ปราสาทศีขรภูมิ ... อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์


วันก่อนเห็นมีคนถ่ายคลิปที่ปราสาทแห่งนี้
จำได้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะประทับใจหน้าบันที่สวยมาก แต่จำชื่อปราสาทไม่ได้ จึงถือโอกาสไปค้นมาเล่า
จากตัวจังหวัดสุรินทร์ไปศรีษะเกษผ่านอำเภอศีขรภูมิ ถิ่นกาละแมขึ้นชื่อ
ณ ตำบลระแงง เป็นที่ตั้งของปราสาทศีขรภูมิ จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าปราสาทระแงง
ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านหน้าปราสาทมีบาราย ที่มีชื่อว่าสระสี่เหลี่ยม


ชาวอินเดียได้สร้างปราสาทเพื่อประดิษฐานรูปเคารพ เรียกว่า เทวาลัย
เป็นอาคารที่มีหลังคาซ้อนชั้นขึ้นไปหลายชั้น แต่ละชั้นประดับอาคารจำลอง ทางอินเดียภาคเหนือ เรียกว่า ทรงศิขร อ่านว่า สิ-ขะ-ระ
ปราสามศีขรภูมิ เป็นปรางค์ 5 องค์ก่อด้วยอิฐและหินทราย ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมฐานเดียวกัน


บริเวณปราสาทมีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบ มีทางเข้าสองทางคือ ตะวันออก และตะวันตก


จัดแสดงบางชิ้นส่วนที่ไม่ได้ประกอบคืนตัวปราสาท


บัวยอดปราสาท ลายกลีบบัว


ฐานเสากรอบประตู ลายดอกประจำยาม กนกผักกูด กลีบบัว จุดวงกลม


รูปมกรคายนาค
ปรางค์ประธาน
ซุ้มหน้าบันเป็นมกรคายนาค 5 เศียร ... หางเกี่ยวกันเป็นซุ้มแก้ว
หน้าบันมีลวดลายที่สวยงาม

เป็นหน้าบันเล่าเรื่องเป็นศิลปะที่ตรงกับสมัยปราสาทนครวัด ราวพุทธศตวรรษที่ 17

ภาพประธานเป็น พระศิวนาฏราช บนแท่นเหนือหงส์ 3 ตัว หมายถึงพระศิวะอยู่บนเขาไกรลาส
เชิงเขาไกรลาส มีทะเลสาบทะเลสาบมานัสสะ ที่เชื่อกันว่า คือ สระอโนดาต ในป่าหิมพานต์ ที่เชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของหงส์ ... บรรทัดนี้เราตีความเอง
การเต้นรำของพระศิวะแบบที่ปลายเท้ายังแตะที่พื้นแบบนี้ จะบันดาลให้เกิดความสงบสุขและความอุดมสมบูรณ์



ถัดลงไปเป็นหน้ากาล อยู่ในตำแหน่งด้านล่างของทับหลัง - ตรงศิลปะสมัยบาปวน
เล่าว่า
มีพญายักษ์ชื่อชลันธร ได้รับพรจากพระศิวะว่าไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะได้
จึงลำพอง ระรานไปสามโลก และให้พระราหูไปท้าสู้พระศิวะเพื่อได้นางปารพตี พระชายาของพระศิวะมาเป็นภรรยาของตน
พระศิวะก็พิโรธมากจน ดวงตาที่สามที่อยู่ระหว่างคิ้วเปิดออก มียักษ์หน้าคล้ายสิงห์โตตาถลน กระโดดออกจากดวงตา จะไปจับพระราหูกิน
พระราหูตกใจกลัวรีบขอขมา และขอให้พระศิวะช่วย พระศิวะจึงทรงห้ามไม่ให้ยักษ์ หรือ กาล ทำร้ายและให้ไว้ชีวิตพระราหู
กาล ซึ่งหิวโหยจึงกัดกินตัวเองจนเหลือแต่เพียงใบหน้าและแขน
พระศิวะเห็นก็คำนึงว่า ความโกรธ ... ของพระศิวะ ... เป็นสิ่งน่ากลัวที่ทำลายทุกสิ่งแม้กระทั่งตัวของมันเอง
จึงให้ กาล หยุดการกิน และ แต่งตั้งหน้ากาลให้อยู่เฝ้าที่ประตูวิมาน ให้นามใหม่ว่า เกียรติมุข หมายถึง หน้าอันมีเกียรติ
เชื่อว่า
การสร้างหน้ากาลหรือหน้าเกียรติมุขไว้เหนือประตูจะคุ้มครองไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาได้

