📜ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งความว่างเปล่าหลังจากคุณพ่อจากไปครบหนึ่งปี ความจริงที่ต้องฝืนก้าวต่อในชีวิต และความคิดที่วนอยู่ในหัว จนอยากถ่ายทอดออกมาให้เบาขึ้น
ถึง “คุณ” ที่กำลังอ่านข้อความนี้ เราอาจไม่เคยเจอกัน แต่ผมมั่นใจว่า คุณกำลังรู้สึกถึงภาระบางอย่างเหมือนกับผม
ถ้าคุณคือ “เดอะแบก” หรือคนกลางที่ต้องยืนระหว่างพ่อแม่ที่แก่ตัวลง กับลูกหลานที่ยังต้องการการดูแล พร้อม ๆ กัน
คุณเป็นคนที่หลายคนฝากความหวังไว้
แต่ไม่มีใครถามสักคำว่า… “คุณไหวไหม?”
รวมถึงกระทั่งตัวคุณเอง
---
แมัจะเรียกว่า "แบก" แต่จริง ๆ มันคือ "บด"
คำว่า เดอะแบก อาจจะสะท้อนภาระที่หนักอยู่บนคอ บ่า และไหล่ แต่ถ้าลองมองเข้าไป คนที่แบก คือ คนที่กำลังถูกบดขยี้ด้วยความรับผิดชอบที่หนักหนา
แบกทำให้เราหนักที่คอบ่าไหล่
แต่ส่งผลถึงใจที่เจ็บจากถูกบดในทุก ๆ วัน
ข้อมูลบอกว่า คนไทยกว่า 14% เป็น "เดอะแบก" แต่ผมเชื่อว่าตัวเลขจริงสูงกว่านั้นเยอะ เพราะข้อมูลนี้น่าจะไม่ได้นับคนที่ไม่มีลูก แต่ต้องดูแลพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่
และสิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ รายได้กว่า 90% ถูกใช้ไปกับค่าใช้จ่ายคนอื่น เหลือไว้ใช้เพื่อตัวเองไม่ถึง 10% เท่านั้น
คำถามที่น่าสนใจ คือ
วันที่คนเหล่านั้นจากไป คุณจะเหลืออะไรไว้ให้ตัวเอง
---
ผมเองก็เคย แบกแล้ว แบกอยู่ แบกต่อ ...
วันที่รู้ว่าคุณพ่อผมป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ผมทิ้งทุกอย่างที่ควรมีในวัย 30 กลับมามีชีวิตที่คิดว่าต้องดูแลครอบครัวให้รอดก่อน ส่วนเรื่องอื่นไว้ทีหลัง
รู้สึกตัวอีกที เวลาก็ผ่านไปเกือบสิบปี...
ถึงวันนี้พ่อไม่อยู่แล้ว และเมื่อมองย้อนกลับไปอาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนน่าภูมิใจ บางคนอาจชื่นชมด้วยคำว่า กตัญญู แต่สิ่งที่ผมรู้มีเพียงแค่
จะทำยังไงไม่ให้ลูกของผมต้องแบกภาระนี้ต่อ ถ้าผมทำทุกอย่างเพื่อคนรอบตัว แต่สุดท้ายแล้วมีอีกคนที่ต้องมาแบกต่อ เราจะพอใจกับชีวิตแบบนี้จริง ๆ เหรอ
แล้วถ้าลูกของผมมีลูก หลานยังจะต้องมาแบกต่ออีกไหม ? แล้วเมื่อไหร่วงจรนี้จะหยุดเสียที
---
วงจรที่ไม่มีวันหยุด
ถ้าเราคิดง่าย ๆ ว่า รุ่นพ่อแม่ไม่มีเงินเก็บ กลายเป็นรุ่นลูกต้องรับผิดชอบ พอรุ่นลูกแบกพ่อแม่จนไม่มีเงินเก็บ รุ่นหลานต้องสืบทอดภาระต่อ
นี่คือมรดกที่ไม่มีใครอยากได้
แต่มันถูกส่งต่อเพราะ “ไม่ได้คุยกันเรื่องเงิน” ให้ชัดเจน
หนึ่งในความจริงที่เจ็บปวด คือ คนที่แบกมักลืมไปว่า “ตัวเองก็ต้องมีเป้าหมายทางการเงินเหมือนกัน” และปัญหาสำคัญก็คือ คนที่แบกมักจะเอาเป้าหมายการเงินของคนอื่นมาเป็นของตัวเองให้หมด
