ปรึกษาค่ะ คือเราว่างงานมา2 ปีกว่าอยากหางาน แต่ไม่ค่อยมีความรู้

ตามหัวข้อด้านบน เราว่างงานมา 2 ปีกว่าค่ะ
เหตุเนื่องด้วยปัญหาสุขภาพเราเป็น โรคซึมเศร้าค่ะ ร่างกายไม่แข็งแรงค่ะเคยอาการหนัก
ช่วงอายุ 20 ปี จนถึง 22 ปี ต้องเข้าและออกโรงพยาบาลทั้งกู้ชีพและทำการบำบัดเกือบ 2 ปีค่ะ หลังจากนั้นเราก็สามารถกลับมาทำงานได้ตอนเกือบ22จะ23แล้วและทำจนถึงอายุ 24 ปีค่ะ
( ปีนี้26 )เรากลับมาทำงานได้ประมาณ 2-3 ปี ก็มีอาการวิตกกังวลจึงออกงานค่ะ
( ที่ทำงาน toxic และเอาเปรียบ )

หลังจากนั้นเรากลับมาอยู่บ้านช่วยงานที่บ้านมาช่วงแรกและได้สมัครงานไปแล้วสอบสัมภาษณ์ กลับบ้านมาเรารู้สึกได้ว่ามีแววจะผ่านหลังจากเปิดผลงานให้ดูที่ทำจากรูปแบบสำเร็จของคนอื่นที่มีให้ใช้ทั่วไปในแอปหรือแพลตฟอร์มต่างๆ เรารู้สึกไม่ดี เมื่อเขานัดวันทำงานเราจึงปฏิเสธหลังรู้ว่าสัมภาษณ์ผ่าน ซึ่งได้บอกว่าให้คนอื่นที่มีความสามารถมากกว่าเราทำดีกว่า เรารู้สึกว่าเราทำไม่ได้เราไม่มีความรู้ (ซึ่งตอนสัมภาษณ์ก็บอกแล้วว่าที่มาแต่ละอันมาจากไหน) ตอนนั้นเกิดอาการย้ำคิดย้ำทำพูดวนแต่เรื่องความสามรถของตัวเอง วิตกกังวลเรื่องการสัมภาษณ์และคิดว่าเราจะไปทำงานได้ไหม ทำได้ดีไหม จึงเลือกปฏิเสธงานนั้นและว่างงานต่อจนถึงปัจจุบันและอยู่บ้านมาเรื่อย มีช่วยงานบ้างบางอย่างที่สามารถช่วยครอบครัวได้ (ช่วงอายุ24ปี)

** ที่จะปรึกษาคือ เราอยากทำงานหางาน แต่เราไม่มีความรู้ความสามารถ วุฒิการศึกษา อายุเยอะ บุคลิกภาพก็ไม่ดี ไม่ถึงมาตรฐาน( รู้เพราะเคยโดนปฏิเสธเพราะหน้าตามาเยอะ)

อยากขอคำแนะนำดีๆจากทุกคน ที่ผ่านไปมาช่วยให้คำปรึกษาเราได้ไหมคะ ตอนนี้เราอยากทำงาน เราหางานมาตลอดที่ทำง่ายๆ อย่างงานครัว งานแคชเชียร์ งานเสริฟอาหาร
หรืองานแอดมินตอบแชท อะไรต่างๆ ไม่ผ่านเลยหลังจากที่เขานัดสัมภาษณ์เห็นหน้าตาเรา  
หน้าตาเราแย่ลงมากจากทั้งอายุและการไม่มีเงินดูแลตัวเองและปล่อยตัว จากที่หน้าตาไม่ดีอยู่แล้วยิ่งแย่ไปใหญ่ ตอนนี้ร่างกายเราแย่จากการไม่ดูแลตัวเอง เราอยากที่จะหาเงินมาดูแลตัวเองค่ะ

