“รักษาฟรี” อาจไม่ฟรีอีกต่อไป – ระบบสาธารณสุขไทยเผชิญวิกฤตขาดงบ วิกฤตเงียบที่ประชาชนยังไม่รู้ตัว
รายงานพิเศษโดย : #ข่าวเด่นประเด็นร้อน
จากเวทีสัมมนา “ทิศทางการดำเนินงานระบบบัตรทองในปัจจุบันและอนาคต”
ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังคงรู้สึกอุ่นใจกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่รู้จักกันในนาม “บัตรทอง” ซึ่งทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาได้โดยไม่ต้องควักกระเป๋า ระบบเบื้องหลังที่ทำให้บริการนี้ดำเนินต่อไปได้ กำลังเผชิญความเปราะบางอย่างรุนแรง
ข้อมูลจากเวทีสัมมนาล่าสุด เผยให้เห็นวิกฤตเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ระบบบัตรทองเดินหน้าต่อไปไม่ได้ภายใน 3 ปี หากไม่มีการปรับโครงสร้างงบประมาณและวิธีบริหารจัดการอย่างจริงจัง
#โรงพยาบาลรัฐขาดทุนสะสมเกินครึ่งประเทศ
ปัจจุบัน โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศจำนวน 218 แห่งมีเงินบำรุงติดลบ และอีก 91 แห่งมีเงินเหลือไม่ถึง 5 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าระดับที่สามารถบริหารความเสี่ยงหรือรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ได้อย่างปลอดภัย
แม้ภารกิจของโรงพยาบาลรัฐจะไม่ใช่การแสวงหากำไร แต่การขาดทุนสะสมต่อเนื่องโดยไม่มีแนวทางชดเชยหรืองบประมาณที่เพียงพอ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพบริการและเสถียรภาพของระบบ
จ่ายน้อยกว่าทุน…ใครคือผู้แบกรับความเสี่ยง?
หนึ่งในปัญหาสำคัญคือ “ต้นทุนการรักษาจริง” กับ “อัตราการเบิกจ่ายจาก สปสช.” ที่ไม่สมดุล โดยต้นทุนเฉลี่ยของการรักษาผู้ป่วยในหนึ่งรายอยู่ที่ประมาณ 13,000 บาท ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จ่ายให้เพียง 7,100 บาท (ข้อมูลปี 2568)
ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้ โรงพยาบาลต้องเป็นผู้รับภาระเอง และในสถานการณ์ที่ขาดงบอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลหลายแห่งกำลังอยู่ในภาวะ “ล้มละลายเชิงระบบ” โดยไม่มีทางออกที่ชัดเจน
นโยบายดี แต่ไม่มีงบรองรับ
บริการเสริมใหม่ ๆ ที่ตั้งใจลดความแออัด เช่น การส่งยาถึงบ้าน การเจาะเลือดที่บ้าน หรือให้ผู้ป่วยไปรับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน เป็นแนวคิดที่ดี แต่หากไม่มีงบประมาณรองรับอย่างเพียงพอ อาจกลายเป็นภาระเพิ่มของหน่วยบริการแทนที่จะเป็นทางออก
ในขณะที่ผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลรัฐต้องรอเตียง ICU หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างจำกัด งบประมาณกลับถูกจัดสรรไปยังบริการที่ “เบา” และต้นทุนต่ำ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการจัดลำดับความสำคัญเชิงนโยบาย
#งบบัตรทองหายไปครึ่งในเวลา 3 ปี
หลังวิกฤตโควิด-19 งบบัตรทองเคยอยู่ในระดับสูงสุดที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา งบดังกล่าวลดลงปีละเกือบ 20,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือเพียง 40,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะ “หมด” ในไม่เกิน 3 ปี หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากบุคลากรในระบบให้ยอมรับปัญหาและหาทางอุดช่องโหว่ แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่ปรากฏแนวนโยบายที่ชัดเจนจากผู้มีอำนาจในการบริหารงบประมาณระดับประเทศ
#ข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคสนาม
จากเวทีสัมมนา มีข้อเสนอเพื่อแก้วิกฤตระบบสาธารณสุขและหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนี้:
✅ ปรับอัตราการชดเชยค่ารักษาให้สะท้อนต้นทุนจริง
✅ ยุติการเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยไม่มีแหล่งงบรองรับ
✅ จัดตั้ง “กองทุนพยุงโรงพยาบาลที่ขาดทุน” เพื่อไม่ให้ระบบพังล้มแบบลูกโซ่
✅ ใช้งบประมาณอย่างเหมาะสมตามระดับความรุนแรงของผู้ป่วย
✅ ทำให้ทุกนโยบายใหม่ต้องเปิดเผยว่าใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
#ถึงเวลาพูดความจริงกับประชาชน
ความเข้าใจผิดที่ว่า “ทุกอย่างฟรี” โดยไม่เข้าใจว่าทุกระบบต้องมีคนแบกรับต้นทุน อาจทำให้สังคมไทยมองข้ามวิกฤตที่กำลังจะมาถึง
หากไม่เริ่ม “พูดความจริง” กับประชาชน และวางแผนแก้ไขอย่างจริงจัง วันนี้ ระบบ “รักษาฟรี” ที่เคยเป็นต้นแบบความสำเร็จของไทยในสายตานานาชาติ อาจกลายเป็นเพียงความทรงจำในเวลาอันใกล้
อ้างอิง :
https://www.facebook.com/photo/?fbid=24576158145334474&set=a.198402560203372
