ผู้นำฝ่ายค้านหนุนศึกษา MOU 43-44 ให้รอบด้าน ส่งต่อให้รัฐบาลใหม่
.
.
ผู้นำฝ่ายค้านหนุนตั้ง กมธ.ศึกษา MOU 43-44 ให้รอบด้าน ส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ ย้ำต้นตอปัญหาอยู่ที่ความชอบธรรมของรัฐบาลปัจจุบัน ความขัดแย้งของปชช. 2 ประเทศ เกิดขึ้นเพราะผู้นำ
.
วันนี้ (28 ส.ค.68) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 ในวาระพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกและทางทะเล (MOU 43 และ 44)
.
นายณัฐพงษ์อภิปรายว่า ถึงแม้สมาชิกทั้งหมดในสภาฯ ร่วมกันส่งข้อสรุปและส่งให้รัฐบาล ก็เชื่อว่าปัญหาจะไม่จบ เพราะปัญหานี้มีต้นตอจากรัฐบาลปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้นำประเทศ ความขัดแย้งของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ เกิดขึ้นเพราะผู้นำ
.
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เรื่องสำคัญอย่างยิ่งคือความชอบธรรมของรัฐบาล คือความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการแก้ไขปัญหา แม้ผลการศึกษาของสภาฯ จะดีแค่ไหน แต่สุดท้ายประชาชนคนไทยไม่เชื่อถือ ต่างประเทศไม่ให้ความเคารพ ปัญหาจะได้แก้ไขหรือไม่ จึงเสนอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาก่อน หาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ และส่งต่อไปยังรัฐบาลชุดหน้า ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีความชอบธรรมสูงกว่านี้” นายณัฐพงษ์กล่าว
.
นายณัฐพงษ์ระบุว่า เข้าใจดีว่าสมาชิกบางส่วนกังวลว่า MOU เป็นกลไกที่ขาดประสิทธิภาพ แต่อย่าลืมว่า MOU ทั้ง 2 ฉบับนี้ ที่เราทำมากว่า 20 ปี ช่วยให้เราเดินหน้าปักปันเขตแดนไปแล้ว 74 หลักเขตด้วยกัน ดังนั้น สมาชิกทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งส่งข้อสรุปให้รัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรมดำเนินการแก้ไขปัญหาในตอนนี้
.
สำหรับกรอบในการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้ ประกอบด้วย
.
1. ศึกษาผลกระทบกฎหมายระหว่างประเทศ และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเวทีระหว่างประเทศ
.
2. ศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกระบวนการทวิภาคีในการเจรจาปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา
.
3. ถ้าศึกษาเรื่องการยกเลิก ก็อย่าลืมคิดเผื่อว่าจะมีกลไกใดมาแทนที่ ระหว่างที่ยังไม่มีข้อตกลงฉบับใหม่
.
4. การบริหารจัดการความมั่นคงชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ ระหว่างมีสภาวะช่องว่างที่ขาดกลไกการเดินหน้าปักปันเขตแดนระหว่างประเทศ
.
.
สภาฯ ขยับเลื่อนไปตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาเอ็มโอยู 43-44 สัปดาห์หน้า ขอไปสรรหาตัวบุคคลก่อน.
.
สภาฯ ขยับเลื่อนไปตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาเอ็มโอยู 43-44 สัปดาห์หน้า ขอไปสรรหาตัวบุคคลก่อน
.
เมื่อวันที่ 28 ส.ค.68 ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติที่เกี่ยวกับเอ็มโอยู 43 และ 44 จำนวน 5 ญัตติ โดยมีมติให้เป็นการประชุมลับ ภายหลังจากที่ประชุมอนุโลมให้ผู้เสนอญัตติทั้ง 5 ญัตติ ชี้แจงในหลักการและเหตุผลของการเสนอญัตติ และเมื่อถึงตอนอภิปรายของสมาชิกจะให้เป็นการประชุมลับ
.
จากนั้นเวลา 17.43 น. ภายหลังการประชุมลับมาประมาณ 2 ชั่วโมง ได้กลับมาเปิดการประชุมอีกครั้ง โดยนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม แจ้งผลการประชุมลับว่า
.
