วิโรจน์ ยกสมการคณิตศาสตร์ เงื่อนไขตัดสินใจโหวตนายก รับเสี่ยงถูกหักหลังทั้งคู่
.
.
วิโรจน์ ยกสมการคณิตศาสตร์ เงื่อนไขตัดสินใจโหวตนายก รับเสี่ยงถูกหักหลังทั้งคู่
.
เมื่อวันที่ 5 กันยายน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า
.
ทางสองแพร่ง เลือกแดง หรือเลือกน้ำเงิน มาเปิดใจให้ฟังว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ถูกหักหลังทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องเสี่ยงเลือก
.
หลายคนเคยได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกไปว่า ไม่ว่าเลือกทางไหนก็ถูกด่า และเสี่ยงที่จะถูกหักหลังทั้งนั้น วันนี้ผมเลยอยากจะมาอธิบายความลำบากใจในการเลือกให้ทุกท่านฟัง ว่ามันมีปมที่ต้องตัดสินใจอะไรบ้าง
.
ก่อนที่จะมาฟังการวิเคราะห์บนเวทีถึงการเลือกฝ่ายแดงหรือฝ่ายน้ำเงิน ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องอธิบายถึงตัวเลขทางคณิตศาสตร์เสียก่อน
ตอนนี้จำนวนเสียง ฝ่ายแดงรวมได้ 210 ฝ่ายน้ำเงินรวมได้ 140 และฝ่ายส้มมีอยู่ 142 การจัดตั้งรัฐบาลนั้น ลำพังแค่เสียงข้างมากไม่พอ ต้องได้เสียงเกินครึ่งด้วย ซึ่งก็คือ 247 เสียง
.
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะบอก คือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ นั่นก็คือ “การยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน” และ “การทำประชามติเพื่อเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” เราเชื่อว่าสองข้อนี้จะทำให้ประเทศมีรัฐบาลที่มีความชอบธรรม และมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะขับเคลื่อนนโยบาย นำพาประเทศไปข้างหน้า แก้ไขทั้งปัญหาความมั่นคงและปัญหาเศรษฐกิจที่ตรงกับความต้องการของประชาชน โดยที่กลไกต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญถูกยึดโยงกับประชาชนอย่างแนบแน่น
.
ทีนี้เรามาวิเคราะห์กันดูครับว่าฝ่ายแดงหรือฝ่ายน้ำเงิน มีปมที่ลำบากในการตัดสินใจเลือกอย่างไร ผมย้ำนะครับว่าผมคิดอยู่เสมอว่าทั้งฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินต่างหักหลังด้วยกันทั้งคู่
.
ถ้าเลือกฝ่ายน้ำเงิน
.
มีคนบอกว่า หากเลือกฝ่ายน้ำเงินไป ฝ่ายน้ำเงินก็คงไม่ทำตามสัญญาอยู่ดี เดี๋ยวก็จะมีคนไปร้องเรื่องคุณสมบัติของนายกฯ สีน้ำเงิน แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็อาจจะรับวินิจฉัย โดยไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ทีนี้พอครบ 4 เดือน ก็จะมีเหตุให้ไม่สามารถทูลเกล้าฯ ยุบสภาได้อีก เนื่องจากหากศาลมีคำวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ การยุบสภาก็จะกลายเป็นปัญหาทางกฎหมาย ส่วนการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ หากในวันที่ 10 กันยายน 68 ศาลดันมีคำวินิจฉัยที่กำกวม ก็อาจจะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลอีก ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายสีน้ำเงินโดยภาพรวมเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญปี 60 สังเกตได้จากจำนวน ส.ส. ที่เพิ่มขึ้น และถ้าเชื่อในเรื่อง ส.ว. สายสีน้ำเงิน นี่ก็เป็นหลักฐานอีกข้อหนึ่งที่บ่งชี้ว่ารัฐธรรมนูญปี 60 เป็นกติกาที่ฝ่ายน้ำเงินได้เปรียบ สรุปว่า พ้น 4 เดือน ยุบสภาก็อาจจะไม่ได้ การทำประชามติก็ไม่เกิด
ทีนี้ก็ต้องมาคิดถึงกลไกในการควบคุมหากถูกหักหลัง ซึ่งก็คือ “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” เพราะฝ่ายน้ำเงินเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ถ้าฝ่ายส้มรวมกับฝ่ายแดง ก็จะมีเสียงรวม 210+142 = 352 เสียง เพียงแค่แถลงข่าวว่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายน้ำเงินก็น่าจะต้องยุบสภาแล้ว หรือหากยุบสภาไม่ได้ อย่างไรก็ไม่รอดอยู่ดี
.