มีวิธีการหางาน หรือแนะนำงาน และแนะนำการพัฒนาตนเองเพื่อหางานให้หน่อยได้ไหมคะ หรือจะแนะนำอะไรเพิ่มเติม เราอยากที่จะหาเงินเพื่อตัวเองให้รอดก่อนคิดที่จะไปดูแลพ่อแม่ซึ่งเราเป็นภาระพวกท่านอยู่ตอนนี้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ดูแล้วนะความคิดแปลก แล้วก็มาจากพื้นฐานของคนไม่รู้อะไรเลยว่าควรเลือกอะไรให้เหมาะ ดูได้จากประโยค ซีเรียสหน้าตานั่นนู่นนี่ และ เลือกแต่ทำงานง่ายๆ ที่มันไม่ได้แคร์ mental health อะไรเลย

คนเป็นซึมเศร้า มักไม่รู้ตัวว่า อะไรทำร้ายตัวเองเสมอ ต้องให้คนอื่นชี้ให้เห็นว่า จุดไหนผิด จุดไหนถูกนั่นแหละ สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรก
ไม่ใช่การหางานนะ คือ คุณต้องมองมุมให้ถูกก่อน ยิ่งไปทำงานจับฉ่าย -> โดนกดดัน -> โดนด่า -> โดนปฏิเสธ เห็นปะ?? คุณเลือกงาน ที่มันทำร้ายตัวเองอยู่อะ พอได้งานที่อาจจะ ให้ทำได้ก็อาจจะปฏิเสธอีก นั่นคือ มุมมองที่มันเกิดจากตัวเอง ยังติดอยู่ในอาการ ไม่ได้หายแน่นอน 100%

ต้องเปลี่ยน แกนความคิดตัวเองให้ได้ก่อนนะถึงจะไปใน step ถัดไป เปลี่ยนไม่ได้ก็จะยังไม่เจองานที่ดีพออยู่ดีนั่นแหละ เชื่อผมสิ ผมเคยให้คำปรึกษาคนที่หลงทางล้มเหลวมาแล้ว เขาก็จะชอบคิดกันแบบนี้แหละ คิดว่าจะต้อง พยายามทำอะไรสักอย่าง อย่างตึงเครียด และ ผลที่ได้มันแย่กว่าเดิมอีก โดยปกติอาการซึมเศร้า ทั่วไปเลยนะ ระบบความคิดจะเกิดการ ขาดช่วง หรือ ล้มเหลว -> การแก้ไขจึงเกิดจากการ ประกอบความคิดใหม่ให้อยู่ในกรอบ หรือ ตั้งแกนอันใหม่ และ ใช้มันเป็นเส้นทางชี้นำชีวิต

ที่ผมเห็นมันก็ยังปกติเลย คือ ยังอยู่กับความวิตกกังวล ในเรื่องที่ไม่สำคัญเลยจริง นอกนั้นก็การ blame ตัวเองอีกในแบบของคนป่วยที่นิยมทำกัน ถ้าแก้จุดนี้ไม่ได้ เวลาไปทำงานสิ่งนึงที่จะเกิดเสมอ น้อยใจตัวเองครับ 100% เป็นแน่นอนเวลาทำงาน

แล้วการพักเป็นสิ่งที่ควรทำด้วยซ้ำถ้าคิดว่าเป็นซึมเศร้าแล้วหยุดพักให้มันหายจริงๆ เพราะ อย่างน้อยสมองจะได้พักจริง ทำให้มันเป็นทีละอย่าง หมอที่เราเคยคุยตอนปรึกษาเรื่องเครียดหนักทำงานเยอะ ก็ให้คำแนะนำว่า ถ้าลาออกได้ก็พักยาว ไม่ต้องทำงาน แต่ถ้าลาไม่ได้ก็ต้องฝึก หรือ ขยันอ่านปรับจูนความคิดหน่อยนะ เพราะ เวลาพักสมองไม่ค่อยมี

แล้วสำหรับเด็กจบใหม่ เครียด หางานไม่ได้ หรือ ชีวิตมหาลัยไม่สวยงาม ไม่แปลกเลยที่จะ ไม่หางานหรือปล่อย gap year 1-2 ปีไม่แปลก
เพื่อนเราคนนึงเคยป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล ทำงานไม่ได้ 1-2 ปี มีได้ทั้ง โรคประจำตัว โรคที่พึ่งมาเกิด รถชน ซึมเศร้ารวมในนั้นด้วย มีอยู่พวกคนที่ยังสู้ชีวิต และ drop out ตัวเองออกจากงาน หรือ ไม่หางาน

