กำแพงป้องกันกัมพูชา จำเป็นไหม หรือแค่อารมณ์และกระแสสังคม?

กระแสสังคมร้อนแรงกับปัญหาเขมร "เพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ" หลายคนเสนอไอเดีย “สร้างกำแพงกั้น” ให้มันจบๆ ไป เหมือนกำแพงเบอร์ลินหรือกำแพงเมืองจีน แต่คำถามคือ…มันแก้ปัญหาได้จริงหรือเปล่า?

ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ระบุว่า ชายแดนไทย–กัมพูชายาว 798 กม. แบ่งเป็น
ตามสันปันน้ำ 524 กม.
ตามลำน้ำ 216 กม.
เส้นตรง 58 กม.

เมื่อลองคำนวณเป็นระยะทาง 1 กม. จะต้องใช้เงินมากกว่า 1.2 ล้านบาท และเมื่อคำนวณตามระยะทางชายแดนจริง 798 เมตร จะต้องใช้เงินสูงถึง 976,752,000 บาท โดยเป็นเพียงแค่ค่าตัวปูนสำหรับกำแพงเท่านั้น
https://www.thairath.co.th/scoop/infographic/2879393

หากสร้างจริง อาจต้องใช้งบ หลายพันล้านบาท และใช้เวลาหลายปี กว่าจะเสร็จ ปัญหาอาจไม่เหมือนเดิมแล้วด้วยซ้ำ
สุดท้าย… “กำแพง” คือทางออกเชิงยุทธศาสตร์ หรือเป็นแค่การตอบโต้ด้วยอารมณ์?

ข้อดี คือ เพิ่มความมั่นคง คุมการลักลอบเข้า–ออกได้ระดับหนึ่ง
ข้อเสีย คือต้นทุนมหาศาล ดูแลยาก กระทบวิถีชีวิตคนชายแดน และอาจสร้างภาพลบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือแก้ได้แค่ปลายเหตุ ไม่ได้แตะสาเหตุจริงๆ

ถ้าเทียบกับ “กำแพงเบอร์ลิน” สุดท้ายก็ต้องทุบทิ้งเสียค่าทุบอีกเพราะมันเป็นแค่เครื่องมือกดทับ ไม่ได้แก้ปัญหา แม้จะกันการปะทะได้ แต่ก็ไม่ทำให้ความขัดแย้งหายไป “กำแพง” อาจช่วยสร้างความมั่นใจชั่วคราว แต่ไม่ใช่คำตอบระยะยาวของปัญหา แถมอาจเป็นภาระงบประมาณมากกว่าได้ด้วยซ้ำ

แล้วอารยะประเทศเค้าแบ่งเขตแดนกันยังไง

1. สหรัฐฯ – แคนาดา
ถือเป็น พรมแดนที่ยาวที่สุดในโลก ราว 8,891 กม. แต่ไม่มี “กำแพง” เหมือนที่ชายแดนเม็กซิโก

วิธีการที่ใช้คือ
- เสา/ป้ายบอกแนวเขต (Boundary markers & monuments) - ตั้งป้ายหลักเขตเป็นช่วงๆ ให้ชัดเจน
- การลาดตระเวนและตรวจคนเข้าเมือง - ใช้ระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านทางการ (Border crossing points)
- ข้อตกลงร่วมมือ - เช่น สนธิสัญญา Treaty of Washington (1908) กำหนดหลักการแบ่งเขตแดนร่วมกัน
- เขตกันชนตามธรรมชาติ - เช่น ป่า แม่น้ำ หรือภูมิประเทศที่ใช้เป็นตัวแบ่ง
*** แนวเส้นแบ่งเขตที่มนุษย์สร้างขึ้น (The Slash) - เป็นแนวป่าหรือทุ่งหญ้าที่ถางออกเป็นแนวเส้นกว้าง 6 เมตร โดยแบ่งครึ่งคนละ 3 เมตร เป็นแนวเส้นแบ่ง โดยจะมีการตัดแต่งทุกๆ 5 - 6 ปี ใช้ “ความไว้เนื้อเชื่อใจและความร่วมมือ” มากกว่าการสร้างโครงสร้างแข็งแรง

