ Ridley Scott ที่ทำหนัง Hard Sci-fi และ Epic ในตำนานมาหลายเรื่อง
การได้กลับมาดูอีกครั้งในวัยนี้ ที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางชีวิตและการเงินในระดับหนึ่ง แต่ก็ทำให้มีเรื่องต้องตัดสินใจถึงเส้นทางบางสิ่งไม่ต่างจากตัวเอกในหนัง ผมก็พบว่า "สาร" ที่ได้รับจาก A Good Year ในวันนี้ คือคำตอบว่าผมเป็นใคร และตัดสินใจไปเพื่อสิ่งใดที่ทำให้เราเป็นตัวตนมาตลอด
มีฉากหนึ่งที่โดดเด่นในช่วงท้ายของภาพยนตร์ หลังจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น Max ได้รับข้อเสนอจากเจ้านายใหญ่ของเขา คือ จะลาออกด้วยค่าชดเชยมหาศาล หรือกลายเป็นหุ้นส่วนของบริษัทตลอดชีวิต
เมื่อพูดคุยกับเลขาส่วนตัวผู้รู้ใจของเขา ซึ่งแนะนำให้คว้าโอกาสทองนี้ไว้ "Sir Nigel (เจ้านายของ Max) ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนจนกระทั่งเขาอายุ 53 ปี ตอนนี้ดูเขาสิ"
Max ตอบกลับ "ใช่ ดูเขาสิ"
ในวันนี้ผมเข้าใจถ่องแท้ถึงความหมายของคำว่า "ดูเขาสิ" Sir Nigel ที่ทำงานการเงินมาทั้งชีวิตไม่ต่างจาก Max จนได้เป็นหุ้นส่วนบริษัท มีเงินมากกว่าที่เขาจะใช้, ซื้องานศิลปะและภาพวาดที่มีราคาแพงซึ่งเขาไม่เคยได้ดูของจริงที่เก็บอยู่ในเซฟ, มีชีวิตแต่ไม่ได้ใช้ชีวิต
นี่คือบทเรียนที่ทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงในวันที่ฝึกงานตอนปีสาม
ผมเห็นรุ่นพี่คณะตัวเองที่ดูแลผม ทำงานมาสิบปีเพื่อย้ายโต๊ะจากหน้าห้องไปสู่หลังห้องห่างไม่เกินสิบเมตร
ผมเข้าสู่โลกการลงทุน เห็นนักลงทุนที่ใช้ชีวิตอยู่กับทางของตนจมอยู่กับการสร้างความสำเร็จผ่านตัวเลขที่เติบโตไปเรื่อย ๆ จนบางคนตาย บางคนก็ทำเช่นนี้วนเวียนไปจนแก่
ผมมาเห็นโลกจากการบิน เห็นพี่กัปตันบางคน มีปัญหาสุขภาพไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ บางคนต้องเสียช่วงเวลาสำคัญในชีวิตไปเพราะหน้าที่จากการบินอยู่ต่างประเทศ
ซึ่งเป็นบทเรียนที่ดีเกี่ยวกับอาชีพ: หากคุณต้องการทราบว่าอนาคตของคุณจะเป็นอย่างไร ลองดูชีวิตของเจ้านายของคุณตอนนี้ ว่าคือสิ่งที่คุณต้องการเป็นในอนาคตหรือเปล่า?
สิ่งที่ Max เรียนรู้ คือสิ่งเดียวกันกับทุกทางเลือกในชีวิตผมที่เป็นมา ผมไม่คิดทำงานประจำจากรุ่นพี่คนนั้น ผมไม่จมอยู่เพียงโลกการลงทุนเพราะตัวอย่างจากคนที่มัวเมากับตัวเลขหน้าจอไปทั้งชีวิต และผมอาจจะไม่ได้ใช้เวลากับโลกการบินนานไปจนแก่หรือเกษียณ เพราะผมอยากใช้เวลาและกำลังที่เหลือ ไปทำและใช้ชีวิตที่เหมาะกับตัวเอง
"This place just doesn’t suit my life."
"No, Max, it is your life that doesn’t suit this place."
"ที่นี่ไม่เหมาะกับชีวิตผมเลย" Max ชวนนางเองให้กลับไปใช้ชีวิตในเมืองกับเขา
"ไม่หรอก แม็กซ์ ชีวิตคุณต่างหากที่ไม่เหมาะกับที่นี่" นางเอกตอบ
ผมดีใจที่ได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง เงิน-อาชีพ-งาน และความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันเป็นการเตือนให้รู้ว่าเมื่อไรที่เราควรหยุด อยู่กับปัจจุบัน เพลิดเพลินกับความสุขที่เรียบง่ายของชีวิต นั่นเป็นบทเรียนสำคัญของผมในการดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง
ฉากที่ Max เข้าไปให้คำตอบกับนายของเขาว่าจะเลือกทางไหน รับเงินแล้วออกจากเกม หรือเป็นหุ้นส่วนสู่จุดสูงสุดของอาชีพ เขาถามเจ้านายเขาที่แขวนโชว์รูป Copy ของ van Gogh แต่เก็บรูปจริงไว้ในเซฟใจความว่า
แล้วคุณมีเวลาได้ดูรูปจริง ๆ ตอนไหน? ลงไปในเซฟชั้นใต้ดินตอนตีสอง นั่งมองมันอยู่คนเดียวเหรอ?
นี่คือใจความสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้รับในการกลับมาดูในวัยนี้
ขอปิดท้ายด้วยคําพูดจากลุงของ Max
"Once you find something good Max, you have to take care of it. You have to let it grow."
"เมื่อหลานเจอสิ่งที่ดีแล้ว แม็กซ์ หลานต้องดูแลมันให้ดี หลานต้องปล่อยให้มันเติบโต"
ขอบคุณที่โลกนี้มีภาพยนตร์
10/10