เสียงที่ทำให้หลอน และนึกถึงเรื่องร้ายบนถนนในอดีต เสียงสเกตบอร์ดครูดพื้น

กระทู้คำถาม
เมื่อก่อน ตอนเราเป็นเด็ก ญาติออกปิคอัพใหม่ บ้านเราก็เลยซื้อต่อคันเก่า เป็นรถยกสูง เราก็แบบ ไม่ต้องติดรถมอไซไปเรียนแล้วเว่ย เบื่อรถล้มเจ็บ เปียกฝนเสื้อกางเกงแฉะ

วันซวยมาถึง เจอรถบัสไม่มีส้วม ไม่มีแอร์ กลับรถซ้อนคัน แล้วก็มีเสียงเสียงเอี้ยดดดดด กร้วบบบบบ มันเข้าไปถึงใจเลย สิ่งที่ตาเห็น คือ รถบัสมันจะล้มเข้ามาหาเรา ภาพใสๆ ที่เห็นกลายเป็นฝ้าเม็ดๆ สีขาว ร่วงลงมา

สรุปคือรถพัง และก็ยางแฟ่บ ซึ่งทำให้เข้าใจว่ารถจะล้มทับ รถบุบเข้ามา แต่เพราะเรานั่งกอดเป้ เป้หนังสือเรียนก็มันล้อคเราจนออกจากรถไม่ได้ ไม่มีกระดูกหัก หัวเกรียนไม่แตก แผลมี แต่ไม่เท่าที่โดนพ่อแม่ลากไปตี (เคยดูละครนางทาสไหมครับ นั่นล่ะครับ อยู่ดีๆ เนื้อตัวก็เป็นลายเสือ ไปให้คนในโรงเรียนล้อซ้ำ)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เรื่องการเดินทาง หลังจากนั้นเราจะไปกับรถใคร ถ้าโดนบังคับให้มองถนน กับคนขับที่ลุ่มล่าม ขับไม่เก่ง (พ่อเราเอง ทำใบขับขี่มอไซ จ่ายเพิ่มได้ของรถยนต์ "ตลอดชีพ") ก็จะแกล้งหลับ หรือเอนเบาะมองฟ้า เวลาซ้อนมอไซก็จะหลอนแบบหันซ้ายขวา คันนั้นก็เอี้ยด คันนั้นก็อ้าด (แล้วก็เคยโดนรถชนร่วงจริงๆ ด้วยทีนึง ตอนนั้นซ้อนมอไซรับจ้าง และไม่มีรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น) จนค้นพบวิธีที่โอเคหน่อย เอ้า หลับตาสิ เอา walkman มือถือ อุดหูไป ก็เป็นงี้มาตลอดจนมาเรียนในเมือง ระหว่างนี้ เรานั่งรถบัสใหญ่ข้ามจังหวัด มันก็เสียวนะ เพราะรถมันหวืออออออ วิ่งแบบเร็วๆ แต่มันเอนเบาะนอนได้ ก็ใช้วิธีนี้ล่ะ เอาตัวรอดได้ตลอด

นิยามของ "ขนส่งมวลชน" สำหรับเรา คือ "เราจะไม่ตายคนเดียว" ในเมืองนี่เราไม่มีปัญหาเลย นั่งสองแถว รถเมล์ใหญ่ เรือ เข้าใจป่ะ ความรู้สึกนึกคิดเรา ความต้องรับผิดชอบชีวิตมันมีมากกว่าซ้อนรถ นั่งรถไปกับคนอื่นตามลำพัง เราเชื่อว่าถนนเมืองหลวงเนี่ย มีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่จะเจ็บตายได้ (เว้นแต่ถ้าโดนไปแล้ว เจ็บไปแล้ว ก็จะเหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุงแบบจนๆ ไม่มีที่พึ่ง เผลอๆ โดนตั้มเล่นซ้ำอีก)

แต่ก็นะ ไม่ใช่ชีวิตจะราบรื่น ตอนดึกๆ รถเมล์เล็กมักจะขับปาดเอี้ยดอ้าด เหวี่ยงไปมา มีคู่กรณีเป็นพวกแท้กซี่