แต่ก็มีคนบอกว่า ด้วยสภาวะปัจจุบันที่เถ้าแก่ของฝ่ายแดงมีพิรุธ ไม่อยู่ในประเทศ บอกว่าจะไปสิงคโปร์ แต่อยู่ดีๆ ก็ไปโผล่ที่ดูไบ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าจะกลับไทยหรือไม่ สภาพของฝ่ายแดงที่เป็นอยู่ก็เหมือนกับแพแตก ฝ่ายน้ำเงินจึงสามารถดูดเสียงมายกมือให้ตัวเองได้ แต่หากวิเคราะห์จริงๆ ถ้าเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี และงูเห่าแต่ละตัวมีมูลค่าตัวละ 20 ล้านบาทจริง การที่จะดึงเสียงให้ได้เกินครึ่งหนึ่งหรือ 247 เสียง ฝ่ายน้ำเงินต้องดูดงูให้ได้ถึง 107 ตัว ซึ่งต้องใช้เงินถึง 2,140 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินมหาศาล ฝ่ายสีน้ำเงินสู้เอาเงินก้อนนี้ไปเตรียมเลือกตั้งใหม่ดีกว่า จะเอามาพยุงรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำทำไม แต่ถ้าหน้ามืดยอมจ่ายจริงๆ ฝ่ายสีน้ำเงินก็มีต้นทุนสูงที่ต้องจ่ายอยู่ดี
.
ต่อให้ 44 ส.ส. ฝ่ายส้มถูกตัดสิทธิทางการเมือง ทำให้ฝ่ายส้มมีเสียงลดลง 25 เสียง เหลือ 117 เสียง เสียงในสภาจะเหลือ 492-25 = 467 เสียง ซึ่งเกินครึ่งหนึ่งอยู่ที่ 234 เสียง ต้องซื้องูอีก 94 ตัว ใช้เงิน 1,880 ล้านบาท ซึ่งก็ยังเป็นเงินก้อนมหาศาลอยู่ดี
.
จริงๆ เรื่อง 44 ส.ส. ผมยืนยันได้เลยว่าผมไม่เคยไปเจรจาใดๆ เพราะถ้าฝ่ายน้ำเงินมีเส้นช่วยได้จริง ทำไมน้องชายเจ้าของปราสาทสายฟ้าถึงไม่รอดล่ะ แต่เรื่องนี้ยังไงก็ถูกด่าทั้งขึ้นทั้งร่อง ถ้าเกิดรอด ป.ป.ช. สั่งไม่ฟ้อง ก็ถูกด่าว่า “นี่ดีลมาใช่ไหม” แต่ถ้าเกิดโดน ก็จะถูกด่าว่า “โง่ ไปถูกเขาหลอกเอง”
.
ในกรณีที่ฝ่ายแดงชิงเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากหลักฐานการกระทำความผิดของฝ่ายน้ำเงินชัดเจน ฝ่ายส้มก็พร้อมโหวตไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมกลัวคือ ฝ่ายแดงจัดฉากอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วล้มมวย ไม่ยอมโหวตไม่ไว้วางใจนายกฯ สีน้ำเงิน ซึ่งในกรณีนี้ฝ่ายส้มจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้อีกแล้วในสมัยประชุมเดียวกัน ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง ก็คงเป็นเรื่องน่าเหนื่อยใจมาก แต่ฝ่ายแดงเองก็คงต้องรับภาระในการอธิบายกับสังคมเช่นกัน
.
ถ้าเลือกฝ่ายแดง
.
ฝ่ายแดงบอกว่า ถ้าเลือกนายกฯ จากฝ่ายแดง จะยุบสภาทันที จริงๆ แล้วเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะหากเลือกฝ่ายน้ำเงินแล้วปล่อยให้เวลาทอดยาวออกไปถึง 4 เดือน อะไรก็ไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้น
.
มีคนบอกว่า ฝ่ายแดงคงไม่กล้าตระบัดสัตย์อีกแล้ว เพราะถ้าโกหกอีกครั้งก็คงไม่เหลือที่ยืนในสังคม แต่โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ คนที่เคยโกหกแล้วก็สามารถโกหกได้อีก และจริงๆ ข้อเรียกร้องให้ยุบสภา เราเรียกร้องมาตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 68 หนึ่งวันหลังจากมีคลิปเสียงฮุนเซน แต่ฝ่ายแดงก็ไม่เคยคิดจะยุบสภา ปล่อยให้สถานการณ์จวนตัว
.
