กระทู้ 31 สิงหาคม ปีนี้ มาช้ากว่าทุกปีเนื่องจากติดงานประจำ ต้องขออภัย ปีนี้ขอพูดถึงการแบ่งการปกครองในสมัยยุคอาณานิคมกันเล็กน้อย
ในสมัยอาณานิคม มีการแบ่งการปกครองต่อดินแดนมลายู 3 รูปแบบ ได้แก่
1.รัฐสหพันธรัฐมลายู เป็นดินแดนใต้อารักขาอังกฤษ มีการปกครองที่ใกล้เคียงกับอาณานิคม แต่ยังมีสุลต่านหรือผู้ปกครองแคว้นหรือรัฐอยู่ มีอยู่ 4 รัฐ ได้แก่ เปราก์, ปะหัง, เซอลาโงร์ และ เนอเกอรีเซิมบิลัน การปกครองนี้อังกฤษมีส่วนประมาณ 80% เจ้าผู้ครองรัฐ 20%
2.รัฐนอกสหพันธรัฐมลายู ได้แก่ ปะลิส, เกดะห์, กลันตัน, ตรังกานู และ ยะโฮร์ ซึ่งเข้าร่วมภายหลังการรวมสหพันธรัฐ 4 รัฐแรกได้มาจากสยามในปี 1909 (พ.ศ. 2452) ส่วนรัฐยะโฮร์เข้าร่วมในปี 1914 (พ.ศ.2457) แตกต่างกับรัฐในสหพันธรัฐตรงที่มีอิสระในการปกครองหรือบริหารบ้านเมืองมากกว่า และอังกฤษจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ สัดส่วนอังกฤษประมาณ 60% เจ้าผู้ครองรัฐ 40%
2 รูปแบบแรก มีสุลต่านหรือเจ้าผู้ครองรัฐเป็นประมุข และมีชาวมลายูเป็นพลเมืองหลัก การปกครองจึงเป็นไปแบบรัฐในอารักขา
3.อาณานิคม เรียกรวมกันว่า นิคมช่องแคบ ได้แก่ ปีนัง, ดินดิง (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเปราก์) มะละกา และสิงคโปร์ อังกฤษควบคุม 100% มีพลเมืองจีนและอินเดียเยอะกว่ามลายู
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษมีแผนปรับเปลี่ยนการปกครองโดยตั้งใจจะให้บริติชมาลายารวมกันกลายเป็นสหภาพมาลายา แต่ปรากฎว่าชาวมลายูต่อต้านเนื่องจากมองว่าเป็นการลดอำนาจเจ้าผู้ครองรัฐซึ่งเป็นผู้ค้ำจุนศาสนาอิสลาม ทั้งยังอาจจะทำให้ชนชาติอื่นๆ (เช่น จีนและอินเดีย) มีอิทธิพลเหนือชาวมลายู ทำให้อังกฤษพับแผนนี้และจัดตั้งสหพันธรัฐมลายูขึ้นมาก่อนมอบเอกราช โดยพื้นที่ตามข้อ 1 และ 2 กลายเป็นรัฐสุลต่านหรือรัฐมลายู มีสุลต่านเป็นประมุขรัฐ (เจ้าผู้ครองรัฐ) และมีมนตรีใหญ่ (ซึ่งต้องเป็นชายชาวมลายูมุสลิม) เป็นหัวหน้ารัฐบาลท้องถิ่นของรัฐ ส่วนข้อ 3 มีผู้ปกครองเป็นผู้สำเร็จราชการ (ตัวแทนยังดีเปอร์ตวนอากง - ตามตำแหน่งถือว่าไม่ใช่ผู้ว่าการรัฐอย่างประเทศอื่น เนื่องจากมีอำนาจในฐานะตัวแทนประมุขรัฐ) และมีมุขมนตรี (ไม่จำกัดเพศ เชื้อชาติ ศาสนา) เป็นหัวหน้ารัฐบาลท้องถิ่นของรัฐนั้น
ต่อมาเมื่อซาบาห์และซาราวะก์ (รวมถึงสิงคโปร์ซึ่ง 2 ปีหลังถูกขับออก) ถูกรวมเข้ากลายเป็นมาเลเซียในปี 1963 (พ.ศ. 2506) ก็ได้ให้มีผู้สำเร็จราชการและมีมุขมนตรีด้วยเช่นกัน
การแบ่งการปกครองของบริติชมาลายา