JJNY : 5in1 กว่า 25%จ่อปลดพนง.│ทีดีอาร์ไอหวั่นศก.ซึมตกงานเพิ่ม│เขมรเหิมเกริมปักธง│“วีระ”แจ้ง157│สหรัฐเผชิญพายุทรายรุนแรง

สภาพัฒน์ ชี้ เอกชนไทย กว่า 25% จ่อปลดพนง.ประจำ-ลดค่าแรง หันจ้างชั่วคราวแทน
https://www.matichon.co.th/economy/news_5340265
.
.
สภาพัฒน์ ชี้ เอกชนไทย กว่า 25% แบกคนต่อไม่ไหว มีแนวโน้ม ปลดพนง.ประจำ ปรับเป็น ‘สัญญาจ้างชั่วคราว’ แทน
.
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2568 ว่า ภาพรวมตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย การจ้างงานเพิ่มขึ้น 0.02% อยู่ที่ 39.5 ล้านคน โดยแรงงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 0.4% ขณะที่แรงงานภาคเกษตรลดลง 0.9% ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนแรงงานในภาคเอกชนอยู่ที่ 46.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง 8% เหลือ 6.3 ล้านคน
.
ด้านค่าจ้างแรงงานโดยรวมลดลง 1.9% แต่แรงงานในระบบเพิ่มขึ้น 2.5% ขณะที่ภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น 2.4% อยู่ที่ 14,370 บาทต่อเดือน อัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.91% หรือ 3.7 แสนคน ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า โดยผู้ว่างงานที่จบอุดมศึกษายังมีสัดส่วนสูงเกือบ 2% ส่วนผู้เสมือนว่างงานอยู่ที่ 2.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5% ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตร
.
ขณะที่ องค์กรต่างๆ ปรับสัญญาการจ้างงานจาก “พนักงานประจำ” เป็น “สัญญาจ้างชั่วคราว” โดย 2 ปีที่ผ่านมามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน มองว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวและต้องการลดต้นทุนองค์กรในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ส่วนชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ในภาคเอกชนยังไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก โดยเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามหากแนวโน้มการส่งออกยังคงอยู่ในระดับเดิม ชั่วโมงการทำงานจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม
.
นายดนุชา กล่าวว่า ส่วนกรณีที่องค์กรใหญ่เปิดโครงการสมัครใจลาออก นั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องพิจารณาว่าพนักงานดังกล่าวอยู่ในกลุ่มอายุเท่าไร ลาออกแล้วมีแผนรองรับต่อจากนี้หรือไม่ เพราะเงินที่ได้จากการสมัครใจลาออกอาจไม่สามารถรองรับการใช้ชีวิตได้ได้ในระยะยาว ขณะเดียวกันก็มองว่าเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจขององค์กรนั้นๆ ที่ต้องการแรงงานใหม่ และค่าจ้างต่ำกว่าพนักงานที่ลาออกไป
.
สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง
.
1. ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อการจ้างงาน โดยสหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีหลายรูปแบบ ทั้งการจัดเก็บภาษีเฉพาะในสินค้าบางรายการ (Specific Tarffs) การกำหนดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ไทยถูกจัดเก็บที่ 19% รวมทั้ง ยังมีมาตรการในการป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Ongin) นอกจากนี้ไทยยังต้องปรับภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกว่าหมื่นรายการเป็น 0% โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยแข่งขันยากขึ้น และกระทบต่อการจ้างงานหรือชั่วโมงการทำงานของแรงงาน ดังนั้นภาครัฐจึงควรสนับสนุนการเปิดตลาดใหม่ มีมาตรการปกป้องสินค้าไทย รวมถึงการตรวจสอบการสวมสิทธิของสินค้า
.