แต่ความเป็นจริงแล้ว เราต้องเข้าใจว่า
ทุกคนต้องรับผิดชอบของตัวเอง
รวมถึงตัวเราด้วยเช่นกัน
---
หยุดแบกได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ลองดูก่อน
จากสิ่งที่ผมเจอมา ผมอยากฝากไว้ 3 ข้อ
1.คุยกันให้ตรง กระชับ ชัดเจน
และใช้เหตุผลปราศจากอารมณ์ (ถ้าทำได้)
เรื่องเงินเป็นเรื่องอ่อนไหว แต่ถ้าไม่พูดคุณจะไม่ไหว
ถ้าคุณพบว่าต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 แต่รายได้มี 30,000 มันชัดเลยว่า “ยังไงก็ไม่พอ” ไม่ต้องไปสร้างหนี้ต่อในวันนี้ เพราะสุดท้ายจะกลายเป็นท้อกว่าเดิม
รู้ตัวเลขที่ต้องใช้ และดูว่าไหวไหม
ถ้าไม่ไหว ใครจะช่วยเราได้บ้าง
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องอ้างว้างและแบกคนเดียว
2.ลด-เท่าที่ทำได้
โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครรับบทร้ายในละคร
ทุกคนในบ้านต้องช่วยคิด ลดสิ่งไม่จำเป็น และใครพอช่วยหารายได้เพิ่มได้ ก็ควรทำ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครคนเดียว
อย่าแบกทุกอย่างด้วยเครื่องหมายของคนดี และไม่ต้องหยิบยื่นบทตัวร้ายให้กับใคร ทั้งหมดต้องอยู่บนพื้นฐานของการจัดการเท่าที่ได้ โดยไม่ต้องหาคนผิด
แต่ถ้าจัดการได้แค่ไหน ก็อย่าลืมว่าได้แค่นั้น
มันไม่ใช่ความผิดของเรา ถ้าเราได้ทำเต็มที่แล้ว
3 . อย่าลืมชีวิตของตัวเอง
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด เราต้องหยุดวงจรนี้ด้วยการสร้าง ความรับผิดชอบทางการเงินส่วนตัว พ่อแม่ต้องยอมรับว่าลูกไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดู เราต้องดูแลและจัดการชีวิตตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
ลูกต้องเข้าใจว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่ดูแลตลอด ดังนั้นการเติบโตและรับผิดชอบตัวเองได้ คือ เครื่องหมายของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่ให้ใครต้องมาลำบากเลี้ยงดูเราไปตลอดทั้งชีวิต
คนที่รับผิดชอบการเงินของตัวเอง ไม่ลำบากคนอื่นไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ถือว่าเป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จแล้ว
เข้าใจสามข้อนี้ให้ดี ทำทุกอย่างให้เต็มที่
ไม่มีองค์ความรู้อะไรที่ช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้
หรือง่ายสำหรับทุกคนในการแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้
เพราะปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
วิธีการจัดการปัญหาของแต่ละคนต่างกันไป
เราทำได้แค่เข้าใจตัวเอง บริบทครอบครัว
และหาทางร่วมที่จะดูแลได้ โดยที่ไม่ต้องทำร้ายใคร
---
ผมอยากบอกคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ว่า
การที่คุณไม่สามารถรับผิดชอบทุกอย่างได้ ไม่ใช่ความผิดของคุณ ตราบใดที่คุณได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว และคุณมั่นใจว่าตัวเองจะไม่เสียใจทีหลัง ในวันที่เราต้องจากกัน
คุณมีสิทธิ์ที่จะพัก หยุด หรือท้อแท้ ไปต่อไม่ไหว คุณไม่จำเป็นต้องเป็นฮีโร่ของทุกคนตลอดเวลา และทุกคนก็ไม่มีสิทธิคาดหวังว่าใครจะมาช่วยปัญหาของเราได้เหมือนกัน
เราต่างเป็นคนธรรมดาที่รับหน้าที่รับผิดชอบตัวเองให้รอด แต่ส่วนที่ทำได้ดีกว่านั้น มากกว่านั้น ถือเป็นกำไรชีวิตที่ส่งต่อให้คนอื่น
เพราะความสำเร็จของ “เดอะแบก” ไม่ใช่การทำให้ทุกคนรอด แต่คือการเป็น “รุ่นสุดท้าย” ที่ต้องแบก และหยุดการส่งมอบมรดกที่ไม่ควร "ตกทอด"
และผมอยากบอกว่า
คุณไม่ได้สู้อยู่คนเดียวเพียงลำพัง
ขอส่งกำลังใจผ่านบทความนี้ครับ
ขอบคุณครับ
Cr FB Thanom Ketem
https://www.facebook.com/share/1CVSnGBw3o/?mibextid=wwXIfr
***อ่านแล้วชอบ จึงนำมาแชร์ค่ะ เป็นกำลังใจให้เดอะแบกทุกๆคน คุณต้องนึกถึงตัวเองบ้าง ตอบแทนตัวเอง ให้รางวัลตัวเองบ้าง ไม่ได้ผิดอะไรค่ะ
🔆มีเพื่อนคนนึง เขาอยากซัอRolex ใส่ แต่เขาเกรงใจคนทางบ้านว่าใช้เงินฟุ่มเฟือย เพราะทางบ้าน ตจว พึ่งพาเพื่อนทุกคน แม้กระทั่ง ค่าเทอมหลาน เราเลยบอกส่า ซื้อไปเถอะ ของแบบนี้ ไม่ได้ซื้อกันบ่อยๆ
ภาพ : Thaipbs
จดหมายถึง ”เดอะแบก“ ทุกคน
ถึง “คุณ” ที่กำลังอ่านข้อความนี้ เราอาจไม่เคยเจอกัน แต่ผมมั่นใจว่า คุณกำลังรู้สึกถึงภาระบางอย่างเหมือนกับผม
ถ้าคุณคือ “เดอะแบก” หรือคนกลางที่ต้องยืนระหว่างพ่อแม่ที่แก่ตัวลง กับลูกหลานที่ยังต้องการการดูแล พร้อม ๆ กัน
คุณเป็นคนที่หลายคนฝากความหวังไว้
แต่ไม่มีใครถามสักคำว่า… “คุณไหวไหม?”
รวมถึงกระทั่งตัวคุณเอง
---
แมัจะเรียกว่า "แบก" แต่จริง ๆ มันคือ "บด"
คำว่า เดอะแบก อาจจะสะท้อนภาระที่หนักอยู่บนคอ บ่า และไหล่ แต่ถ้าลองมองเข้าไป คนที่แบก คือ คนที่กำลังถูกบดขยี้ด้วยความรับผิดชอบที่หนักหนา
แบกทำให้เราหนักที่คอบ่าไหล่
แต่ส่งผลถึงใจที่เจ็บจากถูกบดในทุก ๆ วัน
ข้อมูลบอกว่า คนไทยกว่า 14% เป็น "เดอะแบก" แต่ผมเชื่อว่าตัวเลขจริงสูงกว่านั้นเยอะ เพราะข้อมูลนี้น่าจะไม่ได้นับคนที่ไม่มีลูก แต่ต้องดูแลพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่
และสิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ รายได้กว่า 90% ถูกใช้ไปกับค่าใช้จ่ายคนอื่น เหลือไว้ใช้เพื่อตัวเองไม่ถึง 10% เท่านั้น
คำถามที่น่าสนใจ คือ
วันที่คนเหล่านั้นจากไป คุณจะเหลืออะไรไว้ให้ตัวเอง
---
ผมเองก็เคย แบกแล้ว แบกอยู่ แบกต่อ ...