จากญัตติในลักษณะดังกล่าวที่มีผู้เสนอขอให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อศึกษา รวมถึงขอให้ส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาดำเนินการ แต่จากการฟังการอภิปรายของสมาชิกส่วนใหญ่ และรับการประสานงานจากตัวแทนวิปทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะต้องมีการตั้งกมธ.วิสามัญ
.
ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้มีการตั้งกมธ.ฯ วิสามัญ เพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว แต่ให้เลื่อนการตั้งกมธ.วิสามัญไปเป็นการประชุมสัปดาห์หน้า เนื่องจากตัวแทนพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ขอระยะเวลาในการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งในกมธ.วิสามัญ
.
.
ยุทธพร มอง ผลคดีนายกฯ 50:50 เหตุกม.เขียนไว้กว้าง ชี้หากไปต่อได้ ยังมีโจทย์ใหญ่รออยู่
.
‘ยุทธพร’ มอง ผลคดี ‘นายกฯ’ 50:50 ออกได้ทั้งสองทาง เหตุกฎหมายเขียนไว้กว้าง อยู่ที่ศาล รธน.วินิจฉัย ชี้ หากได้ไปต่อยังมีโจทย์ใหญ่รอให้แก้อยู่ ทั้งการเมือง-เศรษฐกิจ
.
เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 28 สิงหาคม ที่รัฐสภา นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้สัมภาษณ์ถึงการประเมินสถานการณ์ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะมีการอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงสนทนา ของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันที่ 29 สิงหาคมนี้ ว่า
.
50:50 สามารถออกไปได้ทุกทาง เพราะเรื่องกฎหมายมีการเขียนไว้กว้าง อย่างคำว่า ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ หรือคำว่าจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่นั้น ก็สามารถวินิจฉัยออกมาได้ทั้งหมด เพราะคงไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่า ซื่อสัตย์สุจริตหมายถึงอะไร ขณะเดียวกันมาตรฐานจริยธรรม ก็เป็นประเด็นที่ถูกจับขึ้นมาเหมือนกัน อยู่ที่ศาลว่าจะรับพิจารณาทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าวหรือไม่ และนายกฯ ก็ต้องผ่านพ้นทั้ง 2 ประเด็น จึงจะสามารถไปต่อได้ หากติดประเด็นใดประเด็นหนึ่งจะไปต่อไม่ได้
.
นายยุทธพร กล่าวต่อว่า ดังนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมายที่เขียนไว้กว้าง ความหมายแตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งต้องมีการพิสูจน์ ในคำวินิจฉัยของศาลว่า จะฟังข้อเท็จจริงอย่างไร ทั้งคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรี หรือคำร้องของผู้ร้อง รวมถึงการแถลงปิดคดีของทั้งสองฝ่าย และเรื่องการไต่สวนพยาน 2 ปากสำคัญ คือตัวนายกฯ และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็ต้องอยู่ที่ว่าศาลจะวินิจฉัยไปในทางใด
.
นายยุทธพร กล่าวอีกว่า หากมองในแง่ข้อกฎหมาย การวินิจฉัยให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี หรือถึงขั้นตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็ดีนั้น สิ่งเหล่านี้ต้องมีความเด็ดขาด เพราะเป็นผลที่เกิดขึ้นต่อบุคคล สำหรับข้อ 27 นั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นมาตรฐานจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ หรือจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งต้องดูเรื่องเจตนา พฤติการณ์ และความร้ายแรงของความเสียหาย ซึ่งคำชี้แจงของ นายกฯ ก็มีการอธิบายทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ เมื่อคำชี้แจง ประกอบกับการไต่สวนพยาน ศาลจะรับฟังหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจศาล จึงให้โอกาสเป็น 50:50 ออกได้ทั้งสองฝั่ง
.
“วันที่ 29 สิงหาคมไม่ว่าผลจะออกมาเป็นคุณกับนายกฯ หรือไม่ แง่ที่เป็นคุณ นายกฯ อาจจะได้ไปต่อ คือสามารถบริหารงานต่อ แต่ในแง่ความชอบธรรมทางการเมือง หรือการแก้โจทก์ต่างๆ ก็ยังมีอยู่อีกหลายอย่าง รวมถึงสัญญาณทางคดีก่อนหน้านี้ ทั้งคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คดี นายกฯ เอง และคดีชั้น 14
.
