ปราณประมูล” เบื้องหลังคนสำคัญ “ละคร” ถูกบีบรอบตัว ต้องทำ “พรีเมียม” ให้คนคืนจอ
“บทละคร” เป็นเบื้องหลังสำคัญของละครแต่ละเรื่อง ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์
คนเขียนบทเป็น “คนเบื้องหลัง” ที่แทบจะไม่มีคนรู้จักด้วยซ้ำไ
แต่ใครจะรู้ว่า “บทละคร” หลายเรื่องกลับทรงอิทธิพลมาก ในธุรกิจละครโทรทัศน์ของไทย
ชื่อของ “ปราณประมูล” หรือ ทิพย์ธิดา ศรัทธาทิพย์ อาจปรากฏอยู่ท้ายจอ ตอนที่ละครกำลังจะจบลง
แต่นอกจอ ชื่อของ “ปราณประมูล” อยู่ในแถวหน้าของมือเขียนบทละครของเมืองไทย
หากนับเวลาจากบทละครเรื่องแรก ใน พ.ศ.2525 จนถึงวันนี้ พ.ศ.2567 มีบทละครที่ผ่านมือเธอมาแล้วมากถึง 70 เรื่อง
มีนักแสดงนับคนไม่ถ้วน ที่แสดงตามบทที่เธอเขียน และความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาเป็นลำดับ
เรานัดคุยกับเธอในตอนสายวันหนึ่ง
ขณะที่บทละครเรื่องล่าสุด “พรหมพยศ” ของช่อง 7 เพิ่งจบไปได้ไม่นาน
และเป็นการกลับมาเขียนบทละครให้ช่อง 7 อีกครั้ง หลังห่างหายไปนานกว่าสิบปี
เธอเล่าว่า ความเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัล ที่มีผลต่อคนเขียนบทละครโทรทัศน์ยังมีให้เห็นไม่มากนัก
แต่กว่า 40 ปีของเธอ กับงานด้านนี้ การเปลี่ยนแปลงการทำงานให้แต่ละช่อง เกิดขึ้นมากกว่า โดยเฉพาะในรอบ 20 ปีมานี้
AI ไม่น่ากลัว เพราะเป็นแค่ผู้รับใช้
เราชวนคุยคำถามแรกหลังมีกระแส AI จะเข้ามาทดแทนคนทำงานศิลปะ
โดยเฉพาะคนทำงานเขียน ที่อนาคตอาจจะถูก AI เข้ามาแย่งผลงาน
เธอบอกว่าไม่กลัว เพราะมันจะมาเป็นผู้รับใช้ต่างหาก
หมายความว่า ข้อมูลที่ AI มีและประมวลผลออกมา มันต้องเคยดู เคยเห็น มีสิ่งนี้ในข้อมูลของมัน มันจึงจะสร้างออกมาได้
แต่มนุษย์เราสามารถคิดในสิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น AI คืออุปกรณ์ เป็นเครื่องมือของเรา”
วันก่อนไปอ่านเจอว่า AI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเราทำงานบ้าน
ช่วยล้างจาน ทำกับข้าว และถูบ้าน แล้วให้เราไปวาดรูป คิดบทกวี เขียนนวนิยาย
ไม่ใช่ให้ AI ไปเขียนนวนิยาย บทกวี หรือวาดรูป แล้วให้เราไปล้างจาน ถูบ้าน
ซึ่งอ่านแล้วก็คิดว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ หน้าที่ AI มันต้องเป็นแบบนี้ ต้องมารับภาระในส่วนที่เราไม่อยากทำ
ทีวีจะอยู่รอด ถ้าเนื้อหาดี-ทำให้พรีเมียม
เมื่อถามถึงความบันเทิงจากละครไทย ที่ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ สตรีมมิ่ง
และแม้แต่สื่อสังคมออนไลน์ เข้ามาแชร์คนดูไปจำนวนมาก จะกระทบหรือไม่
เธอมองว่า ละครไทยยังคงเป็นทางหลักของคนไทย สำหรับตัวเธอแทบจะไม่ได้สนใจดูทีวีมากนัก
เว้นแต่มีละคร หรือชิ้นงาน ที่มีเนื้อหาดีหรือน่าสนใจ เหมือนที่คนไทยส่วนใหญ่ดูทีวีเพื่อความบันเทิง สนุกสนาน
หรือหากในแพลตฟอร์มอื่น มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ก็เลือกที่จะไปดูแบบนั้น
