ที่มา -
https://www.kaowonni.com/2025/09/5.html
บทความ โดย..
อาทิตย์ อโณทัย
การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสียในโครงการ “
เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” หรือ “
นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ที่
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้ว่าจ้างให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) เป็นผู้จัดเวทีในการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ปี การจัดเวทีในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามแผนการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) หรือ SEA ซึ่งมีบทสรุปหรือปิดเวทีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา
ขั้นตอนต่อไปเป็นหน้าที่ของ สศช.ที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของ สศช. ก่อนที่จะนำเสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
โครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเป็นโครงการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มาจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในสมัยที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ที่มีมติให้ดำเนินการในโครงการดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้พ้นจากความยากจน การว่างงาน และการตกงานของประชาชนและผู้ที่จบการศึกษาแต่ไม่มีงานทำ
โครงการนี้ ศอ.บต.ได้มีกระบวนการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งเปิดเวทีฟังความคิดเห็นมาแล้วครึ่งทาง แต่ถูกเอ็นจีโอและประชาชนซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพประมงชายฝั่งในพื้นที่ไม่เกิน 200 คนคัดค้าน ตั้งแต่บุกเข้าล้มเวทีการรับฟังความคิดเห็น และการชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา กางมุ้งนอนหน้าศาลากลาง
และสุดท้ายคือการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ตัดสินใจให้ ศอ.บต.ยุติบทบาทในการดำเนินการกับโครงการนี้ และมอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการโดยการนับหนึ่งใหม่ นั่นคือการทำ SEA เพื่อการรับฟังความคิดเห็น โดยว่าจ้างให้ มอ.หาดใหญ่เป็นผู้ดำเนินการ
โดยข้อเท็จจริง โครงการเมืองต้นแบบฯ หรือนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เป็นโครงการที่ดำเนินการโดย “เอกชน” นั่นคือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ในวงเงินการลงทุนชั้นต้นที่ 600,000 ล้านบาท
เป็นโครงการที่เป็นการทำอุตสาหกรรมสีเขียว เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากเป็นอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ยังมีโครงการผลิตไฟฟ้าและท่าเรือน้ำลึกเพื่อเป็นประตู (Gateway) แห่งที่ 3 ของประเทศไทยเพื่อการส่งออก ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มทุนที่เข้ามาลงทุนในภาคใต้ตอนล่าง ที่จะได้ไม่ต้องขนตู้คอนเทนเนอร์โดยรถบรรทุกและรถไฟไปยังท่าเรือปีนัง ประเทศมาเลเซีย
และโครงการนี้ ประชาชนในอำเภอจะนะและใกล้เคียง รวมทั้งนักลงทุนในจังหวัดสงขลาและใกล้เคียง เห็นด้วยกับการที่จะมีนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและท่าเรือน้ำลึกเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะประชาชนในอำเภอจะนะ ที่ออกมาสนับสนุนโครงการดังกล่าวมีมากกว่าประชาชนที่คัดค้านอย่างเทียบกันไม่ได้