ข้อเสนอที่จะยุบสภาทันที มาหลังจากที่ฝ่ายส้มและฝ่ายน้ำเงินลงนามใน MOA กันเรียบร้อยแล้ว จึงถูกมองว่าเป็นเพียงเกมการเมืองเพื่อเพิ่มต้นทุนให้กับฝ่ายส้มเท่านั้น และถ้าฝ่ายส้มหันมาเลือกฝ่ายแดง ก็จะเป็นการตระบัดสัตย์ฉีก MOA ทันที
.
ที่ผ่านมา ตัวแทนนายกฯ จากฝ่ายแดงก็พูดเสมอว่า ไม่เคยได้รับการติดต่อจากฝ่ายแดงเลย และล่าสุดก็ยังพูดด้วยว่า ตนเองเป็นเพียงแค่ “ตุ๊กตาตัวหนึ่ง” ยิ่งไม่มั่นใจเลยว่าเมื่อได้รับอำนาจไปแล้ว ตุ๊กตาตัวนี้จะยุบสภาจริงหรือไม่ เพราะคนที่จะตัดสินใจคือ “เจ้าของตุ๊กตา”
.
ซึ่งถ้าตุ๊กตาไม่ยอมยุบสภา ก็จะไม่มีกลไกใดๆ จัดการได้เลย เพราะถ้าเสียงฝ่ายส้ม 142 เสียงไปเลือกฝ่ายแดง จะทำให้ฝ่ายแดงมีเสียงรวม 210+142 = 352 เสียงทันที ทีนี้เสียงที่หนีไปอยู่ฝ่ายน้ำเงิน ก็จะทยอยกลับมาอยู่ฝ่ายแดงอีกครั้ง ทำให้ฝ่ายแดงมีเสียงข้างมากจาก 210 กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก 253 เสียง ถ้าตุ๊กตาไม่ยอมยุบสภา ต่อให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าเชื่อว่าการซื้องูเห่าต้องใช้เงินตัวละ 20 ล้านบาท ฝ่ายแดงก็ไม่ต้องจ่ายแม้แต่บาทเดียว นอกจากถูกด่าแล้ว ฝ่ายแดงไม่มีต้นทุนอะไรต้องเสีย ยิ่งถ้า 44 ส.ส. ฝ่ายส้มถูกตัดสิทธิ จนเสียงหายไป 25 เสียง ฝ่ายแดงก็ยิ่งสบาย เพราะรัฐบาลจะมี 253 เสียง ในขณะที่ฝ่ายค้านเหลือเพียง 214 เสียงเท่านั้น
.
สุดท้าย ถ้าเลือกฝ่ายแดงก็เสี่ยงอย่างมากที่จะถูกหลอกให้ตระบัดสัตย์ฉีก MOA และถูกตุ๊กตาหลอกไม่ยอมยุบสภา ด้วยเหตุผลร้อยแปดอยู่ดี
นี่ล่ะครับ ความยากในการตัดสินใจที่ผมอยากเล่าให้ทุกคนฟัง จะไม่เลือกก็ไม่ได้ เพราะจะไม่มีฝ่ายไหนได้เสียงเกิน 247 เสียง รัฐบาลก็จะไม่มี ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ปัญหาปากท้อง เช่น การตรวจซัลเฟอร์ที่ลำไยส่งออก ก็ไม่มีใครตัดสินใจ ต้องรอนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้ แตกต่างจากตอนเลือกพิธาเป็นนายกฯ ที่เรารู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนจนกว่า ส.ว. ชุดเก่าจะพ้นวาระ ซึ่งการไม่เลือกฝ่ายไหน สุดท้ายเสียงก็จะทยอยไหลกลับมาอยู่ที่ฝ่ายแดงที่ครองเสียงข้างมากอยู่ดี และฝ่ายแดงก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ดังนั้นการไม่เลือกฝ่ายใด ก็เท่ากับเลือกฝ่ายแดงซึ่งไม่มีพันธะสัญญาใดๆ ที่ต้องยุบสภา
สถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเลือกฝ่ายน้ำเงินแล้วถูกหักหลัง ก็คงถูกด่าว่าไปดีลมาแล้วโดนหลอก ทั้งรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้แก้ ยุบสภาก็ไม่ได้ยุบ แต่ถ้าเลือกฝ่ายแดงก็อาจยุบสภาไปแล้ว
.
แต่ถ้าเลือกฝ่ายแดงแล้วถูกหักหลัง ก็คงถูกด่าว่าโง่ซ้ำซาก ถูกหลอกแล้วหลอกเล่า ไม่ประสีประสาทางการเมือง
.