มือของหน้ากาลหรือเกียรติมุขนี้ จับสิงห์ที่กำลังชูท่อนมาลัย
ที่ท่อนมาลัยนี้ มีเสี้ยวแบ่งให้ท่อนพวงมาลัยขาดออกจากกัน - ตรงศิลปะสมัยคลัง
ปลายท่อนมาลัยม้วนขึ้นเป็นมกรที่มีบุคคลขี่หลัง
ตรงกลางของพวงมาลัยมี
พระนางทุรคา(ภรรยาพระศิวะ) ถือคฑาหัวกระโหลก
พระนารายณ์ สี่กร ร่วมบรรเลงดนตรี - เครื่องดนตรีอะไรยังคิดไม่ออก
พระพรหมสี่หน้า ... เกิดมาจากสะดือพระนารายณ์ ... นารายณ์บรรทมสินธุ์ - ตีฉิ่ง
พระพระคเนศ ร่วมบรรเลงดนตรี - เครื่องดนตรีอะไรยังคิดไม่ออก
เพราะพระศิวะเสด็จไปบำเพ็ญสมาธิเป็นเวลานาน พระปารวตีเหงาจึงทรงเสกเด็กขึ้นมาเพื่อเป็นพระโอรส และ เพื่อน
พระศิวะเสด็จกลับตอนนางพระปารวตีทำธุระด้านใน ก็ทรงถูกเด็กหนุ่มห้ามไม่ให้เข้าบ้าน จึงเกิดต่อสู้กันจนเด็กหนุ่มถูกตรีศูลตัดศีรษะหายไป
พระปารวตีทรงได้ยินเสียงการสู้รบดังกึกก้องไปทั่วจักรวาล ก็ออกมาดู เห็นพระโอรสถูกตัดศีรษะก็เสียใจ
พระศิวะจึงจะชุบชีวิตขึ้นใหม่ซึ่งต้องทำก่อนอาทิตย์ขึ้น แต่หาศรีษะไม่พบ
จึงทรงโยนตรีศูลอาวุธของพระองค์ออกไปหาศีรษะสิ่งที่มีชีวิตแรกที่พบ ได้ศีรษะช้างมาต่อให้และชุบชีวิตให้ใหม่
ขนานนามว่า "พระพิฆเนศ" แปลว่าเทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรค
และประทานพรว่าในการประกอบพิธีการใดๆ จะต้องทำพิธีบูชาพระพิฆเนศ เพื่อความสำเร็จของพิธีนั้น


เหนือท่อนพวงมาลัยที่ถูกตัดขาดจากกันด้านซ้าย
เป็นภาพบุคคลถือคันศรเป็นอาวุธ โดยมีหมูป่าอยู่เหนือบุคคลทั้งสอง
เป็นเรื่อง เป็นปางหนึ่งของพระศิวะที่เรียกว่า กิราตาชุนนะมูรติ หรือ อรชุนวิวาหะ
เล่าว่า
เมื่ออรชุนได้ต่อสู้กับพระอินทร์ พระอินทร์พอใจในความกล้าหาญของอรชุนมาก
จึงจะมอบอาวุธวิเศษทั้งหมดให้ แต่อรชุนต้องได้ปาศุปัตอาวุธวิเศษของพระศิวะก่อน
อรชุนจึงออกบำเพ็ญตบะบูชาพระศิวะ ณ นครอิทรขีลหลายปีจนพระศิวะพอพระทัย
พระศิวะจึงจำแลงเป็นพรานป่า
พอดีอสูรหมูป่าเข้าจะทำร้ายอนชุน พรานป่าร้องห้ามมิให้อรชุนยิงหมูป่าตัวนั้น เพราะตนเห็นก่อน แต่อรชุนไม่เชื่อ
ทั้งคู่จึงเล็งศรและยิงใส่หมูป่าตัวนั้นพร้อมกัน
แล้วจึงเกิดการต่อสู้ระหว่างอรชุนกับพรานเพื่อแย่งหมูป่าตัวนั้น
อรชุนสู้ไม่ได้จึงเกิดความสงสัย และนึกขึ้นว่าคงเป็นพระศิวะจำแลงกายลงมาแน่
จึงวางอาวุธแล้วก้มลงทำความเคารพ พระศิวะจึงประทานอาวุธนาน ปาศุปัต ให้แก่ อรชุน