สาเหตุ: เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ดีและมั่นคง ต้องการส่งเสริมการค้า การเดินทาง และความร่วมมือด้านความมั่นคง จึงไม่จำเป็นต้องสร้าง “กำแพง” มีเพียงเสาหลักเขต ป้าย และด่านตรวจเป็นบางจุด
ผลคือ: กลายเป็น พรมแดนที่ยาวที่สุดในโลก (8,891 กม.) โดยไร้กำแพง การค้าชายแดนและการท่องเที่ยวสะดวก เติบโตอย่างต่อเนื่อง ใช้ระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ “ด่าน” แทนที่จะกันทั้งแนวพรมแดน
ข้อสังเกต: “ไม่มีความตึงเครียดทางการเมือง–ความมั่นคง” ทำให้ไม่ต้องสร้างโครงสร้างแข็ง เน้น ความร่วมมือและความไว้ใจระหว่างรัฐ มากกว่าการปิดกั้น ตรงข้ามกับชายแดนสหรัฐฯ–เม็กซิโก ที่เต็มไปด้วยกำแพงเพราะความเหลื่อมล้ำและปัญหาอพยพ



2. สหรัฐฯ – เม็กซิโก
ความยาวชายแดนประมาณ 3,145 กม.
- ใช้กำแพง/รั้วกั้นจริงในหลายจุด (โดยเฉพาะพื้นที่ลักลอบเข้าเมืองหนัก)
- มีทั้ง กำแพงคอนกรีต รั้วเหล็ก และระบบตรวจจับอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ยังมีช่องว่างให้ลักลอบเข้าเมือง เพราะพื้นที่ยาวและกว้างมาก

สาเหตุ: การอพยพผิดกฎหมาย ยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ การเมืองภายในสหรัฐฯ
ผลคือ: ลดการลักลอบเข้าเมืองในบางพื้นที่ได้เล็กน้อย
ข้อสังเกต: ต้นทุนสูงมาก มีผลกระทบด้านมนุษยธรรม และความสัมพันธ์สหรัฐฯ–เม็กซิโก แย่ลง



4. สหภาพยุโรป (Schengen Area)
- หลายประเทศในยุโรป (เช่น ฝรั่งเศส–เยอรมนี) ใช้ ระบบพรมแดนเปิด ไม่มีรั้วหรือกำแพง เน้น กฎหมายคนเข้าเมืองร่วมกัน และการตรวจสอบเมื่อเข้ามาถึงประเทศ ไม่ใช่ตอนผ่านพรมแดน
- แต่ถ้ามีวิกฤติ (เช่น ผู้อพยพผิดกฎหมาย) บางประเทศอาจสร้าง “รั้วชั่วคราว” เพื่อควบคุม

สาเหตุ: ต้องการเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายคน–สินค้า–บริการ ระหว่างประเทศสมาชิก EU ลดต้นทุนการค้าขาย การเดินทาง และสร้างเอกลักษณ์ “ยุโรปไร้พรมแดน”
ผลคือ: ประชาชนเดินทางข้ามประเทศได้สะดวก ไม่ต้องตรวจคนเข้าเมือง การค้า–ท่องเที่ยวเติบโต แต่เกิดปัญหาผู้อพยพ/ลักลอบเข้าเมืองง่ายขึ้น → ทำให้บางประเทศกลับมาตั้งรั้วชั่วคราวในช่วงวิกฤติ (เช่น ผู้อพยพซีเรีย, โควิด-19)
ข้อสังเกต: “พรมแดนเปิด” ใช้ได้เพราะประเทศสมาชิก มีระดับเศรษฐกิจ–กฎหมายใกล้เคียง และมีความไว้เนื้อเชื่อใจสูง ถ้าใช้ในภูมิภาคที่เหลื่อมล้ำมาก (เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จะเกิดปัญหาหนักกว่าแก้



5. อินเดีย–บังกลาเทศ-ปากีสถาน "เขตแดนนานาชาติ" (IB: International Border)
อินเดียสร้างรั้วยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร เพื่อหยุดการลักลอบข้ามแดนและอาชญากรรมข้ามชาติ แม้จะมีเสียงวิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชน
- ทำหน้าที่แบ่งแยกระหว่าง: รัฐปัญจาบ รัฐราชสถาน และรัฐคุชราต ของอินเดีย กับ แคว้นปัญจาบและแคว้นสินธ์ ของปากีสถาน
- มีการติดตั้งไฟสปอร์ตไลต์ตลอดแนว (มองเห็นได้จากอวกาศ)