เช่น โปรดักชั่นใหญ่พอ หรือเรื่องนี้อยากดูทั้งบ้าน พ่อแม่ลูกหลานอยากดูพร้อมกัน
เพราะเดี๋ยวนี้ต่อให้มีทีวี คนก็ดูเนื้อหาและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน คนโน้นไปดูข่าวที่ห้องตัวเอง คนนี้ไปดูไอ้นี่ในครัว
แต่จะทำอย่างไรให้คนทั้งบ้าน มาเปิดทีวีแล้วนั่งดูด้วยกัน หรือแม้แต่มีทีวีในบ้าน
แต่คนที่อยู่ในครัว ก็เปิดช่องเดียวกัน แสดงว่า คอนเทนต์นั้นมันจะต้องเจ๋งมาก”
“สปอนเซอร์” ย้ายจากทีวีไป “ออนไลน์”
อีกสิ่งหนึ่งที่คนทำทีวีต้องเข้าใจ คือเรื่องสปอนเซอร์ ทุกวันนี้คนเขาไม่ซื้อสปอนเซอร์ทีวีอย่างเดียวแล้ว
เพราะมีตัวแบ่ง เหมือนเมื่อก่อนที่เราอ่านนิตยสาร หนังสือพิมพ์ สปอนเซอร์ก็ไปลงที่สิ่งพิมพ์เหล่านั้น
ตอนหลังเมื่อเกิดสื่อดิจิทัล สื่อออนไลน์ มากขึ้น คนก็จะไปดูออนไลน์ หนังสือก็ค่อยๆ เจ๊งไป เพราะสปอนเซอร์ไม่ลงแล้ว
อีกปัญหาหนึ่งของทีวีก็คือ เรื่องค่าสัมปทาน ที่ กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)
กำหนดมาให้กับแต่ละช่อง ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ ไม่ทราบว่า เขาเริ่มต้นที่จะเก็บเงินแพงมหาศาล คิดคำนวณจากหลักอะไร
หรือจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดของช่องที่มีสปอนเซอร์ดีที่สุด ในสมัยที่เขาเริ่มคิดหรือเปล่า
ซึ่งปัจจุบันตัวเลขนั้นไม่มีอีกแล้ว และวันนี้ทีวีแต่ละช่องเขาจะจ่ายค่าสัมปทานยังไง
ในเมื่อสปอนเซอร์ที่เคยมีมากมาย หายไปแล้ว และพอคนไปดูออนไลน์มาก ๆ สปอนเซอร์ก็เทไปตรงนั้นอีก
“เนื้อหาทีวี” ถูกจำกัด “สตรีมมิ่ง” คู่แข่งสุดหิน
ด้วยภาวะเศรษฐกิจ และธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ทำให้เธอมองว่า ทีวีต้องผลิตเนื้อหาที่ดี เพื่อให้คนยังคงดูทีวีอยู่
และเพื่อให้สปอนเซอร์ไม่หนีไปไหน แต่เนื้อหากลับถูกจำกัดด้วยระเบียบ กฎเกณฑ์ กฎหมาย และจริยธรรมทางสังคม
ขณะที่สตรีมมิ่ง หรือเนื้อหาทางออนไลน์ นำเสนอได้เกือบทุกรูปแบบ
อันนี้อยากบอกว่า เป็นจุดแข็งของสตรีมมิ่ง ที่ออกทางทีวีไม่ได้ หรืออย่างละครเรื่องบางกอกคณิกา (ช่อง ONE) ก็ตามเดิมเขาคิดว่าจะทำเพื่อสตรีมมิ่งเท่านั้น จึงมีเพียง 8 ตอน แต่พอเขาทำไปก็รู้สึกว่า ลงทุนแล้วเอามาฉายทีวีเสียด้วยเถอะ ในทีวีก็ต้องตัดบางอย่างออก ถ้าดูในช่องดิจิทัลของทางช่อง ONE จะมีฉบับจริงที่ไม่ดูดอะไรเลย แล้วก็ภาพปล่อยเต็ม
เพราะฉะนั้นจุดที่ทีวีทั่วไปเสียเปรียบ ช่อง Netflix ก็คือ อะไรที่วิจารณ์สังคมเยอะๆ หรืออาจจะทำให้ กสทช.ไม่ชอบ ต้องไม่ทำ พวกนี้จึงมีสิทธิทำได้ เช่น เรื่องเซ็กซ์ ปัจจุบันก็มีเรื่อง หมอ ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ เขาก็ทำเรื่องนี้ได้ เพราะเขาพูดเรื่องเซ็กซ์ได้ ในขณะที่ทีวีช่วงละครหลังข่าวพูดเรื่องแบบนี้ไม่ได้
สมัยนี้จะมีละคร 4 ทุ่ม จะทำอะไรได้ทุกอย่าง ละครวายผู้ชายปล้ำจูบกัน อะไรอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าอยู่ช่วงหลังข่าว ช่วงครอบครัวจะออกไม่ได้ แต่ถ้าเป็นช่องสตรีมมิ่ง วิจารณ์สังคม เรื่องศาสนา เช่น เรื่องสาธุ อะไรแบบนี้ทำได้เต็มที่ เขาได้เปรียบกว่าเรา
