สวัสดีครับเพิ่ลๆ อิอิ วันนี้มาแชร์ประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับ รถยนต์เครื่องร้อนกันครับ ซึ่งน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่านไม่มากก็น้อยครับ
ผมไม่ใช่ช่างนะ แต่เป็นผู้ประสบเหตุ
-ประสบการณ์ที่ 1
เครื่องร้อนเพราะ น้ำในระบบหาย ทำให้น้ำในระบบระบายความร้อนไม่เพียงพอ วิธีแก้ที่ถูกต้อง คือ การหาจุดรั่วให้เจอ เพราะโดยปกติ น้ำในระบบจะหายออกไปยากมากๆ ถ้าไม่รั่ว ใช้ระยะเวลาเป็นปี กว่าน้ำจะหายไปจากหม้อพักจนหมด ซึ่งการเช็ครั่วที่ถูกต้อง หรือการใช้ เครื่องมือพิเศษ กระบอกลม อัดแรงดันเข้าไปที่หม้อน้ำ และทิ้งไว้สักระยะ แรงดันจะต้องไม่ตกลง ถือว่าปกติ แต่ถ้ามีการรั่วเกิดขึ้น เราก็จะเห็นเลยว่า จะมีน้ำรั่วออกมาที่จุดใดจุดนึง หากใครใช้น้ำยาหล่อเย็นที่เป็นสี ก็จะเห็นชัดขึ้นครับ สุดท้ายพบรอยรั่วที่ท่อน้ำหม้อต้มแก๊สครับ ก็แก้ไขหาย
-ประสบการณ์ที่ 2
เครื่องร้อนเพราะพัดลมหม้อน้ำไม่ทำงาน รถที่ผมใช้ มีอายุการใช้งานมากกว่า 13ปี ทำให้อุปกรณ์ในรถเริ่มเสื่อมสภาพ ตัวพัดลม ก็ออกอาการมานานแล้ว ที่ผมทราบเพราะ ผมมีกล่อง OBD2 คอยบอกอุณหภูมิหม้อน้ำ ทำให้เห็นความผิดปกติ เพราะตัวเลขที่ผมคุ้นเคย คือ รถผมจะมีความร้อนไม่เกิน 90 องศา เวลาเปิดแอร์ แต่อยู่ๆมา ความร้อนค่อยๆเพิ่มเป็น 91 ไปจนถึง 93 ผมจึงตัดสินใจปรึกษาช่าง ก่อนที่มันจะพังกลางทาง ซึ่งก็พบว่า พัดลมเริ่มทำรอบความเร็วไม่ได้ จึงระบายความร้อยได้ไม่ดีครับ จึงต้องเปลี่ยนพัดลมใหม่ครับ ต้องขอบคุณ กล่อง OBD ที่ช่วย Monitor ให้เรารู้ก่อนที่จะเกิดอาการหนักพังกลางทางนี่ยุ่งเลย
-ประสบการณ์ที่ 3
เครื่องร้อน เพราะท่อยางแตก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ผมจอดรถติดเครื่องแล้วลงไปทำธุระ และให้ลูกอยู่รอในรถ ผมลงไปประมาณ 15 นาที กลับมาพบว่า แอร์ในรถ ไม่เย็น และดูอุณหภูมิที่กล่อง OBD2 พุ่งขึ้นไปถึง 110 องศา เมื่อผมเห็นดังนั้น ตัดสินใจ ดับเครื่องทันที และเปิดฝากระโปรงรถดู พบว่า มีไอน้ำพุ่งออกมาจากทางหลังเครื่อง
สิ่งที่ผมทำ
-เช็คถังน้ำในหม้อพัก พบว่า น้ำหายหมดเกลี้ยง
-จับฝาหม้อน้ำ ไม่ร้อน ปกติจะร้อนมาก
-รอจนเครื่องเย็นและ ทำการเปิดฝาหม้อน้ำ พบว่าน้ำในหม้อน้ำก็หาย ตรงนี้สำคัญมากครับ เวลาเครื่องฮีทมากๆ ห้ามคีบเติมน้ำเข้าไปเด็ดขาด เพราะมีโอกาสที่จะทำให้ฝาสูบโก่งได้ เราต้องรอให้เครื่องเย็นลงเหลือความร้อนประมาณ 50 องศา จึงค่อยทำการเติมน้ำ
-ผมนั่งรถประมาณ 1.30 ชั่วโมงกว่าเครื่องจะเริ่มเย็น ผมจึงไปซื้อน้ำจาก 7-11 มาเติม และขับกลับบ้าน ให้ได้ก่อน