สาเหตุ: มีข้อพิพาทยาวนานเรื่องแคชเมียร์
ผลคือ: ลดการลักลอบข้ามแดนและการก่อการร้ายบางส่วน แต่ยังคงมีการปะทะเป็นระยะ
ข้อสังเกตุ: ทำให้ความตึงเครียดคงอยู่ แบ่งแยกครอบครัว–ชุมชน และใช้งบและกำลังทหารมหาศาล ไม่แก้ปัญหาหลัก (ข้อพิพาทแคชเมียร์ยังอยู่)



6. ลิทัวเนีย – เบลารุส
- ชายแดนระหว่าง ลิทัวเนีย – เบลารุส ยาวประมาณ 679 กม. เป็นเส้นแบ่งที่เกิดขึ้นหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย (1991) เมื่อเบลารุสและลิทัวเนียกลายเป็นรัฐเอกราช
- หลักการแบ่งเขตแดน อิงตามเส้นแบ่งการปกครองสมัยสหภาพโซเวียต → ถูก “ยกมาใช้เป็นเส้นพรมแดนระหว่างประเทศ” ผ่านพื้นที่ป่า ทุ่งหญ้า และแม่น้ำบางช่วงมี “เสาหลักเขตแดน” (Border markers) กำหนดไว้ตามสนธิสัญญาพรมแดน
- ในทางกฎหมาย ปี 1995: ลิทัวเนียและเบลารุสลงนาม สนธิสัญญาเขตแดน (Treaty on the State Border) สนธิสัญญานี้มีผลบังคับใช้ปี 1996 ทำให้เส้นแบ่งชัดเจนในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ชายแดนนี้เป็น “พรมแดนภายนอกของสหภาพยุโรปและ NATO” ทำให้ลิทัวเนียต้องรักษาความมั่นคงเข้มงวด เพราะถือว่าเป็นแนวหน้า EU–เบลารุส (พันธมิตรใกล้ชิดรัสเซีย) หลังวิกฤติผู้อพยพ (2021) ลิทัวเนียเริ่มสร้าง รั้วเหล็กสูง 4 เมตร + ลวดหนาม ครอบคลุมแทบทั้งแนว ควบคู่กับระบบเฝ้าระวัง (กล้อง, เซนเซอร์)

สาเหตุ: ปี 2021 เบลารุสถูกกล่าวหาว่า “ใช้ผู้อพยพเป็นอาวุธ” (weaponized migration) โดยผลักดันผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลางเข้าสู่สหภาพยุโรปผ่านลิทัวเนีย โปแลนด์ และลัตเวีย ลิทัวเนียจึงตัดสินใจสร้าง รั้วลวดหนามและกำแพงเหล็ก ตลอดแนวชายแดน (ประมาณ 680 กม.)
ผล: ลดการข้ามแดนผิดกฎหมายจากเบลารุสได้บางส่วน แต่สร้างแรงกดดันด้านมนุษยธรรม เพราะผู้อพยพติดค้างกลางพรมแดนทำให้ความสัมพันธ์ลิทัวเนีย–เบลารุสตึงเครียดยิ่งขึ้น
ข้อสังเกต: เป็นตัวอย่างว่า “กำแพง” ถูกใช้เป็น เครื่องมือการเมือง มากกว่าการแก้ปัญหาพรมแดนปกติ ต่างจากสหรัฐฯ–แคนาดา ที่ใช้ความร่วมมือ, ลิทัวเนียเลือกสร้างรั้วเพราะเผชิญ ภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์


แล้วปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา เหมาะสมกับการแบ่งปันเขตแดนแบบไหน ?

ปัญหาหลักที่เกิดขึ้น มีทั้งเรื่องข้อพิพาทดินแดน โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนรอบ “ปราสาทพระวิหาร” และพื้นที่ชายแดนอื่นๆ การลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว การค้าชายแดนผิดกฎหมาย เช่น ไม้พะยูง ยาเสพติด สินค้าหนีภาษี อาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงบ่อนคาสิโนชายแดน ปัญหาชุมชนชายแดน ที่พึ่งพากันทางเศรษฐกิจ บราๆ

*** แต่แม้ว่าจะมีปัญหามากมาย แต่ก็ยังมีการพึ่งพากันในระดับประชาชน ทั้งเศรษฐกิจและแรงงาน ซึ่งไทยต้องการคน และเขมรต้องการเงิน ซึ่งจะว่าไปปัญหาไม่ใช่ความขัดแย้งของประชาชน แต่เป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า ***