แล้วก็โดนจริงๆ จำได้เลย เรากลับจากการเที่ยวถ่ายรูป ต่อรถเมล์มาเรื่อย นั่งรถกลับมาแบบเพลียๆ วันนี้มันขับแข่งกัน จนมันขึ้นฟุตบาท จอดที่ตู้โทรศัพท์ แล้วพวกก็ลงมาเอาท่อโช้คมอไซฟาดทั้งข้างรถและขึ้นมาหาคนขับ ตอนแรกเข้าใจว่าตาบอดแน่ เพราะแสบตามีเลือดออก มองไม่เห็น เราน่ะร้องไห้ พนมมือ นอนคุดคู้หัวมุดพื้น ร้องขอชีวิต ตอนแรกเหมือนจะโดนดึงกระเป๋าใส่กล้องไปด้วย แต่มันเตะสวนกลับมา แล้วก็ลากเราลงรถทิ้งข้างถนน พอมันไปกันหมด เราหันไปหันมา ไม่มีใครเลย

ยังดีนะที่ยังกะเผกๆ เดินตามป้ายบอกทางจนถึงที่พักได้ แต่สมเพชตัวเอง ขนาด รปภ ยังจำไม่ได้ พยายามจะถามๆๆ ไม่ยอมให้เข้าหอพัก แต่เรามีคีย์การ์ดแตะเข้าได้ เลยเหมือนจะเดินตามไปถึงห้อง พอรู้ว่าเราเป็นคนเช่าห้องจริงๆ ก็เลยชิ่งพูดเป็นช่วยซื้อของ ถือของให้ โธ่

ไม่มีคดีเกิดขึ้น ตั๋วที่ฉีกให้ก็เลอะเลือดยับไปละ ที่เกิดเหตุ ผ่านไปกี่วันๆ จนย้ายหอพัก ก็ยังเป็นแบบนั้น ไม่มีการรักษา อะไรคือสามสิบบาทรักษาทุกโรค (มันเพิ่งมีนิ) และเรื่องนี้พ่อแม่ก็ไม่รู้ (ตอนแรกจะโทรไปบอก แต่ไม่ดีกว่า) ประกันที่ทำ เข้าใจผิดว่าครอบคลุมอุบัติเหตุ เราก็โชคดีบ้าง หน้าไม่ปูด ตาไม่บอด กระดูกไม่หัก กล้องบอดีไม่พังแต่เลนส์แตก รอยตามตัวใส่สูทไปเรียนก็พอบังได้ ก็เคล็ดๆ เดินนั่งย่องๆ อยู่หลายวัน ไปสอบได้ ส่วนเวลาตะวันตกดินก็ไม่กล้าออกไปไหน รถที่มีปัญหาก็ไม่เจอแล้ว (หรือแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ส่วนนึงคือย้ายหอพัก น่งรถสายอื่น)

แทบทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเอี้ยดอ้าดบนถนน หรือที่ไหนๆ สิ่งแรกที่แว้บเข้ามาในสมอง "...ต้องขับรถแบบไหน?" "...จะทำทำไม?" ต่อมาคือ ช้อค ตกใจ หมดแรง (เราเป็นคนไม่เคยเจอผี แต่ถ้าอยู่ในบางที่ เสียง ภาพ แว้บๆ ทำเรานั่งย่อปิดหูปิดตา เจ็บอก ขาอ่อนแรงอยู่เหมือนกัน) มันจะมีอะไรแบบนี้ติดอยู่ในชีวิตมาตลอด แต่แปลกนะ เวลากลับบ้านนอก ขี่จักรยาน มอไซได้ แบบ perspective ของคนที่โตขึ้น มันคำนวนความเสี่ยงได้ ลานตามันบอกทุกอย่างข้างหน้าให้ใช้ถนนระมัดระวังได้ แต่ก็ไม่กล้าขับรถอยู่ดี

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ทุกวันนี้ สำหรับเรา การใช้ถนน เราให้คนอื่นไปส่ง ติดรถเขาบ้าง ขี่รถเองบ้าง ปมด้อยพวกขับรถไม่เป็นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว มันมีรถเรียกผ่านแอพนี่ บ้านนอกมีให้บริการแล้ว แต่อาการหลอนเสียงเอี้ยดอ้าดก็ยังมี