-พอรุ่งเช้า ก็มาเช็คดูอีกทีพบว่า มีคราบสีเขียว ของน้ำยาหล่อเย็นที่หลังเครื่อง ก็ใช้มือ ลูบๆคลำๆ ท่อน้ำทั้งหมด จนพบกว่า มีร้อยแตกเล็กๆที่หลังท่อยางก่อนเข้าเครื่อง ผมจึงแกะด้วยตัวเอง แล้วไปหาซื้อท่อยางที่ร้านอะไหล่ครับ ก็ใช้เงินไปร้รอยกว่าบาท ก็ได้ท่อยางมาเปลี่ยนครับ จากนั้นก็เติมน้ำหล่อเย็น ทำการไล่อากาศ ก็กลับมาใช้งานได้ปกติครับ

-ทดลองติดเครื่องและเปิดฝาหม้อน้ำ เพื่อเช็คฝาสูบโก่ง พบกว่า ไม่มีอาการ อากาศ ดัน หรือคราบน้ำมันออกมาที่หม้อน้ำ จึงน่าจะยืนยันได้ว่า ฝาสูบยังไม่โก่ง
สรุปเรื่องราวทั้ง 3 เหตุการณ์ ตัวที่ช่วยชีวิตไม่ให้ผมเสียเงินหลักหมื่น จากการซ่อมฝาสูบโก่ง ก็คือตัวกล่อง OBD2 นั่นเองครับ
ซึ่งผมขอเปรียบเจ้ากล่อง OBD2 เสมือนเป็นพยาบาลประจำรถครับ เพราะช่วยเตือนเหตุการณ์ผิดปกติก่อนล่วงหน้า
ล่าสุด พบว่า ไฟแบตเตอรี่ สวิงไปมา ระหว่าง 11v-14v สุดท้าย วันต่อมา ไฟในระบบ ก็โชว์ที่ 12 V จึงรู้ทันทีว่า ไดชาร์ฺจไม่ทำงาน ผมจึงสามารถขับรถเข้าไปยังอู่ไดชาร์จ ได้ทันก่อน ที่รถจะใช้ไฟจากแบเตอรี่จนหมด ไม่งั้นเราก็จะต้องเสียเงินเปลี่ยนแบเตอรี่ด้วย เพราะหากเราไม่รู้ว่ารถเรามีความผิดปกติอะไรขึ้น กว่าเราจะรู้ ส่วนใหญ่แล้ว รถก็จะวิ่งไปต่อไม่ได้แล้วครับ
กล่อง OBD2 เสมือนเป็นพยาบาลประจำรถจริงๆครับ คุ้มมาก ลองไปหามาติดกันนะครับ
แชร์ประสบการณ์ รถยนต์เครื่องฮีท (ร้อนมากๆ เกิน 110 องศา)
ผมไม่ใช่ช่างนะ แต่เป็นผู้ประสบเหตุ
-ประสบการณ์ที่ 1
เครื่องร้อนเพราะ น้ำในระบบหาย ทำให้น้ำในระบบระบายความร้อนไม่เพียงพอ วิธีแก้ที่ถูกต้อง คือ การหาจุดรั่วให้เจอ เพราะโดยปกติ น้ำในระบบจะหายออกไปยากมากๆ ถ้าไม่รั่ว ใช้ระยะเวลาเป็นปี กว่าน้ำจะหายไปจากหม้อพักจนหมด ซึ่งการเช็ครั่วที่ถูกต้อง หรือการใช้ เครื่องมือพิเศษ กระบอกลม อัดแรงดันเข้าไปที่หม้อน้ำ และทิ้งไว้สักระยะ แรงดันจะต้องไม่ตกลง ถือว่าปกติ แต่ถ้ามีการรั่วเกิดขึ้น เราก็จะเห็นเลยว่า จะมีน้ำรั่วออกมาที่จุดใดจุดนึง หากใครใช้น้ำยาหล่อเย็นที่เป็นสี ก็จะเห็นชัดขึ้นครับ สุดท้ายพบรอยรั่วที่ท่อน้ำหม้อต้มแก๊สครับ ก็แก้ไขหาย
-ประสบการณ์ที่ 2
เครื่องร้อนเพราะพัดลมหม้อน้ำไม่ทำงาน รถที่ผมใช้ มีอายุการใช้งานมากกว่า 13ปี ทำให้อุปกรณ์ในรถเริ่มเสื่อมสภาพ ตัวพัดลม ก็ออกอาการมานานแล้ว ที่ผมทราบเพราะ ผมมีกล่อง OBD2 คอยบอกอุณหภูมิหม้อน้ำ ทำให้เห็นความผิดปกติ เพราะตัวเลขที่ผมคุ้นเคย คือ รถผมจะมีความร้อนไม่เกิน 90 องศา เวลาเปิดแอร์ แต่อยู่ๆมา ความร้อนค่อยๆเพิ่มเป็น 91 ไปจนถึง 93 ผมจึงตัดสินใจปรึกษาช่าง ก่อนที่มันจะพังกลางทาง ซึ่งก็พบว่า พัดลมเริ่มทำรอบความเร็วไม่ได้ จึงระบายความร้อยได้ไม่ดีครับ จึงต้องเปลี่ยนพัดลมใหม่ครับ ต้องขอบคุณ กล่อง OBD ที่ช่วย Monitor ให้เรารู้ก่อนที่จะเกิดอาการหนักพังกลางทางนี่ยุ่งเลย