เพียงแต่รัฐบาลในขณะนั้นให้ความสำคัญกับเสียงของผู้คัดค้านที่มีเพียงหยิบมือ และละเลยต่อเสียงสนับสนุนที่มีอย่างท่วมท้น จนทำให้โครงการดังกล่าวต้องล่าช้ามาถึง 4-5 ปี ซึ่งนับเป็นการเสียโอกาสของประชาชนส่วนใหญ่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเสียโอกาสในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยทิ้งให้จ่อมจมอยู่กับการด้อยพัฒนาและกับปัญหาความรุนแรงในการแบ่งแยกดินแดน
และแม้ว่า สภาพัฒน์ฯ จะได้มีบทสรุปในการจัดทำแผน SEA เสร็จสิ้นแล้วก็จริง แต่จากรายละเอียดและข้อเท็จจริงในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็ยังมีข้อบกพร่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่จะใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องในการกำหนดพื้นที่หรือกำหนดแผนพัฒนา
แม้ว่าจะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น 40 กว่าครั้ง มีผู้ร่วมเวที 4,000 กว่าคน แต่ผู้ที่ถูกเชิญไปแสดงความคิดเห็นล้วนเป็นคนหน้าเดิมที่นำโดยเอ็นจีโอ และผู้ที่นำเสนอความคิดเห็นก็เป็นเอ็นจีโอและเป็นตัวแทนที่จัดตั้งโดยเอ็นจีโอ ซึ่งมีธงในการแสดงความคิดเห็นโดยการไม่ต้องการให้มีนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา มาตั้งแต่ต้น
ส่วนกลุ่มผู้ที่สนับสนุนไม่ได้มีส่วนในการแสดงความคิดเห็น เพราะเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไม่สามารถสะท้อนถึงข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการ ไม่เหมือนกับชาวบ้านที่คัดค้านที่ถูกฝึก (train) จากเอ็นจีโอจนนำเสนอแบบนกแก้วนกขุนทองที่มองโลกสวย ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสังคมโลก
ที่สำคัญ ในรายงานฉบับดังกล่าวของสภาพัฒน์ฯ ก็ไม่มีรายละเอียดของผู้ที่สนับสนุนที่เป็นนักลงทุน ทั้งในเรื่องของท่าเรือน้ำลึกและในเรื่องของโลจิสติกส์ที่เป็นความต้องการให้เกิดขึ้นในจังหวัดสงขลา
ดังนั้น การจัดทำ SEA ของสภาพัฒน์ฯ โดยการว่าจ้าง มอ.หาดใหญ่ในครั้งนี้ จึงเป็นการสูญเงินงบประมาณและเสียเวลาโดยไร้ประโยชน์ เพราะเป็นแผน SEA ที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสังคมปัจจุบันของพื้นที่ ซึ่งไม่สอดคล้องอย่างไรนั้น ผู้เขียนจะได้นำเสนอในรายละเอียดในครั้งหน้า เพื่อให้เห็นถึงความบกพร่องที่อาจจะโดยสุจริตหรือโดยตั้งใจของ สศช. ที่ไม่เห็นด้วยและไม่ต้องการให้มีการพัฒนาในพื้นที่ของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่อาจจะมีนัยแอบแฝงอยู่
สรุปคือ แผน SEA ที่สภาพัฒน์ฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและจะนำเสนอ ครม.ให้มีมติในการใช้เป็นแผนแม่บทในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้า ครม.มีมติเห็นชอบ ก็จะกลายเป็นกับดักที่ขัดขวางการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามความต้องการของเอ็นจีโอ ซึ่งไม่ใช่ความเห็นของประชาชนในพื้นที่ และหาก SEA หรือแผนแม่บทฉบับนี้มีผลทางกฎหมาย ก็เท่ากับว่าคนจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องจ่อมจมอยู่ในวิถีชีวิตแบบเดิมๆ อีก 5 ปี โดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของพื้นที่และโครงสร้างของการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน คนว่างงาน คนตกงาน ก็คงทำไม่ได้
ดังนั้น ก่อนที่ ครม. จะมีการลงมติเพื่อรับแผนแม่บทในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จัดทำโดยสภาพัฒน์ฯ ก็ขอให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง ที่สำคัญ สส.ทั้ง 9 เขตของสงขลาที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในแผนแม่บทของการพัฒนาฉบับนี้แม้แต่น้อย
.......................................