สำหรับผม ผมคิดว่าไม่ว่าทางไหนก็มีโอกาสสูงมากที่จะถูกหักหลัง ผมยืนยันได้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่มีการเจรจาใดๆ ที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเลย การตัดสินใจจำเป็นต้องคิดว่า หากเลือกทางไหน เราพอจะมีกลไกควบคุมป้องกันการหักหลังได้บ้าง และถ้าถูกหักหลัง คนที่หักหลังก็ต้องมีต้นทุนที่ต้องจ่าย และสมมติว่าโชคดีไม่ถูกหักหลัง ประโยชน์ก็จะเกิดกับประชาชนมากที่สุด
.
ก็เท่านี้ล่ะครับ
.
.
.
รักชนก เข้าใจโหวตเตอร์ ยันตัดสินใจ คิดถึงผลประโยชน์ประเทศ พร้อมรับคำวิจารณ์
https://www.matichon.co.th/politics/news_5355247
.
รักชนก เข้าใจโหวตเตอร์ ยันตัดสินใจ คิดถึงผลประโยชน์ประเทศ พร้อมรับคำวิจารณ์
.
เมื่อวันที่ 5 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน
โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก หลังประชาชนยืนถือป้ายไม่เห็นด้วยบริเวณหหน้าที่ทำการพรรคประชาชน ถึงผลการตัดสินใจว่าทางพรรคประชาชนจะโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นั่งนายกฯคนที่ 32
.
โดยมีรายละเอียดว่า
.
ขอบคุณ คุณ Methus มากนะคะ ที่แวะมาที่พรรค ถ้าวันนี้พวกเรา ส.ส. พรรคประชาชนอยู่แถวนั้น คงได้แวะไปเจอกัน ไอซ์รู้ว่า ถ้าไม่รักไม่ห่วงไม่หวังในพวกเราจริงๆคงไม่ทำแบบนี้ ไอซ์และเพื่อนๆ ส.ส. เข้าใจความรู้สึกของคุณ Methus และอีกหลายๆคน เรารู้ว่าการตัดสินใจของพวกเราแม้จะเลือกเพื่อทำให้ประเทศไม่ไปสู่ทางตัน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วย ทั้งอาจทำให้โหวตเตอร์และประชาชนบางส่วนไม่สบายใจ ในฐานะนักการเมือง
JJNY : วิโรจน์ยกสมการ│รักชนก เข้าใจโหวตเตอร์│มาครงลั่นพันธมิตรยุโรป“พร้อมส่งทัพไปยูเครน”หลังดีลหย่าศึก│ไทยยังมีฝนตกหนัก
มีคนบอกว่า หากเลือกฝ่ายน้ำเงินไป ฝ่ายน้ำเงินก็คงไม่ทำตามสัญญาอยู่ดี เดี๋ยวก็จะมีคนไปร้องเรื่องคุณสมบัติของนายกฯ สีน้ำเงิน แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็อาจจะรับวินิจฉัย โดยไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ทีนี้พอครบ 4 เดือน ก็จะมีเหตุให้ไม่สามารถทูลเกล้าฯ ยุบสภาได้อีก เนื่องจากหากศาลมีคำวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ การยุบสภาก็จะกลายเป็นปัญหาทางกฎหมาย ส่วนการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ หากในวันที่ 10 กันยายน 68 ศาลดันมีคำวินิจฉัยที่กำกวม ก็อาจจะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลอีก ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายสีน้ำเงินโดยภาพรวมเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญปี 60 สังเกตได้จากจำนวน ส.ส. ที่เพิ่มขึ้น และถ้าเชื่อในเรื่อง ส.ว. สายสีน้ำเงิน นี่ก็เป็นหลักฐานอีกข้อหนึ่งที่บ่งชี้ว่ารัฐธรรมนูญปี 60 เป็นกติกาที่ฝ่ายน้ำเงินได้เปรียบ สรุปว่า พ้น 4 เดือน ยุบสภาก็อาจจะไม่ได้ การทำประชามติก็ไม่เกิด
ฝ่ายแดงบอกว่า ถ้าเลือกนายกฯ จากฝ่ายแดง จะยุบสภาทันที จริงๆ แล้วเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะหากเลือกฝ่ายน้ำเงินแล้วปล่อยให้เวลาทอดยาวออกไปถึง 4 เดือน อะไรก็ไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้น
.
รักชนก เข้าใจโหวตเตอร์ ยันตัดสินใจ คิดถึงผลประโยชน์ประเทศ พร้อมรับคำวิจารณ์
https://www.matichon.co.th/politics/news_5355247