2. การปรับรูปแบบการจ้างงานของสถานประกอบการจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน โดยใน ปี 2567 องค์กรในไทย 25% มีแนวโน้มจะลดพนักงานและปรับโครงสร้างองค์กร โดยจะลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา และหันไปจ้างแบบพนักงานประจำไม่เต็มเวลา รวมถึงพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงในการทำงาน ระดับรายได้ ตลอดจนสิทธิตามกฎหมายต่าง ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงควรตรวจสอบให้การดำเนินการของสถานประกอบการเป็นไปตามกฎหมาย
.
3. การขาดแคลนแรงงานต่างต่างด้าวที่ปัจจุบันแรงงานต่างด้าว 3.88 แสนคน ไม่มาต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือดำเนินการไม่ครบถ้วบถ้วน อีกทั้งรัฐบาลกัมพูชายังมีการดำเนินมาตรการเชิงบังคับให้กลับประเทศ ทำให้สถานประกอบการในการก่อสร้าง ภาคการผลิต รวมถึงภาคเกษตร มีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ครม. มีมติให้นำเข้าแรงงานสัญชาติอื่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะแรงงานศรีลังกา รวมทั้งเนปาล ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมาทดแทนในอุตสาหกรรมที่ขาดแคลน
.
4. การเกิดอันตรายจากการทำงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ว่าการประสบอันตรายกรณีร้ายแรงจะมีสัดส่วนไม่มาก แต่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่า การสูญเสียเพียงนิ้วมือ หรือแขน จะทำให้แรงงานมีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมแย่ลง อีกทั้งยังเกิดผลกระทบทางด้านจิดตใจที่ไม่อาจชดเชยได้อย่างครอบคลุม สถานประกอบการจึงควรบำรุงรักษา เครื่องมือ/เครื่องจักรอย่างครอบคลุม สถานประกอบการจึงควรบำรุงรักษา เครื่องมือ/เครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ อบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัย และการชดเชยให้แก่แรงงานอาจต้องคำนึงถึงค่าเสียโอกาส
.

.
ทีดีอาร์ไอ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาจริงจัง หวั่นเศรษฐกิจซึม คนตกงานเพิ่ม หนี้พุ่ง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9910063
.
ทีดีอาร์ไอ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง หวั่นเศรษฐกิจซึม คนตกงานเพิ่ม หนี้ครัวเรือนสูง จับตาวิกฤตการเมืองสลับขั้ว นโยบายเศรษฐกิจอาจเปลี่ยน
.
วันที่ 26 ส.ค.2568 นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า จากภาวะสังคมที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ประกาศออกมามีความกังวลการลดคนหรือเลิกจ้างสูงขึ้น รวมถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงนั้น ความน่ากังวลใจตอนนี้มองว่าเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือน เมื่อประชาชนเป็นหนี้สูง บวกกับเศรษฐกิจภาพรวมยังไม่ได้กลับมาเติบโตได้ดี
.
จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะซึมตัว โตระดับ 2% ต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง ทำให้รายได้ที่เติบโตจะไม่ได้เพิ่มขึ้นตามค่าครองชีพ ซึ่งคนที่มีความสามารถในการหารายได้ หรือตักตวงรายได้มักเป็นคนระดับบนๆ อยู่แล้ว ทำให้เศรษฐกิจฐานรากจะแย่มาก
.
ปัญหาการเลิกจ้างเพิ่มขึ้น และเลิกจ้างในอายุที่ต่ำลงกว่าเดิม ต้องบอกว่าประเทศไทยมีภาคเกษตรรองรับกลุ่มผู้ที่ไม่มีงานทำ หรือหากถูกเลิกจ้างก็สามารถกลับภูมิลำเนาไปทำงานในภาคการเกษตรได้ ตัวเลขการตกงานจึงไม่ได้ดูน่ากลัวมากนัก แต่สิ่งที่มีความน่ากลัวและเป็นกังวลคือ คุณภาพงาน หมายถึงบุคคลที่ยังมีงานทำ อาจได้งานทำจริงแต่ไม่เหมาะสมกับศักยภาพที่มี
.