รูปด้านขวา เป็นภาพบุคคลต่อสู้กัน ด้านบนเป็นสิงห์ที่มีหน้าเป็นคนไม่รู้ว่าเล่าเรื่องอะไร


ซุ้มแก้วเป็นมกรคายนาค 5 เศียร หางกระวัตเป็นซุ้มวงกลม 3 วง


เสาประดับเสากรอบประตูเป็นเสาแปดเหลี่ยม
มีลายวงแหวนที่เท่ากันทุกวง
ระหว่างวงแหวนประดับด้วยลายฟันปลาขนาดเล็ก

เสากรอบประตู ด้านหน้า
สลักลวดลายก้านต่อดอก  - ศิลปะคลัง
ด้านล่างเป็นภาพอัปสรา ถือดอกบัว มีนกแก้วเกาะที่ไหล่
ทรงศิราภรณ์ยอดเดียว ประดับด้วยดอกไม้กลมขนาดใหญ่
สวมกระบังหน้า ทรงกุณฑล กรองศอ พาหุรัด ทองกร และทองพระบาท
ผ้านุ่งชักชายผ้ายาวห้อยลงมา ตามรูปแบบที่นิยมในสมัยนครวัดตอนต้น

อัป=น้ำ สรา=เคลื่อนไหว คือ ผู้เคลื่อนไหวในน้ำ
เป็นน้ำ=เกษียรสมุทร
คือนางที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร ที่ไม่มีใครนำไปเป็นคู่ จึงมีหน้าที่เอ็นเทอร์เทนเหล่าเทพ


เสากรอบประตูด้านนอก
ด้านทิศใต้เป็นนนทิเกศวร
ด้านทิศเหนือเป็นมหากาล
ทำหน้าที่เป็นทวารบาล

ทวารบาลนันทิเกศวร เฝ้าอยู่ด้านขวาของประตูปราสาทเสมอ
หน้าตายิ้มแย้ม ผ้านุ่งมีชายสมอเรือ มีรัดเกล้ารูปกรวยมงกุฏสามเหลี่ยมเทวดา
มีกระบังหน้า ทรงกุณฑล พาหุรัด และทองกร นุ่งผ้าสั้นเหนือเข่าแบบนครวัด
หัตถ์ทั้งสองประสานกันที่ด้านหน้ากุมปลายกระบอง
เวลาพระศิวะเสด็จไปไหนจะแปลงกายเป็นโคสีขาว - เทพพาหนะพระศิวะ

ทวารบาลมหากาล เฝ้าอยู่ด้านซ้ายของประตูปราสาทเสมอ
หน้าตาดุร้าย แยกเขี้ยว เบิกตาโพลง ผมสยาย หน้าคล้ายอสูร
รัดเกล้ารูปกรวยมงกุฏสี่เหลี่ยม

ฐานเสากรอบประตู ลายดอกประจำยาม กนกผักกูด กลีบบัว วงกลมมีสี่กลีบ


มุมปราสาทย่อมุม



ถูกปรับเปลี่ยนเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา
ดังจารึกที่กรอบประตู ประตูทางเข้าปราสาทองค์เล็กทางด้านทิศตะวันตก ที่ยอดเป็นฐานปัทม์ยกสูง มีลวดบัวคู่ที่ท้องไม้ ซ้อนชั้น ยกเก็ดที่มุม
ศิลปะล้านช้าง ว่า
กลุ่มพระเถระผู้ใหญ่และท้าวพระยาในท้องถิ่น ได้บูรณะปราสาทหินบ้านระแงง โดยเข้าใจว่าเป็นพระมหาธาตุของศาสนาพุทธ

ร่องรอยอารยธรรมนี้รวบรวมไว้ที่ สารบัญความรู้ งู ๆ ปลา ๆ เรื่องศิลปะ
ที่นี่ค่ะ https://pantip.com/topic/41177109

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่