นอกจากสัญญาทางคดีแล้ว แม้นายกฯ จะได้ไปต่อ ยังมีสัญญาณทางการเมืองที่จะต้องแก้อีก คือจะทำอย่างไรให้เสถียรภาพทางการเมืองกลับมา การที่เสียงปริ่มน้ำ หรือสภาฯ ล่ม และชิงปิดประชุมสภาบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้ต้องไม่ทำให้ภาพเกิดขึ้น เพราะจะส่งกระทบความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและรัฐบาล ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ต่อไป” นายยุทธพร กล่าว
.
นายยุทธพร กล่าวต่อว่า ขณะที่มาตรา 5 และมาตรา 144 ที่อาจจะสามารถเซ็ทซีโร่ สส.ได้กว่าครึ่งสภาฯ ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาต่อว่าจะส่งผลต่อการเมืองอย่างไร แม้กระทั่งการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ภายหลังหากผลเป็นคุณต่อ นายกฯ ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องรอดู เพราะอาจจะปะทุกลับขึ้นมาอีกตอนไหน
.
ส่วนสัญญาณทางเศรษฐกิจ ก็ต้องเร่งฟื้นฟูให้กับประชาชนในระยะสั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่รอ หรือหากผลวินิจฉัยเป็นไปในเชิงลบ นายกฯ ไปต่อไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้ว จะไปต่อได้หรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลเช่นเดียวกัน ถึงจะมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ได้ นายกฯ คนใหม่ก็ต้องเผชิญ โจทย์การเมืองและเศรษฐกิจ ดังที่กล่าวไปด้วยเช่นเดียวกัน
.
.
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิด ยันทหารนายที่ 6 เหยียบระเบิดเป็นของใหม่ พบ PMN-2 อีก 2 ทุ่น
.
ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดไทย ตรวจที่เกิดเหตุ พบชิ้นส่วนเปลือกทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 ใกล้เคียงพบอีก 2 ทุ่น ยันเป็นระเบิดชนิดเดียวที่พบก่อนหน้านี้ที่เขมร ลักลอบนำมาวางไว้ใหม่
.
เมื่อวันที่ 28 ส.ค.68 ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ออกแถลงการณ์กรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เมื่อวันที่ 27 ส.ค.68 เวลา 15.45 น. ที่ฝ่ายกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางไว้ บริเวณด้านทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอยืนยันว่า เป็นทุ่นระเบิดวางใหม่
.
1. จากการสำรวจและพิสูจน์ทราบบริเวณพื้นที่เกิดเหตุฯ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิดของกองกำลังสุรนารี พบชิ้นส่วนเปลือกทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิดระเบิดอยู่กับที่ แบบ PMN-2 ตกกระจายอยู่บริเวณปากหลุมระเบิด
.
2. ตรวจพบทุ่นระเบิด สังหารบุคคลชนิดระเบิดอยู่กับที่แบบ PMN-2 เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ทุ่น ณ บริเวณพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งมีสภาพใหม่โดยสังเกตได้จากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
.
2.1 สีของตัวทุ่นระเบิด ยังมีความเขียวสด
.
2.2 ตัวอักษร และตัวเลขที่ปรากฏบนตัวทุ่นระเบิดฯ ยังมีความคมชัดเจน
.
2.3 สลักนิรภัยและองค์ประกอบต่าง ๆ ของทุ่นระเบิดฯ ยังมีสภาพใหม่
.
3. รูปแบบการวางทุ่นระเบิดฯ เป็นการวางในรูปแบบเดิมที่กัมพูชาใช้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล กล่าวคือ มีลักษณะการวางเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีประมาณ 2-3 ทุ่น ซึ่งการวางลักษณะนี้ เป็นสิ่งบ่งบอกถึงเจตนามุ่งทำร้ายทหารไทยอย่างชัดเจน
.
4. พื้นที่เกิดเหตุ เป็นพื้นที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ได้ดำเนินการเก็บกู้กวาดล้างทุ่นระเบิดไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2563 และไม่มีการพบทุ่นระเบิด PMN-2 ในการปฏิบัติงาน ซึ่งได้รายงานให้ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ทราบเรียบร้อยแล้ว
JJNY : 5in1 หนุนศึกษา MOU 43-44│สภาฯเลื่อนตั้งกมธ.│ยุทธพรมอง 50:50│ยันเหยียบระเบิดเป็นของใหม่│ภูเขาไฟ ‘ชินโมเอะ’ปะทุ
.