เราเคยทำงานสื่อเกี่ยวกับกีฬา เวลานั่งเฝ้าทำงานดึกๆ  ก็จะมีเทปพวกเล่นสเกตซิกแซกหลบกรวยที่ตั้งถี่ๆ ฉายซ้ำๆ ตอนเรากลับมาอยู่บ้านนอก เวลาว่างๆ จากธุระในเมือง ก็เลยชอบไปนั่งดูคนเล่นสเกต มันก็ไม่มีอะไร ผ่านเป็นสิบๆ ปี รุ่นสู่รุ่น ก็ไม่เคยเห็นใครเอาล้อสเกตมาถูพื้นให้สึก เปลืองเงินเปลี่ยนใหม่เลย มันเล่นกันเรียบร้อยดี

เราก็แค่คนนั่งพักผ่อนหย่อนใจอ่ะนะ ไม่ได้มีส่วนได้เสีย อำนาจการเมืองอะไร ถ้ามีสิ่งใดไม่พึงปราถนาเราก็ไป ที่พักผ่อนหย่อนใจสาธารณะก็มีที่อื่น แต่มันมืด เปลี่ยว กล้องไม่มี แค่นั้นล่ะ

ที่ผ่านมา น่าจะช่วงโควิด ก็เริ่มมีพวกที่เอาสเกตบอร์ดมาเล่นบ้าง เพราะคนไม่กล้ารวมตัว เลยเสร็จเขา พวกนี้มันจะลากของมากระโดด พอมันถ่ายคลิปจนพอใจมันก็ไป กระเบื้องแตก บิ่น ของเสียหาย แล้วเสียงก็โคตรดัง ทั้งเสียงปึงปัง และวาจาคน เราน่ะย้ายที่นั่งพักผ่อน มันก็ยังจะตามมาอีก แต่พวกนี่ไม่ได้อยู่นาน ถึงเวลาก็หายไป

เมื่อเวลามาถึง โควิดเริ่มจาง คนเริ่มมาใช้พื้นที่ ที่ที่เราชอบนั่งพัก มันก็มีความไม่เหงา ปกติสุขเหมือนเดิม แต่ไม่นาน พวกใหม่ก็เข้ามา วัยโตขึ้นมาหน่อย ที่เล่นอยู่ก็น่าจะเป็นเซิฟสเกต (เพราะเคยเห็นนักการเมืองเล่นโชว์อยู่) แรกๆ พวกนี้ไม่มีปัญหาหรอก เพราะมันไม่ครูดตราดใส่พื้นให้เราหลอน หลังๆ มันเริ่มล่ะ เอาสเกตบอร์ดสไลด์พื้นเอียดอ้าด มีความสุขขขขขขขเหลือเกินนนน

ด้วยความปราถนาที่จะให้มันหายรู้สึกหลอน ก็เลยพยายามทน ทนมาเรื่อยๆ ล่ะ พยายามไม่มอง ข่มใจ หาอย่างอื่นทำ พลางทำให้ชิน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เริ่มกัดฟันเครียด ฝันร้าย นอนไม่ได้ถ้าไม่กินยา และอยู่ๆ ก็มีความคิดลบกับพวกเขา (เขาไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เคยฝันว่าโดนพวกมันเอาสเกตบอรดรุมฟาดจนภาพตัด) เราแพ้ตัวเอง อาการหลอนยังอยู่ และมันชนะเรา เราก็เลยหายไป ช่วงเวลาว่างในการอยู่ที่ตรงนี้คือต้องไปทำอย่างอื่นทดแทน เรามีฤกษยามเวลาดีร้ายที่ถือมาตลอด เราพยายามไม่กลับบ้านในช่วงเวลานี้ ก็เลยต้องเสี่ยงไปอยู่ที่อื่น ตรงนั้น ตรงนี้ เน้นร้านสะดวกซื้อ แสงสว่างๆ

ที่พิมพ์กระทู้ตอนนี้คือ สองเดือนกว่าแล้ว ที่พอเลี่ยงเสียงเอี้ยดอ้าดได้ ก็รู้สึกดีขึ้น

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่