ความล้มเหลวของการจัดทำแผนแม่บทของ สศช. อาจจะทำให้การพัฒนาภาคใต้ตอนล่างล่าช้าไปอีก 5 ปี
ที่มา - https://www.kaowonni.com/2025/09/5.html
บทความ โดย.. อาทิตย์ อโณทัย
การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสียในโครงการ “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” หรือ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้ว่าจ้างให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) เป็นผู้จัดเวทีในการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ปี การจัดเวทีในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามแผนการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) หรือ SEA ซึ่งมีบทสรุปหรือปิดเวทีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา
โครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเป็นโครงการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มาจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในสมัยที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ที่มีมติให้ดำเนินการในโครงการดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้พ้นจากความยากจน การว่างงาน และการตกงานของประชาชนและผู้ที่จบการศึกษาแต่ไม่มีงานทำ
โครงการนี้ ศอ.บต.ได้มีกระบวนการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งเปิดเวทีฟังความคิดเห็นมาแล้วครึ่งทาง แต่ถูกเอ็นจีโอและประชาชนซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพประมงชายฝั่งในพื้นที่ไม่เกิน 200 คนคัดค้าน ตั้งแต่บุกเข้าล้มเวทีการรับฟังความคิดเห็น และการชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา กางมุ้งนอนหน้าศาลากลาง
โดยข้อเท็จจริง โครงการเมืองต้นแบบฯ หรือนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เป็นโครงการที่ดำเนินการโดย “เอกชน” นั่นคือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ในวงเงินการลงทุนชั้นต้นที่ 600,000 ล้านบาท
และแม้ว่า สภาพัฒน์ฯ จะได้มีบทสรุปในการจัดทำแผน SEA เสร็จสิ้นแล้วก็จริง แต่จากรายละเอียดและข้อเท็จจริงในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็ยังมีข้อบกพร่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่จะใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องในการกำหนดพื้นที่หรือกำหนดแผนพัฒนา
แม้ว่าจะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น 40 กว่าครั้ง มีผู้ร่วมเวที 4,000 กว่าคน แต่ผู้ที่ถูกเชิญไปแสดงความคิดเห็นล้วนเป็นคนหน้าเดิมที่นำโดยเอ็นจีโอ และผู้ที่นำเสนอความคิดเห็นก็เป็นเอ็นจีโอและเป็นตัวแทนที่จัดตั้งโดยเอ็นจีโอ ซึ่งมีธงในการแสดงความคิดเห็นโดยการไม่ต้องการให้มีนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา มาตั้งแต่ต้น
ส่วนกลุ่มผู้ที่สนับสนุนไม่ได้มีส่วนในการแสดงความคิดเห็น เพราะเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไม่สามารถสะท้อนถึงข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการ ไม่เหมือนกับชาวบ้านที่คัดค้านที่ถูกฝึก (train) จากเอ็นจีโอจนนำเสนอแบบนกแก้วนกขุนทองที่มองโลกสวย ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสังคมโลก
ที่สำคัญ ในรายงานฉบับดังกล่าวของสภาพัฒน์ฯ ก็ไม่มีรายละเอียดของผู้ที่สนับสนุนที่เป็นนักลงทุน ทั้งในเรื่องของท่าเรือน้ำลึกและในเรื่องของโลจิสติกส์ที่เป็นความต้องการให้เกิดขึ้นในจังหวัดสงขลา
ดังนั้น การจัดทำ SEA ของสภาพัฒน์ฯ โดยการว่าจ้าง มอ.หาดใหญ่ในครั้งนี้ จึงเป็นการสูญเงินงบประมาณและเสียเวลาโดยไร้ประโยชน์ เพราะเป็นแผน SEA ที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสังคมปัจจุบันของพื้นที่ ซึ่งไม่สอดคล้องอย่างไรนั้น ผู้เขียนจะได้นำเสนอในรายละเอียดในครั้งหน้า เพื่อให้เห็นถึงความบกพร่องที่อาจจะโดยสุจริตหรือโดยตั้งใจของ สศช. ที่ไม่เห็นด้วยและไม่ต้องการให้มีการพัฒนาในพื้นที่ของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่อาจจะมีนัยแอบแฝงอยู่
สรุปคือ แผน SEA ที่สภาพัฒน์ฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและจะนำเสนอ ครม.ให้มีมติในการใช้เป็นแผนแม่บทในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้า ครม.มีมติเห็นชอบ ก็จะกลายเป็นกับดักที่ขัดขวางการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามความต้องการของเอ็นจีโอ ซึ่งไม่ใช่ความเห็นของประชาชนในพื้นที่ และหาก SEA หรือแผนแม่บทฉบับนี้มีผลทางกฎหมาย ก็เท่ากับว่าคนจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องจ่อมจมอยู่ในวิถีชีวิตแบบเดิมๆ อีก 5 ปี โดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของพื้นที่และโครงสร้างของการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน คนว่างงาน คนตกงาน ก็คงทำไม่ได้
ดังนั้น ก่อนที่ ครม. จะมีการลงมติเพื่อรับแผนแม่บทในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จัดทำโดยสภาพัฒน์ฯ ก็ขอให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง ที่สำคัญ สส.ทั้ง 9 เขตของสงขลาที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในแผนแม่บทของการพัฒนาฉบับนี้แม้แต่น้อย