วันนี้ (28 ส.ค.68) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 ในวาระพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกและทางทะเล (MOU 43 และ 44)
.
นายณัฐพงษ์อภิปรายว่า ถึงแม้สมาชิกทั้งหมดในสภาฯ ร่วมกันส่งข้อสรุปและส่งให้รัฐบาล ก็เชื่อว่าปัญหาจะไม่จบ เพราะปัญหานี้มีต้นตอจากรัฐบาลปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้นำประเทศ ความขัดแย้งของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ เกิดขึ้นเพราะผู้นำ
.
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เรื่องสำคัญอย่างยิ่งคือความชอบธรรมของรัฐบาล คือความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการแก้ไขปัญหา แม้ผลการศึกษาของสภาฯ จะดีแค่ไหน แต่สุดท้ายประชาชนคนไทยไม่เชื่อถือ ต่างประเทศไม่ให้ความเคารพ ปัญหาจะได้แก้ไขหรือไม่ จึงเสนอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาก่อน หาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ และส่งต่อไปยังรัฐบาลชุดหน้า ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีความชอบธรรมสูงกว่านี้” นายณัฐพงษ์กล่าว
.
นายณัฐพงษ์ระบุว่า เข้าใจดีว่าสมาชิกบางส่วนกังวลว่า MOU เป็นกลไกที่ขาดประสิทธิภาพ แต่อย่าลืมว่า MOU ทั้ง 2 ฉบับนี้ ที่เราทำมากว่า 20 ปี ช่วยให้เราเดินหน้าปักปันเขตแดนไปแล้ว 74 หลักเขตด้วยกัน ดังนั้น สมาชิกทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งส่งข้อสรุปให้รัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรมดำเนินการแก้ไขปัญหาในตอนนี้
.
สำหรับกรอบในการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้ ประกอบด้วย
.
1. ศึกษาผลกระทบกฎหมายระหว่างประเทศ และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเวทีระหว่างประเทศ
.
2. ศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกระบวนการทวิภาคีในการเจรจาปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา
.
3. ถ้าศึกษาเรื่องการยกเลิก ก็อย่าลืมคิดเผื่อว่าจะมีกลไกใดมาแทนที่ ระหว่างที่ยังไม่มีข้อตกลงฉบับใหม่
.
4. การบริหารจัดการความมั่นคงชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ ระหว่างมีสภาวะช่องว่างที่ขาดกลไกการเดินหน้าปักปันเขตแดนระหว่างประเทศ
.
เมื่อวันที่ 28 ส.ค.68 ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ออกแถลงการณ์กรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เมื่อวันที่ 27 ส.ค.68 เวลา 15.45 น. ที่ฝ่ายกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางไว้ บริเวณด้านทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอยืนยันว่า เป็นทุ่นระเบิดวางใหม่
.
1. จากการสำรวจและพิสูจน์ทราบบริเวณพื้นที่เกิดเหตุฯ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิดของกองกำลังสุรนารี พบชิ้นส่วนเปลือกทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิดระเบิดอยู่กับที่ แบบ PMN-2 ตกกระจายอยู่บริเวณปากหลุมระเบิด
.
2. ตรวจพบทุ่นระเบิด สังหารบุคคลชนิดระเบิดอยู่กับที่แบบ PMN-2 เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ทุ่น ณ บริเวณพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งมีสภาพใหม่โดยสังเกตได้จากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
.
2.1 สีของตัวทุ่นระเบิด ยังมีความเขียวสด
.
.
.
3. รูปแบบการวางทุ่นระเบิดฯ เป็นการวางในรูปแบบเดิมที่กัมพูชาใช้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล กล่าวคือ มีลักษณะการวางเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีประมาณ 2-3 ทุ่น ซึ่งการวางลักษณะนี้ เป็นสิ่งบ่งบอกถึงเจตนามุ่งทำร้ายทหารไทยอย่างชัดเจน
.
4. พื้นที่เกิดเหตุ เป็นพื้นที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ได้ดำเนินการเก็บกู้กวาดล้างทุ่นระเบิดไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2563 และไม่มีการพบทุ่นระเบิด PMN-2 ในการปฏิบัติงาน ซึ่งได้รายงานให้ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ทราบเรียบร้อยแล้ว