เงินบาทอ่อนค่า จับตา 4 ปัจจัยสำคัญ และ มาตรการ SET ฟื้นเชื่อมั่น-แก้ปมหุ้น IPO ตกต่ำ

เงินบาทอ่อนค่ากลับมาบางส่วนปลายสัปดาห์ กสิกรไทยคาดสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ จับตาสัปดาห์หน้า 4 ปัจจัยสำคัญ ทั้งประเด็นการเมืองในประเทศ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนส.ค. ของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และราคาทองคำในตลาดโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นช่วงแรกจากแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ แต่อ่อนค่ากลับมาบางส่วนท้ายสัปดาห์

เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังเผชิญแรงขายต่อเนื่อง หลังสัญญาณของประธานเฟดที่ Jackson Hole หนุนความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC เดือนก.ย. นี้

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมในช่วงต่อมาสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ และราคาทองคำในตลาดโลก (ที่ปรับขึ้นเหนือแนว 3,400 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์อีกครั้ง) เนื่องจาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ถูกกดดันมากขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับประเด็นความเป็นอิสระของเฟด แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งจีดีพีไตรมาส 2 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ จะออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดก็ตาม

อย่างไรก็ดี เงินบาทอ่อนค่ากลับมาบางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ตามแรงขายสุทธิหุ้นไทยของต่างชาติ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส. แพทองธาร สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี


ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 ส.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 25-29 ส.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 12,393 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 2,625 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันบัตร 3,126 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 501 ล้านบาทตามลำดับ

สำหรับสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 1-5 ก.ย. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.80-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค. ของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติและราคาทองคำในตลาดโลก

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM และ PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน การจ้างงานนนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนส.ค. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ค. รายงาน Beige Book ของเฟด และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนส.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค. ของยูโรโซนด้วยเช่นกัน

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้าและสถานการณ์การเมืองในประเทศ

ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงสั้น ๆ ต้นสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังประธานเฟดส่งสัญญาณว่าอาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเร็ว ๆ นี้ ประกอบกับมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขส่งออกเดือนก.ค. ของไทยที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยปัจจัยบวกดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อหุ้นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้าและผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงในเวลาต่อมาตามแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งปลดผู้ว่าการเฟดท่านหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง รวมถึงขู่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนสูงถึง 200% หากจีนจำกัดการส่งออกแม่เหล็กแร่ธาตุหายากไปยังสหรัฐฯ ประกอบกับนักลงทุนยังอยู่ในบรรยากาศระมัดระวังระหว่างรอติดตามประเด็นการเมืองในประเทศ

ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงลึกในช่วงท้ายสัปดาห์ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมครม. ทั้งคณะ ส่งผลให้เกิดแรงเทขายหุ้นหลายกลุ่ม นำโดยกลุ่มพลังงาน ค้าปลีกและสื่อสาร

ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,236.61 จุด ลดลง 1.34% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,844.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.96% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.04% มาปิดที่ระดับ 248.86 จุด

ส่วนสัปดาห์ 1-5 ก.ย. 68 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,225 และ 1,200 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,245 และ 1,265 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนส.ค. ของไทย ประเด็นการเมืองในประเทศ รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและการบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนส.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนส.ค. ของญี่ปุ่น จีน และยูโรโซน ตลอดจนดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนส.ค. (เบื้องต้น) ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ค. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 ของยูโรโซน...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1875044



จับตา มาตรการ SET ฟื้นเชื่อมั่น-แก้ปมหุ้น IPO ตกต่ำ

ที่ผ่านมา ภาครัฐและหน่วยงานตลาดทุน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกระตุ้นตลาดหุ้นไทย (SET) ที่ผลงานตกต่ำอย่างมาก หลายมาตรการถูกงัดออกมาใช้ ทั้งในแง่การฟื้นความเชื่อมั่น และในแง่การกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ซึ่งก็เห็นผลอยู่พอสมควร แต่บางมาตรการก็อาจจะส่งผลน้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายกันไว้

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานข้อมูลการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 มีการระดมทุนเสนอขาย IPO จำนวน 6 หลักทรัพย์ มูลค่ารวม 1,262 ล้านบาท

โดยมีคำขอที่ได้รับอนุญาตและพร้อมเสนอขาย 10 หลักทรัพย์ อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขอ 11 หลักทรัพย์ และอยู่ระหว่าง Preconsult อีก 49 หลักทรัพย์ ซึ่งมีการระดมทุนน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

ไม่น่าแปลกใจ เพราะครึ่งปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยติดลบไปถึง 22.2% ต่ำสุดในภูมิภาค นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกไปกว่า 8 หมื่นล้านบาท แม้ว่าในเดือน ก.ค. ต่างชาติจะพลิกกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย ทว่าในเดือน ส.ค. ล่าสุด ก็กลับมาขายสุทธิอีกเช่นเดิม

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จัดงาน Thailand Focus 2025 ปลุกความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ

“อัสสเดช คงสิริ” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า งาน Thailand Focus 2025 ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจอย่างมาก จากนักลงทุนและบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แม้จะเผชิญกับปัจจัยท้าทายตลอดทั้งปี โดยการจัดงานครั้งนี้มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมมากกว่า 500 ราย มีตัวแทนกองทุนกว่า 180 ราย จาก 75 กองทุนจากไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และยุโรป เข้าร่วมงาน

ขณะที่ปัจจุบันมีบริษัทที่อยู่ในไปป์ไลน์ IPO กว่า 30 บริษัท พร้อมยื่น Filing และเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคาดว่าบริษัทขนาดใหญ่จะเข้าระดมทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการบริษัท

“ตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังหารือกับบริษัทต่างชาติที่ขอส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยจะอำนวยความสะดวกให้บริษัทเหล่านี้สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้ เชื่อว่าจะช่วยดึงธุรกิจคุณภาพเข้าสู่ตลาดทุนไทยมากขึ้น และเพิ่มความน่าดึงดูดในระยะยาว”

ขณะที่ “พรอนงค์ บุษราตระกูล” เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ คณะทำงานเพื่อพิจารณามาตรการปฏิรูปตลาดทุนไทย (Taskforce) ที่มี ก.ล.ต. ร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) จะร่วมกันแถลง “มาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย”

“มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดทุนไทย ทั้งด้านดีมานด์และซัพพลาย โดยในฝั่งนักลงทุนจะมีมาตรการภาษีและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุนของนักลงทุนรายย่อย รวมถึงเพิ่มความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ในฝั่งซัพพลาย ก.ล.ต. เตรียมผลักดันการดึงดูดบริษัทศักยภาพสูงจากต่างประเทศให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุนไทยมากขึ้น”

ทั้งนี้ มาตรการที่จะทำเพิ่มเติมจะเป็นการกระตุ้นการซื้อขายและความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย ทั้งฝั่งอุปสงค์ (Quality Demand) และอุปทาน (Attractive Supply) อาทิ ฝั่งอุปทาน เช่น การปรับขั้นตอน IPO ให้กระชับขึ้น เน้น “การเปิดเผยข้อมูล” มากกว่าขั้นตอนเอกสารซับซ้อน, การให้ บจ. ต้องรายงานผลการดำเนินงานด้าน ESG ตามมาตรฐานสากล ISSB เป็นต้น



ส่วนด้านอุปสงค์ อาทิ การส่งเสริมให้ประชาชนนำเงินออมมาลงทุนระยะยาว อย่าง Individual Investment Account (บัญชีลงทุนส่วนบุคคล), การเพิ่มบทบาทนักลงทุนสถาบัน เป็นต้น

“ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า มาตรการที่จะออกมา ส่วนหนึ่งจะเป็นลักษณะการจัดแพ็กเกจมาตรการหรือผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีอยู่แล้วใหม่ ให้น่าสนใจมากขึ้น

“เราจะมีการทำเพิ่มเติมในลักษณะที่ว่า อะไรลงทุนแล้วประหยัดภาษีได้บ้าง ซึ่งก็หวังผลว่า สิ่งที่นำเสนอไปจะเดินหน้าต่อได้ และเป็นรูปธรรม อย่างเช่น Individual Investment Account เราก็อยากให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน”

ทั้งนี้ ปีนี้ยอมรับว่า IPO ต่ำมาก เนื่องจากเสียงตอบรับจากนักลงทุนไม่ดีนัก แต่ก็มีหุ้นโรงพยาบาลที่เพิ่งเข้าตลาด เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ถือว่าเข้ามาได้ถูกจังหวะ ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับเซนติเมนต์ของตลาดหุ้นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนี้อาจจะเผชิญทั้งปัจจัยเสี่ยงจากภายในและภายนอก

“ชวินดา” กล่าวว่า ภาพใหญ่ประเทศไทยยังเติบโตแบบออร์แกนิก ไม่ได้เติบโตรุนแรง ซึ่งก็ไม่ถึงกับไม่มีอะไรให้นักลงทุนมาลงทุน เพียงแต่เรื่องความมั่นใจเป็นเรื่องใหญ่กว่า โดยภาพการลงทุนในโลก ไทยกับประเทศภูมิภาคก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก คือเจอกับปัญหาการเลือกลงทุนของนักลงทุนในโลกนี้

“เรื่องการลงทุน ไทยเราถ้าเทียบกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ แต่ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีอาจจะไม่ได้ตอบสนองผู้จัดการลงทุน หรือนักลงทุนทั้งโลกในปัจจุบันที่อยากเห็นอะไรที่หวือหวา อย่างหุ้น NVIDIA หรือหุ้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็จะไปกระจุกตัวอยู่ตรงนั้น ซึ่งเราไม่มี ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่มี หรือมีแต่ไม่ได้โดดเด่น ดังนั้น ที่ว่าประเทศไทยมีปัญหาเฉพาะตัวแล้วเงินไม่มา ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เรื่องที่กระแทกใจนักลงทุนมาก ก็คือ ธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน”

“นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน” กล่าวว่า สิ้นปีนี้ยังคาดว่า ดัชนี SET จะขึ้นไปที่ระดับสูงกว่า 1,300 จุดได้ โดยดูจากพื้นฐานและการเติบโตของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ยังมีโอกาสเติบโต ขณะที่อุตสาหกรรมกองทุนยังเติบโตได้จากกองทุนต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนกองทุนไทยก็มีบางกองที่เป็นบวกได้ อย่างไรก็ดี คงต้องรอดูความชัดเจนด้านเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ด้วย ว่าผลกระทบจากภาษีสหรัฐจะส่งผลมากน้อยแค่ไหน หลังจากครึ่งปีแรกยังดี จากผลของการเร่งส่งออก

“ตอนนี้ทุกคนยังรอดู ไม่ใช่แค่คนไทย นักลงทุนต่างประเทศก็รอดู ว่าเมืองไทยจะสามารถรักษาระดับการเติบโต หรือจะออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ หลังจากที่มีการเร่งการส่งออก” นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนกล่าว...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1874565

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่