วันที่รู้ว่าคุณพ่อผมป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ผมทิ้งทุกอย่างที่ควรมีในวัย 30 กลับมามีชีวิตที่คิดว่าต้องดูแลครอบครัวให้รอดก่อน ส่วนเรื่องอื่นไว้ทีหลัง
รู้สึกตัวอีกที เวลาก็ผ่านไปเกือบสิบปี...
ถึงวันนี้พ่อไม่อยู่แล้ว และเมื่อมองย้อนกลับไปอาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนน่าภูมิใจ บางคนอาจชื่นชมด้วยคำว่า กตัญญู แต่สิ่งที่ผมรู้มีเพียงแค่
จะทำยังไงไม่ให้ลูกของผมต้องแบกภาระนี้ต่อ ถ้าผมทำทุกอย่างเพื่อคนรอบตัว แต่สุดท้ายแล้วมีอีกคนที่ต้องมาแบกต่อ เราจะพอใจกับชีวิตแบบนี้จริง ๆ เหรอ
แล้วถ้าลูกของผมมีลูก หลานยังจะต้องมาแบกต่ออีกไหม ? แล้วเมื่อไหร่วงจรนี้จะหยุดเสียที
---
วงจรที่ไม่มีวันหยุด
ถ้าเราคิดง่าย ๆ ว่า รุ่นพ่อแม่ไม่มีเงินเก็บ กลายเป็นรุ่นลูกต้องรับผิดชอบ พอรุ่นลูกแบกพ่อแม่จนไม่มีเงินเก็บ รุ่นหลานต้องสืบทอดภาระต่อ
นี่คือมรดกที่ไม่มีใครอยากได้
แต่มันถูกส่งต่อเพราะ “ไม่ได้คุยกันเรื่องเงิน” ให้ชัดเจน
หนึ่งในความจริงที่เจ็บปวด คือ คนที่แบกมักลืมไปว่า “ตัวเองก็ต้องมีเป้าหมายทางการเงินเหมือนกัน” และปัญหาสำคัญก็คือ คนที่แบกมักจะเอาเป้าหมายการเงินของคนอื่นมาเป็นของตัวเองให้หมด
แต่ความเป็นจริงแล้ว เราต้องเข้าใจว่า
ทุกคนต้องรับผิดชอบของตัวเอง
รวมถึงตัวเราด้วยเช่นกัน
---
หยุดแบกได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ลองดูก่อน
จากสิ่งที่ผมเจอมา ผมอยากฝากไว้ 3 ข้อ
1.คุยกันให้ตรง กระชับ ชัดเจน
และใช้เหตุผลปราศจากอารมณ์ (ถ้าทำได้)
เรื่องเงินเป็นเรื่องอ่อนไหว แต่ถ้าไม่พูดคุณจะไม่ไหว
ถ้าคุณพบว่าต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 แต่รายได้มี 30,000 มันชัดเลยว่า “ยังไงก็ไม่พอ” ไม่ต้องไปสร้างหนี้ต่อในวันนี้ เพราะสุดท้ายจะกลายเป็นท้อกว่าเดิม
รู้ตัวเลขที่ต้องใช้ และดูว่าไหวไหม
ถ้าไม่ไหว ใครจะช่วยเราได้บ้าง
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องอ้างว้างและแบกคนเดียว
2.ลด-เท่าที่ทำได้
โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครรับบทร้ายในละคร
ทุกคนในบ้านต้องช่วยคิด ลดสิ่งไม่จำเป็น และใครพอช่วยหารายได้เพิ่มได้ ก็ควรทำ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครคนเดียว
อย่าแบกทุกอย่างด้วยเครื่องหมายของคนดี และไม่ต้องหยิบยื่นบทตัวร้ายให้กับใคร ทั้งหมดต้องอยู่บนพื้นฐานของการจัดการเท่าที่ได้ โดยไม่ต้องหาคนผิด
แต่ถ้าจัดการได้แค่ไหน ก็อย่าลืมว่าได้แค่นั้น
มันไม่ใช่ความผิดของเรา ถ้าเราได้ทำเต็มที่แล้ว
3 . อย่าลืมชีวิตของตัวเอง
