KEY POINTS
สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กว่า 300 กรณี โดยปัญหาหลักคือบริการหลังการขาย การรออะไหล่นาน การจดทะเบียนล่าช้า และปัญหาการเคลมประกัน
สภาผู้บริโภคเร่งประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยด่วน
มีการเตรียมเสนอมาตรการต่อคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เช่น กำหนดมาตรฐานบริการหลังการขายและสต็อกอะไหล่ จัดตั้งศูนย์ร้องเรียนเฉพาะทาง และให้ข้อมูลที่โปร่งใสแก่ผู้ซื้อ
จากกรณีที่มีผู้บริโภคจำนวนมากได้รับผลกระทบจากปัญหารถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) ที่บกพร่องด้านคุณภาพ และบริการหลังการขายมากมาย เช่น ขาดอุปกรณ์การชาร์จแบตที่บ้าน รอเคลมอะไหล่ ไม่ได้รับป้ายขาว เป็นต้น สภาผู้บริโภคได้มีการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพและบริการหลังการขายรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจัดทำนโยบายหรือมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายที่เป็นรูปธรรมให้กับผู้บริโภคที่เลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและตัวแทนจำหน่ายโดยเร่งด่วน รวมถึงการจัดทำข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดนโยบายระยะยาวของประเทศในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าในระยะต่อไป
โดยมีผู้แทนกรมสรรพสามิต ผู้แทนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ผู้แทนจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้าร่วม
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ใช้บริการรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เนต้า (NETA) ที่มีปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องอะไหล่และศูนย์บริการที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน จึงต้องการหาแนวทางจัดทำข้อเสนอนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงรวบรวมอุปสรรค ปัญหาและข้อเสนอนำไปเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) นำไปกำหนดนโยบายหรือมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายที่เป็นรูปธรรมให้กับผู้บริโภคและตัวแทนจำหน่ายโดยเร่งด่วน
ซึ่งสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนผู้ใช้บริการรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมารวมกว่า 300 กรณี ซึ่งมี 3 ประเด็นหลักได้แก่ ปัญหาด้านบริการหลังการขายและอะไหล่ มีทั้งปัญหาชุดชาร์จแบตเตอรี่ (CDU) ชำรุดบกพร่อง การเผชิญกับปัญหาอะไหล่ที่รอเคลม 74 รายการ ทำให้ผู้เสียหายหลายรายยังไม่ได้รับการเคลม ดีลเลอร์ไม่ส่งข้อมูลเคลมเข้าระบบ ทำให้ยอดเคลมต่ำกว่าความเป็นจริง ข้อมูลลูกค้าบางส่วนไม่สามารถเข้าถึงได้ และต้องขอจากผู้ใช้งานโดยตรง และผู้บริโภคแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการใช้รถทางเลือก เช่น แท็กซี่ หรือ เช่า
อีกทั้งผู้บริโภคยังระบุว่าไม่ได้รับอุปกรณ์ชาร์จไฟบ้าน (Wall Box) ครบถ้วน รวมถึงระบบไฟบ้านไม่รองรับอุปกรณ์การติดตั้ง Wall Box เกิดปัญหา และค่าใช้จ่ายภายหลังหลายหมื่นบาท รวมถึงหลายกรณีไม่สามารถเคลมประกันที่ทำกับตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) ได้ โดยเฉพาะรถที่ได้รับประกันโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากโปรแกรมส่งเสริมการขาย ทำให้บริษัทประกันปฏิเสธความคุ้มครอง และต้องสำรองจ่ายค่าซ่อมเอง จึงไม่สามารถติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ได้อย่างราบรื่น
ส่วนปัญหาด้านการขายและการจดทะเบียน มีทั้งเกิดความล่าช้า ไม่สามารถจดทะเบียนป้ายขาวได้ตามกำหนด การไม่ได้รับเงินมัดจำป้ายแดงคืน หลังจากคืนป้ายแดงแล้ว และบริษัทมีความขัดข้องทางการเงิน