แล้วสำหรับ ประเภทกลุ่ม ซึมเศร้าความเสี่ยงสูง เข้าโรงพยาบาลบ่อย ยัง take ยา และ ยังไม่ได้หายดี แนะนำว่า ยังไม่ต้องหางานถ้าที่บ้านยัง support ได้ ทำงานมา 10 ปีเคยต้องทำงานไปรับมือกับคนซึมเศร้ามาแล้ว ก็แนะนำไปว่า อย่าเอางานมาทำให้อาการ กำเริบ ถ้าไม่ไหวก็อย่ากดดันตัวเองเพื่อให้มีงาน คนเราเจ็บป่วย ถ้ามันจำเป็นต้องหยุดก็จงหยุด อย่าเอาความคิดว่า หยุด = ยอมแพ้มาใส่สมอง เพราะ นั่นคือสาเหตุที่จะทำให้ไม่หายป่วย

การถอยหลัง 1-2 step เพื่อวิ่งก้าวกระโดดในชีวิตจริงมันมีคนทำจริง คนที่พลาด หรือ ล้มเหลวจากสุขภาพไม่อำนวย พอเขาหายอะตอนที่ comeback is real แม้มเดินไปไกลกว่าพวกฝืนสะอีก เพราะ นี่เคยเห็นคนฝืนมาเยอะแล้ว ฝืนให้ตายล้มตายเป็นผักปลา ตายโง่ๆ ตายแบบไม่รู้เรื่องเลยสุดท้าย ล้มครั้งเดียว แต่แพ้ยาวตลอดชีวิตไม่สามารถยืนได้ด้วยขาตัวเองอีก

นี่คือ เรื่องจริงที่หาไม่ได้ยาก มีชีวิตหลายคนเคยเจอแบบนี้กันหมดถ้าใส่ใจในลายละเอียดของการเดินในชีวิต ก็จะพบเจอแบบนี้เสมอ

แล้วสมัยนี้

บริษัทเอกชน แคร์เรื่อง mental health จะตายไปครับ พวกกลัวเสียพนักงานเก่งๆ ฉลาดๆ เขาเลือกจะให้คนที่คิดว่า ทำงานหนัก หรือ เครียด หรือ เจอปัญหาชีวิตหนักๆ เลือกจะ leave with out pay และ ยื่นประกันให้ไปบำบัดหรือรักษาสุขภาพจิต เช่น ถ้ามีใครเสียชีวิต หรือ พบเจออุบัติเหตุ หรือ ตกอยู่ในสภาวะที่แบบ เคยเห็นคนตาย เหตุถการ์ณร้ายแรง สามารถขอ drop out ตัวเองโดยไม่ลาออกเพื่อไปรักษาตัวได้ ไม่ผิด

บริษัทแบบนี้ ฉีกภาพมิติ บริษัทเอกชนธรรมดาพื้นฐานที่คนไทยอาจจะน้อยมากที่ได้สัมผัสไปเลย แต่ผมได้สัมผัสมาหมดแล้ว และ รู้ว่ามันอยู่ในสังคมแบบใด เอกชนแบบใด. เพราะ บริษัทเอกชนพวกนี้ กลัวว่าจะเสียภาพลักษณ์ สั่งงานให้ทำจนพนักงานเครียดตายออกข่าว เสียเครดิต เสียชื่อเสียงนั่นเอง

คนไม่รู้ ก็จะไม่รู้ไปเรื่อยๆ เพราะ หาบริษัทแบบนี้ไม่เจอสักที หรือ ไม่พยายามมากพอจะมาถึงจุดนี้ได้จนได้เห็น มีหมดครับ

มีให้ไปเรียนโยคะ ไปเรียนทำอาหาร ไปเรียนอะไรก็ได้บริษัทยัดครอสให้ฟรี ไปแจม session ได้นะ หรือ ถ้าเขามีนัดเจอกัน club friday day Thurs day ก็ไปกัน