-ประสบการณ์ที่ 3
เครื่องร้อน เพราะท่อยางแตก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ผมจอดรถติดเครื่องแล้วลงไปทำธุระ และให้ลูกอยู่รอในรถ ผมลงไปประมาณ 15 นาที กลับมาพบว่า แอร์ในรถ ไม่เย็น และดูอุณหภูมิที่กล่อง OBD2 พุ่งขึ้นไปถึง 110 องศา เมื่อผมเห็นดังนั้น ตัดสินใจ ดับเครื่องทันที และเปิดฝากระโปรงรถดู พบว่า มีไอน้ำพุ่งออกมาจากทางหลังเครื่อง
สิ่งที่ผมทำ
-เช็คถังน้ำในหม้อพัก พบว่า น้ำหายหมดเกลี้ยง
-จับฝาหม้อน้ำ ไม่ร้อน ปกติจะร้อนมาก
-รอจนเครื่องเย็นและ ทำการเปิดฝาหม้อน้ำ พบว่าน้ำในหม้อน้ำก็หาย ตรงนี้สำคัญมากครับ เวลาเครื่องฮีทมากๆ ห้ามคีบเติมน้ำเข้าไปเด็ดขาด เพราะมีโอกาสที่จะทำให้ฝาสูบโก่งได้ เราต้องรอให้เครื่องเย็นลงเหลือความร้อนประมาณ 50 องศา จึงค่อยทำการเติมน้ำ
-ผมนั่งรถประมาณ 1.30 ชั่วโมงกว่าเครื่องจะเริ่มเย็น ผมจึงไปซื้อน้ำจาก 7-11 มาเติม และขับกลับบ้าน ให้ได้ก่อน
-พอรุ่งเช้า ก็มาเช็คดูอีกทีพบว่า มีคราบสีเขียว ของน้ำยาหล่อเย็นที่หลังเครื่อง ก็ใช้มือ ลูบๆคลำๆ ท่อน้ำทั้งหมด จนพบกว่า มีร้อยแตกเล็กๆที่หลังท่อยางก่อนเข้าเครื่อง ผมจึงแกะด้วยตัวเอง แล้วไปหาซื้อท่อยางที่ร้านอะไหล่ครับ ก็ใช้เงินไปร้รอยกว่าบาท ก็ได้ท่อยางมาเปลี่ยนครับ จากนั้นก็เติมน้ำหล่อเย็น ทำการไล่อากาศ ก็กลับมาใช้งานได้ปกติครับ
-ทดลองติดเครื่องและเปิดฝาหม้อน้ำ เพื่อเช็คฝาสูบโก่ง พบกว่า ไม่มีอาการ อากาศ ดัน หรือคราบน้ำมันออกมาที่หม้อน้ำ จึงน่าจะยืนยันได้ว่า ฝาสูบยังไม่โก่ง
สรุปเรื่องราวทั้ง 3 เหตุการณ์ ตัวที่ช่วยชีวิตไม่ให้ผมเสียเงินหลักหมื่น จากการซ่อมฝาสูบโก่ง ก็คือตัวกล่อง OBD2 นั่นเองครับ
ซึ่งผมขอเปรียบเจ้ากล่อง OBD2 เสมือนเป็นพยาบาลประจำรถครับ เพราะช่วยเตือนเหตุการณ์ผิดปกติก่อนล่วงหน้า
ล่าสุด พบว่า ไฟแบตเตอรี่ สวิงไปมา ระหว่าง 11v-14v สุดท้าย วันต่อมา ไฟในระบบ ก็โชว์ที่ 12 V จึงรู้ทันทีว่า ไดชาร์ฺจไม่ทำงาน ผมจึงสามารถขับรถเข้าไปยังอู่ไดชาร์จ ได้ทันก่อน ที่รถจะใช้ไฟจากแบเตอรี่จนหมด ไม่งั้นเราก็จะต้องเสียเงินเปลี่ยนแบเตอรี่ด้วย เพราะหากเราไม่รู้ว่ารถเรามีความผิดปกติอะไรขึ้น กว่าเราจะรู้ ส่วนใหญ่แล้ว รถก็จะวิ่งไปต่อไม่ได้แล้วครับ
กล่อง OBD2 เสมือนเป็นพยาบาลประจำรถจริงๆครับ คุ้มมาก ลองไปหามาติดกันนะครับ