สำหรับการร้องเรียนกรณี รถยนต์เนต้า (Neta) มีผู้เสียหาย 3 กลุ่ม ได้แก่ การไม่ได้รับป้ายขาว 26 กรณี รวมถึงการได้รับป้ายขาวแต่ยังไม่ได้รับเงินมัดจำป้ายแดงคืนจำนวน 33 กรณี การไม่ได้รับอะไหล่ตามสัญญาประกัน/ปิดศูนย์บริการ ต้องซ่อมแซมเอง ขาดความเชื่อมั่นจำนวน 233 กรณี
ทางด้านแนวทางจัดทำข้อเสนอนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคกรณี ปัญหาความชำรุดบกพร่องและบริการหลังการขายยานยนต์ไฟฟ้า ในเบื้องต้นมีทั้ง
1. กำหนดหลักเกณฑ์การประกันคุณภาพและบริการหลังการขายให้ชัดเจนก่อนการอนุมัติเงินอุดหนุน เช่น กำหนดให้ต้องมีศูนย์บริการขั้นต่ำครอบคลุมพื้นที่หลักภายใน 1 ปี หรือมีอะไหล่สำรองขั้นต่ำในไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี
2. จัดตั้งศูนย์ร้องเรียนพิเศษเกี่ยวกับ EV ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้สามารถติดตามและแก้ปัญหาเฉพาะด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และ 3. ให้ข้อมูลผู้บริโภคอย่างโปร่งใส ทั้งเรื่องประวัติของแบรนด์ ความสามารถด้านบริการ และต้นทุนดูแลรักษาระยะยาว เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง โดยจะทำข้อเสนอแนะนโยบายเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
นายปารเมศ ทองเจริญ ผู้แทนจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า กรณีปัญหาที่ สคบ. ดำเนินการเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ามี 4 ประเด็นหลักได้แก่ ไม่ได้รับการซ่อมตามการรับประกัน (Warranty) สำหรับรถที่เสียที่เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาการซ่อมล่าช้า ต่อมามีปัญหาเรื่อง รถเสียตามสัญญาประกันภัยและมีการซ่อมล่าช้า รวมถึงการไม่ได้รับอุปกรณ์หรือบริการการชาร์จ (Ball Charge) และความไม่มั่นใจในกรณีที่บริษัทดีลเลอร์อาจปิดตัวลง
ขณะที่กรณีของ เนต้า สคบ. ได้เร่งแก้ไขในเรื่องการจดทะเบียนและรับป้ายรถยนต์ได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว รวมถึงการคืนเงิน 3,000 บาทสำหรับป้ายแดงที่ยังไม่ได้รับคืนก็ประสานงานจนครบหมดแล้ว ส่วนความไม่มั่นใจในกรณีที่บริษัทปิดตัวลงนั้น สคบ. ได้ดำเนินการประสานงานกับ เนต้า ในเรื่องการซ่อมตามการรับประกัน (Warranty) สำหรับผู้ร้องเรียนไปแล้ว
สำหรับในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการหารือร่วมกับ เนต้า แจ้งว่ามีการนำเข้าอะไหล่ตามแผนเดิมเดือนละ 50 กล่อง แต่จากสถานการณ์ในประเทศจีนที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ เนต้า จึงอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้การดำเนินการทางการเงินติดขัดตามกฎหมาย มีผลต่อระบบการเคลมการซ่อมตามการรับประกันของเนต้า ที่ค่อนข้างมีปัญหา และปัจจุบัน สคบ. กำลังเตรียมหารือกับ เนต้า ในวันที่ 5 กันยายน 2568 เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานต่อไป ซึ่งการดำเนินงานต้องพิจารณาต่อผู้ใช้งานรถยนต์เนต้าในประเทศไทยที่มีอยู่ 25,000 คันด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากที่สุด
ด้านข้อกังวลในเรื่องสัญญาประกันภัยนั้น หน่วยงานหลักที่ดูแลคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แต่จากการที่ สคบ. ได้เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคสภาผู้แทนราษฎร ได้มีสมาคมประกันภัยชี้แจงว่า รถยนต์เนต้า ในปีหน้าจะมีการรับประกันภัยในชั้น 3 เนื่องจากไม่สามารถจัดหาอะไหล่ได้ ส่งผลให้ไม่สามารถให้บริการได้ตามสัญญารับประกัน ส่วนคนที่มีสัญญาอยู่เดิมยังคุ้มครองอยู่และไม่ได้ยกเลิกแต่อย่างใด
‘EV’ วิกฤตยอดร้องเรียนพุ่ง สภาผู้บริโภคเร่งฟื้นความเชื่อมั่น