การแก้ไขอาจจะต้องแบบผสมผสาน ตามความเหมาะสม โดยจัดกลุ่มเป็นระดับ

ความท้าทาย
จะต้องปกป้องอธิปไตย แต่ไม่ยั่วยุ:  ไม่สร้างสิ่งถาวรในพื้นที่พิพาท จะได้ไม่ยั่วยุ (เกิดความขัดแย้งเหมือน ลิทัวเนีย–เบลารุส)
เลเยอร์ป้องกัน (layered defense) ใช้รั้วเฉพาะจุด + กล้อง/โดรน/เซนเซอร์ + หน่วยลาดตระเวนเร็ว ผสมผสานกัน (แบบสหรัฐฯ–เม็กซิโกที่ได้ผลเฉพาะจุด) ใช้ข้อมูลข่าวสารนำ ตรวจสอบเข้มข้นตรงที่เสี่ยง (ช่องทางลักลอบ, จุดค้าเถื่อน) ไม่ต้องลงทุนทั้งแนว โดยแบ่งตามจำเป็นออกเป็น Tier

Tier 1 – เขตเข้มงวด (Hard Border) → ขยายกำแพงเฉพาะจุด + อัปเทคโนโลยี
ใช้กับจุดเสี่ยง เช่น ช่องทางลักลอบ ยาเสพติด หรือแรงงานผิดกฎหมาย ไม่ต้องสร้างกำแพงยาว ๆ ทั้งเส้น แต่ทำรั้ว–เสาเฉพาะจำเป็น
เสริมกล้องจับความร้อน โดรนบินตรวจ สายไฟ/เซนเซอร์ใต้ดิน ถ้ามีใครลักลอบ → มีหน่วยเคลื่อนที่เร็วไปถึงใน 5–15 นาที

Tier 2 – เขตแดนควบคุม (Soft Border) → ช่องทางการค้า
ด่านปกติที่มีอยู่แล้ว เช่น อรัญประเทศ–ปอยเปต

Tier 3 – เขตพิเศษ/พื้นที่พิพาท → Security Overlay โดยไม่กระทบข้อกฎหมาย
หลีกเลี่ยงโครงสร้างถาวร อย่างเช่น รอบปราสาทพระวิหาร ที่ยังเถียงกัน → ห้ามสร้างกำแพงหรือสิ่งถาวร
- ใช้ CCTV/โดรน/เซนเซอร์ + หน่วยรักษาความปลอดภัยร่วมเชิงตำรวจ
- ถ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยว/มรดกโลก: ทำ Visitor Management (โควตา, เส้นทาง, เวลาปิด–เปิด) และ บัญชีรายได้ร่วม เพื่อโปร่งใส ลดแรงกดดันการเมือง เป็นแนวกันชน (DMZ) เหมือนเขตกันชนในยุโรป คุมเข้ม “วิธีใช้พื้นที่” แทนการปิดกั้น

Tier 4 – เขตเปิดบางส่วน (Semi-open)ควบคุมตัวตน–พฤติกรรม ไม่ใช่ปิดเส้นทาง
ใช้กับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่คนสองฝั่งพึ่งพากัน ทำมาหากินด้วยกัน อาจจะมีเทคโนโลยีมาช่วย
- Local Pass + Biometric สำหรับชุมชนชายแดน เวลาผ่านเข้า–ออก/รัศมีชัดเจน
- กล้องอัจฉริยะ (AI analytics) ที่จุดผ่านท้องถิ่น + โดรนลาดตระเวน
- ใช้ Strip/แนวป่า (“The Slash”) ทำแนวถนนหรือแนวป่าไว้ให้เห็นชัดว่า “เส้นนี้คือเขตแดน” แต่ก็ยังเดินไปมาหาสู่กันได้

ถ้าวิเคราะห์ตามนี้ จาก 798 กม. อาจจะทำรั้ว/กำแพง ไม่เกิน 10–15% ของทั้งหมด (~80–120 กม.) ส่วนที่เหลือนอกจากด่านเดิม ใช้ แนวถนนลาดตระเวน (The Slash) + กล้อง + โดรน + กำลังลาดตระเวนเร็ว

สมมุติ 120 กม. เฉพาะ Tier 1
- รั้วเหล็ก (Light Barrier) ≈ 1,500 ล้านบาท
- กำแพงคอนกรีต + รั้ว (Medium) ≈ 3,750 ล้านบาท
- กำแพงคอนกรีตเสริม + ระบบไฟแบบอินเดีย (Heavy) ≈ 6,000 ล้านบาท

คิดว่าคุ้มค่าไหม?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่