เขาพยายามสร้าง connection และ เชื่อมความสัมพันธ์ของพนักงานให้มันเข้าถึงกัน จะได้ทำงานร่วมกันแบบสงบสุข และ แชร์แบ่งปันแก้ไขปัญหาได้ เขาหนุนกันนะครับ

นี่แหละสิ่งที่เรียกว่า เขาแคร์ mental health ญี่ปุ่นก็ยังทำ ต่างชาติก็ทำ บริษัทไทยบางเจ้าก็ทำ เพราะ กลัวใจว่าจะไม่มีคนดีๆ สวัสดิการดีๆ ให้พนักงานมีชีวิตรอด ขาดคนงาน = บริษัทไปต่อไม่ได้ บางคนไม่ไหวจริง WFH ยาวเลยจร้าก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไร ปกติก็ทำงาน 2 วันเข้าออฟฟิศไรเงี้ยพักรักษาตัวไปก่อน

โลกมันเปลี่ยนไปแล้วในหลายโซน

แล้วถ้าหยุดพัก -> บางคนว่างเลยไปเรียนนะ ก็คือเรียนออนไลน์ เรียนอะไรก็ได้อยู่บ้าน นอกจากรักษาตัวก็ยังหา inspiration ให้ชีวิตได้พัฒนาระหว่างรักษานั่นแหละ เขาเลยสามารถเรียนเพื่อเพิ่มพูลความสามารถ หรือ ทำลายขีดความสำเร็จได้ และ หายจากซึมเศร้าด้วย ทำไมมันเป็นงั้น คำตอบง่ายมาก เมื่อเขาเรียนรู้จักตัวเอง รู้จักอาการตัวเอง รู้จักพัฒนา -> เขาจะยอมรับตัวเองได้มากขึ้น ภูมิใจกับความสำเร็จในแต่ละวัน หลังจากนั้น เขาจะเริ่มเรียนรู้ คุณค่าของการมีชีวิต และ การพยายาม มันเลยคือวิธีการสร้าง เกาะภูมิคุ้มกันทางความคิด และ มันต่อต้านซึมเศร้าได้ 100% จร้า

แล้วคนที่ตกงานช่วงเรียนจบ หรือ ชีวิตเซงๆ อย่างมหาลัยเองมันมีโควต้า หวานเย็น 2 ปีนะ ก็คือว่างงาน 1-2 ปีไม่หางานไปเที่ยวไปใช้ชีวิตไปเก็บประสบการ์ณได้ ไม่แปลกเลย มีคนทำเยอะแยะแล้วพอทำอะไรเสร็จ เครียร์ธุระเสร็จ ก็กลับมาทำงาน เช่น ไปเครียร์ทหาร ไปเครียร์ปัญหาทางบ้าน เรียนไม่จบ ไปเครียร์กฎหมายให้จบ จะได้พร้อมสำหรับการทำงาน มีไม่น้อยที่เป็นแบบนั้นอะ

คนเรียนไม่จบ บางคนไปต่อราม ไปตาม future skill จริงๆ จะเรียนอะไรก็ได้ออนไลน์ ก็เรียนจริงสมัยนี้มันง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะ

แล้วที่ไม่แนะนำว่า ถ้าทำงานไม่ไหว อย่าฝืนเพราะว่า ถ้าคุณโดนไล่ออก หรือ ทำงานไม่ได้ แล้วยังไม่เก่งพอจะประคองความคิด -> โดนไล่ออกตัวเองจะเก็บมาคิดเยอะ -> กลับไปซึมเศร้าเหมือนเดิม -> ไม่หายสักที -> พยายามสมัครงานใหม่ -> ล้มเหลวอีกครั้ง -> วนลูปไปเรื่อยๆ เขาเรียกว่า ซึมเศร้าเรื้อรัง และ อันตราย คุณต้องเรียนรู้ต้นเหตุ และ ปลายเหตุให้เป็นด้วยครับว่า มันง่ายจะตายไปที่คนเราจะเป็นๆ หายๆ เครียดแปปๆ หายเป็นพักๆ แล้วก็ comeback วนไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่