“รักษาฟรี” อาจไม่ฟรีอีกต่อไป – ระบบสาธารณสุขไทยเผชิญวิกฤตขาดงบ วิกฤตเงียบที่ประชาชนยังไม่รู้ตัว
รายงานพิเศษโดย : #ข่าวเด่นประเด็นร้อน
จากเวทีสัมมนา “ทิศทางการดำเนินงานระบบบัตรทองในปัจจุบันและอนาคต”
ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังคงรู้สึกอุ่นใจกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่รู้จักกันในนาม “บัตรทอง” ซึ่งทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาได้โดยไม่ต้องควักกระเป๋า ระบบเบื้องหลังที่ทำให้บริการนี้ดำเนินต่อไปได้ กำลังเผชิญความเปราะบางอย่างรุนแรง
ข้อมูลจากเวทีสัมมนาล่าสุด เผยให้เห็นวิกฤตเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ระบบบัตรทองเดินหน้าต่อไปไม่ได้ภายใน 3 ปี หากไม่มีการปรับโครงสร้างงบประมาณและวิธีบริหารจัดการอย่างจริงจัง
#โรงพยาบาลรัฐขาดทุนสะสมเกินครึ่งประเทศ
ปัจจุบัน โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศจำนวน 218 แห่งมีเงินบำรุงติดลบ และอีก 91 แห่งมีเงินเหลือไม่ถึง 5 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าระดับที่สามารถบริหารความเสี่ยงหรือรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ได้อย่างปลอดภัย
แม้ภารกิจของโรงพยาบาลรัฐจะไม่ใช่การแสวงหากำไร แต่การขาดทุนสะสมต่อเนื่องโดยไม่มีแนวทางชดเชยหรืองบประมาณที่เพียงพอ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพบริการและเสถียรภาพของระบบ
จ่ายน้อยกว่าทุน…ใครคือผู้แบกรับความเสี่ยง?
หนึ่งในปัญหาสำคัญคือ “ต้นทุนการรักษาจริง” กับ “อัตราการเบิกจ่ายจาก สปสช.” ที่ไม่สมดุล โดยต้นทุนเฉลี่ยของการรักษาผู้ป่วยในหนึ่งรายอยู่ที่ประมาณ 13,000 บาท ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จ่ายให้เพียง 7,100 บาท (ข้อมูลปี 2568)
ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้ โรงพยาบาลต้องเป็นผู้รับภาระเอง และในสถานการณ์ที่ขาดงบอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลหลายแห่งกำลังอยู่ในภาวะ “ล้มละลายเชิงระบบ” โดยไม่มีทางออกที่ชัดเจน
นโยบายดี แต่ไม่มีงบรองรับ
บริการเสริมใหม่ ๆ ที่ตั้งใจลดความแออัด เช่น การส่งยาถึงบ้าน การเจาะเลือดที่บ้าน หรือให้ผู้ป่วยไปรับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน เป็นแนวคิดที่ดี แต่หากไม่มีงบประมาณรองรับอย่างเพียงพอ อาจกลายเป็นภาระเพิ่มของหน่วยบริการแทนที่จะเป็นทางออก
ในขณะที่ผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลรัฐต้องรอเตียง ICU หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างจำกัด งบประมาณกลับถูกจัดสรรไปยังบริการที่ “เบา” และต้นทุนต่ำ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการจัดลำดับความสำคัญเชิงนโยบาย
#งบบัตรทองหายไปครึ่งในเวลา 3 ปี
หลังวิกฤตโควิด-19 งบบัตรทองเคยอยู่ในระดับสูงสุดที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา งบดังกล่าวลดลงปีละเกือบ 20,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือเพียง 40,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะ “หมด” ในไม่เกิน 3 ปี หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากบุคลากรในระบบให้ยอมรับปัญหาและหาทางอุดช่องโหว่ แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่ปรากฏแนวนโยบายที่ชัดเจนจากผู้มีอำนาจในการบริหารงบประมาณระดับประเทศ
#ข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคสนาม
จากเวทีสัมมนา มีข้อเสนอเพื่อแก้วิกฤตระบบสาธารณสุขและหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนี้:
✅ ปรับอัตราการชดเชยค่ารักษาให้สะท้อนต้นทุนจริง
✅ ยุติการเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยไม่มีแหล่งงบรองรับ
✅ จัดตั้ง “กองทุนพยุงโรงพยาบาลที่ขาดทุน” เพื่อไม่ให้ระบบพังล้มแบบลูกโซ่
✅ ใช้งบประมาณอย่างเหมาะสมตามระดับความรุนแรงของผู้ป่วย
✅ ทำให้ทุกนโยบายใหม่ต้องเปิดเผยว่าใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
#ถึงเวลาพูดความจริงกับประชาชน
ความเข้าใจผิดที่ว่า “ทุกอย่างฟรี” โดยไม่เข้าใจว่าทุกระบบต้องมีคนแบกรับต้นทุน อาจทำให้สังคมไทยมองข้ามวิกฤตที่กำลังจะมาถึง
หากไม่เริ่ม “พูดความจริง” กับประชาชน และวางแผนแก้ไขอย่างจริงจัง วันนี้ ระบบ “รักษาฟรี” ที่เคยเป็นต้นแบบความสำเร็จของไทยในสายตานานาชาติ อาจกลายเป็นเพียงความทรงจำในเวลาอันใกล้
อ้างอิง : https://www.facebook.com/photo/?fbid=24576158145334474&set=a.198402560203372