เฮลซ์บลูบอย ราคาเท่าเดิม แต่ปรับสูตร จากเดิม 1:5 กลายเป็น 1:3

ราคาเท่าเดิม แต่ปรับสูตร! เฮลซ์บลูบอย จากเดิม 1:5 กลายเป็น 1:3
กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ เมื่อผู้บริโภคหลายรายตั้งข้อสังเกตว่าน้ำหวานในตำนานอย่าง “เฮลซ์บลูบอย” ได้มีการปรับเปลี่ยนอัตราส่วนการชงบนฉลาก จากเดิมที่คุ้นเคยกันในอัตราส่วน 1:5 มาเป็น 1:3 หมายความว่า ในการชงให้ได้รสชาติที่ "พอดี" ตามที่ฉลากแนะนำ ผู้บริโภคจะต้องใช้น้ำหวานในปริมาณที่ "มากขึ้น" ต่อน้ำหนึ่งแก้ว
.
ท่ามกลางคำถามว่า นี่คือการลดต้นทุนแบบเนียนๆ หรือเป็นการปรับสูตรเพื่อรองรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่กันแน่?
.
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่แบรนด์เพิ่งประกาศปรับขึ้นราคาไปเมื่อเดือนเมษายน 2568 ราว 5-10% ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาษีความหวานเฟส 4 (มีผลในวันที่ 1 เมษายน 2568 จัดเก็บตามปริมาณน้ำตาลในสินค้า ทำให้สินค้าน้ำหวานขึ้นต้องจ่ายภาษีสูงขึ้น)
.
แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากแบรนด์ แต่คาดการณ์ว่าการปรับสูตรในการผสมครั้งนี้ เป็นผลมาจากการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากภาษีและวัตถุดิบต่างๆ เพื่อให้แบรนด์ยังคงราคาขายที่ 69 บาท (ช่องทางโมเดิร์นเทรด) ได้อย่างเดิม โดยที่ไม่ต้องปรับขึ้นราคา
.
ขณะเดียวกันยังถือเป็นการตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เพื่อการตอบสนองต่อเทรนด์รักสุขภาพที่ผู้บริโภคยุคใหม่นิยมรสชาติที่ไม่หวานจัดจ้านจนเกินไป การแนะนำอัตราส่วน 1:3 อาจเป็น "Sweet Spot" ใหม่ที่แบรนด์มองว่าลงตัวที่สุดสำหรับรสชาติที่คนไทยชื่นชอบในปัจจุบัน
.
สำหรับน้ำหวาน “เฮลซ์บลูบอย” ดำเนินงานภายใต้ บริษัท เฮลซ์เทรดดิ้ง จำกัด (Hale's Blue Boy) โดยผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (2565-2567) พบว่า
.
- ปี 2565 มีรายได้ 3,020,603,726 ล้านบาท กำไร 956,842,493 ล้านบาท
- ปี 2566 มีรายได้ 3,718,053,270 ล้านบาท กำไร 904,119,933 ล้านบาท
- ปี 2567 มีรายได้ 3,550,346,872 ล้านบาท กำไร 767,610,477 ล้านบาท
.
จากตัวเลขจะเห็นได้ชัดว่าแม้รายได้จะเคยพุ่งสูงสุดในปี 2566 แต่กำไรกลับมีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด โดยเฉพาะในปี 2567 ที่กำไรลดลงจากจุดสูงสุดไปเกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูง โดยเฉพาะวัตถุดิบหลักอย่าง "น้ำตาล" ซึ่งมีความผันผวนและปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ขนส่งที่เพิ่มขึ้น
.
ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดเครื่องดื่มที่รุนแรง ไม่ใช่แค่คู่แข่งในกลุ่มน้ำหวานเข้มข้นด้วยกัน แต่ยังรวมถึงเครื่องดื่มพร้อมดื่ม (Ready-to-Drink) และเครื่องดื่มทางเลือกอื่นๆ การเลือกไม่ “ปรับขึ้นราคา” และการทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาฐานลูกค้า ซึ่งเป็นการยอม "เฉือนกำไร" บางส่วนเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้
.
ท้ายที่สุดการปรับเปลี่ยนอัตราส่วนการชงของ "เฮลซ์บลูบอย" ในครั้งนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งในแง่ของกลยุทธ์การตลาด และการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแบรนด์ได้สร้างแรงกระเพื่อมและทำให้ผู้บริโภคต้องหันกลับมาใส่ใจกับรายละเอียดบนฉลากมากขึ้น
.
ที่มา : Brand Buffet

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่