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด เราต้องหยุดวงจรนี้ด้วยการสร้าง ความรับผิดชอบทางการเงินส่วนตัว พ่อแม่ต้องยอมรับว่าลูกไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดู เราต้องดูแลและจัดการชีวิตตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
ลูกต้องเข้าใจว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่ดูแลตลอด ดังนั้นการเติบโตและรับผิดชอบตัวเองได้ คือ เครื่องหมายของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่ให้ใครต้องมาลำบากเลี้ยงดูเราไปตลอดทั้งชีวิต
คนที่รับผิดชอบการเงินของตัวเอง ไม่ลำบากคนอื่นไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ถือว่าเป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จแล้ว
เข้าใจสามข้อนี้ให้ดี ทำทุกอย่างให้เต็มที่
ไม่มีองค์ความรู้อะไรที่ช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้
หรือง่ายสำหรับทุกคนในการแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้
เพราะปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
วิธีการจัดการปัญหาของแต่ละคนต่างกันไป
เราทำได้แค่เข้าใจตัวเอง บริบทครอบครัว
และหาทางร่วมที่จะดูแลได้ โดยที่ไม่ต้องทำร้ายใคร
---
ผมอยากบอกคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ว่า
การที่คุณไม่สามารถรับผิดชอบทุกอย่างได้ ไม่ใช่ความผิดของคุณ ตราบใดที่คุณได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว และคุณมั่นใจว่าตัวเองจะไม่เสียใจทีหลัง ในวันที่เราต้องจากกัน
คุณมีสิทธิ์ที่จะพัก หยุด หรือท้อแท้ ไปต่อไม่ไหว คุณไม่จำเป็นต้องเป็นฮีโร่ของทุกคนตลอดเวลา และทุกคนก็ไม่มีสิทธิคาดหวังว่าใครจะมาช่วยปัญหาของเราได้เหมือนกัน
เราต่างเป็นคนธรรมดาที่รับหน้าที่รับผิดชอบตัวเองให้รอด แต่ส่วนที่ทำได้ดีกว่านั้น มากกว่านั้น ถือเป็นกำไรชีวิตที่ส่งต่อให้คนอื่น
เพราะความสำเร็จของ “เดอะแบก” ไม่ใช่การทำให้ทุกคนรอด แต่คือการเป็น “รุ่นสุดท้าย” ที่ต้องแบก และหยุดการส่งมอบมรดกที่ไม่ควร "ตกทอด"
และผมอยากบอกว่า
คุณไม่ได้สู้อยู่คนเดียวเพียงลำพัง
ขอส่งกำลังใจผ่านบทความนี้ครับ
ขอบคุณครับ
Cr FB Thanom Ketem
https://www.facebook.com/share/1CVSnGBw3o/?mibextid=wwXIfr
***อ่านแล้วชอบ จึงนำมาแชร์ค่ะ เป็นกำลังใจให้เดอะแบกทุกๆคน คุณต้องนึกถึงตัวเองบ้าง ตอบแทนตัวเอง ให้รางวัลตัวเองบ้าง ไม่ได้ผิดอะไรค่ะ
🔆มีเพื่อนคนนึง เขาอยากซัอRolex ใส่ แต่เขาเกรงใจคนทางบ้านว่าใช้เงินฟุ่มเฟือย เพราะทางบ้าน ตจว พึ่งพาเพื่อนทุกคน แม้กระทั่ง ค่าเทอมหลาน เราเลยบอกส่า ซื้อไปเถอะ ของแบบนี้ ไม่ได้ซื้อกันบ่อยๆ
ภาพ : Thaipbs