กรอบสังคม-กฎหมาย ไม่มีอาชีพไหนแตะได้เลย
พี่ว่าจริง ๆ แล้ว คนทำละครทีวีก็พยายามแข่งขันกันอยู่ แต่ทีวีมันมีกรอบเยอะมาก เช่น ละครเรื่อง วันที่ฝนพร่างพราย ที่ออกทางช่อง 3 (2567) เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์ ก็ถูกตำหนิ พวกที่ทำสังคมสงเคราะห์มืออาชีพเขามองว่า นางเอกทำผิดจริยธรรมจรรยา ที่เข้าไปมีความสัมพันธ์กับเคส หรือมีความเป็นกันเองกับเคสเยอะๆ แต่เขาอาจจะไม่ได้ระวังตรงนั้นมากนัก ก็เลยทำให้ถูกโจมตี
ผู้จัดละครบ่นว่า ทำทีวีไทยไม่รุ่ง ทำได้ไม่ครบทุกเรื่องจริง ๆ ต้องระวังไปหมด
เพราะคนที่ทำแต่ละอาชีพก็จะออกมาด่า สมาคมโน้นสมาคมนี้ สมาคมสัตว์ สมาคมแม่ไก่ (หัวเราะ) ก็ด่าเราได้หมดในทีวีธรรมดา แต่ถ้าเป็นช่องสตรีมมิ่งมันอิสระ ซึ่งคนทำช่องสตรีมมิ่งเขาก็ต้องหาข้อมูลที่รอบด้านเหมือนกัน เพราะยิ่งออกไปทั่วโลกขนาดนั้น ถ้าผิดพลาด โดนทัวร์ลงเลยนะ
ข้อจำกัด “เนื้อหา-เงินทุน” ปมแต่ละช่องลดละคร
ปราณประมูลเล่าว่า จำนวนของละครไทยถูกลดลง
เพราะไม่มีสปอนเซอร์ เพราะขาดทุน ช่องก็ขาดทุน จึงต้องทำให้พรีเมียม คือทำให้ดีจริง ๆ จนคนต้องมาดู
เมื่อถึงเวลาที่ไม่มีสปอนเซอร์ ละครก็ต้องถูกเท ช่องก็ต้องหาคอนเทนต์อะไรที่อยู่ได้
แม้แต่เนื้อหาที่ไม่ใช่ละคร เช่น ข่าวทุกวันนี้ก็มีปัญหาในเรื่องธุรกิจ เงินทุน ทำให้มีการเลิกจ้างงานจำนวนมาก
ถ้ามองเข้าไปก็จะเห็นว่า ช่องข่าวที่มีคุณภาพก็มีสปอนเซอร์น้อย แต่ช่องที่เขาเน้นเรื่องชีวิตคน เรื่องครอบครัว ข่าวอาชญากรรม มันก็ขายได้
และคนเข้ามาดูเยอะ สปอนเซอร์ก็จะไปตรงนั้น อันนี้มันเป็นปัญหาโดยรวม ที่สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ต้องเจออยู่
สปอนเซอร์เลือกซื้อโฆษณา เพราะคนเขียนบท
หลายคนอาจมองว่า “คนเขียนบทละคร” คงไม่ต้องเกี่ยวข้องอะไรกับธุรกิจละคร อาจไม่จริงเสมอไป
เพราะหลายครั้ง หลายเรื่อง และหลายคน ที่ “คนเขียนบทละคร” ถูกกำหนดด้วยสปอนเซอร์
พี่เคยเป็นหนึ่งในแบบนั้นนะ คือหมายถึงว่า สปอนเซอร์เขาดูคนทำบทด้วยนะ สปอนเซอร์เคยบอกว่า
ถ้าเป็นเรื่องที่พี่เขียน เขาจะซื้อ แต่ถ้าในความ Mass มาก ๆ
พี่ก็ไม่ขนาดนั้น คือถ้า Mass จริง ๆ ก็ต้อง พี่แดง ศัลยา หรือ ยิ่งยศ นี่เขาMass มาก
แต่หลังๆ ก็เริ่มมีเด็กใหม่ๆ ขึ้นมาแล้ว เราก็ดรอปไปตามเวลา แต่เมื่อก่อนในเอเจนซี่ ชื่อพี่ก็เป็นที่ขายได้อยู่ ประมาณหนึ่งเหมือนกัน
คำถามสุดท้ายกับเธอ เหมือนกลับไปที่คำถามแรกๆ ว่ากลัวอะไรกับความเปลี่ยนไปของเทคโนโลยีที่ถาโถมเข้ามามากมายในวงการบันเทิง
พี่ว่าถ้าเรามี Passion ในสิ่งที่เราทำ เรามีเป้าหมาย มีความต้องการ
อย่างที่พี่มาเขียนบทละครให้ Thai PBS คือตอนแรกพี่ก็เขียนละครในช่อง Mass
แล้วพี่ก็ชอบดูละครไทยพีบีเอส พี
[สัมภาษณ์] มุมมองคนเขียนบทละครทีวี