เพราะมีความรู้ความสามารถ มีกำลังที่ควรทำงานได้ค่าตอบแทนที่ดีอย่างเหมาะสม กลุ่มนี้กลับเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้างไป ทั้งที่ยังมีความสามารถในการทำงาน จึงไม่รู้ว่าเมื่อถูกเลิกจ้างแล้วจะนำทักษะที่มีไปต่อยอดทำงานอะไรอีก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานได้แย่ลง ถือเป็นความกังวลและเป็นปัญหาน่ากังวลใจ
.
นายนณริฏ กล่าวว่า วิกฤตอีกเรื่องในตอนนี้คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย หากเศรษฐกิจไม่ดีบางส่วนต้องการนโยบายในการประคองเศรษฐกิจ และนโยบายระยะยาว ปรับโครงสร้างให้คนฐานรากกลับมาได้ หรือเศรษฐกิจรากหญ้ากลับมาดีขึ้น แต่เมื่อมีความไม่แน่นอนทางการเมืองแบบนี้ ท้ายสุดก็ไม่รู้ว่าการเมืองไทยจะเดินหน้าไปอย่างไร
.
นำไปสู่ปัญหาต่อมาคือ นโยบายต่างๆ ที่ควรเข้ามาแก้ไขและประคองเศรษฐกิจจะออกมาล่าช้า ตามวิกฤตการเมืองจึงสอดรับกับมุมมองของสภาพัฒน์ สะท้อนถึงระยะข้างหน้าคงต้องเหนื่อยกันต่อไป
.
ขณะที่หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาทิ การสลับขั้ว นโยบายเศรษฐกิจก็อาจเปลี่ยนไป ต้องมาดูอีกครั้งว่าจะดีกว่าเดิมหรือไม่
.
ส่วนการเลือกตั้งใหม่มีข้อดีคือ ทำให้ประชาชนมีโอกาสได้เลือกนโยบายใหม่ ไม่ได้เป็นด้านเสียด้านเดียวเท่านั้น โดยการแก้ไขปัญหาหลักๆ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาแก้ไขและทำอย่างจริงจัง เพราะปัญหาเศรษฐกิจ การเลิกจ้างงาน และความไม่แน่นอนทางการเมือง ถือเป็นเรื่องที่ประชาชนแก้ไขด้วยตัวเองได้ยากและใช้เวลานาน
.
ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือน การตกงานเร็ว หรือเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สิ่งเหล่านี้ต้องการกำลังจากรัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุน ปรับโครงสร้างให้ไปต่อได้ โดย 3 เรื่องที่มองว่ามีความกังวลมากสุดคือ
.
1. ผลของภาษีสหรัฐ ประเทศไทยแก้ไขผลกระทบได้มากน้อยเท่าใด
2. ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งต้องการนโยบายจากภาครัฐเข้ามาช่วยในการแก้ไขปัญหา
3. ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่มีความสามารถและจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้จริง
.
สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้ ยังไม่มองว่าควรทำมากนัก แต่หากจะทำออกมาก็อยากให้เป็นการกระตุ้นในกลุ่มที่อยู่ระดับรากหญ้าจริงๆ มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนจริงๆ ส่วนรูปแบบก็อาจเป็นลักษณะคนละครึ่ง ที่ออกมาเป็นโครงการขนาดเล็ก เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนระดับฐานรากให้ยืนต่อได้ก่อน
.
แต่ปัญหาในปัจจุบันคือ วิกฤตที่เกิดขึ้นประเมินว่าอาจลากยาวกว่าเดิม ทำให้การกระตุ้นในระยะสั้นไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาได้ จึงต้องหันมาแก้ไขโครงสร้างและปัญหาระยะยาวมากขึ้น
.

.
เปิดภาพ! ชาวเขมรเหิมเกริมปักธงประเทศตัวเองที่บ้านหนองจาน
.
ความคืบหน้าหลังจากเพจ Army Military Force รายงานว่า เวลา 14.02น. ( 26 ส.ค.) พบวัยรุ่นเขมรจำนวนหลายคนสวมหมวกกันน็อกเข้าพื้นที่บ้านหนองจาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ทหารกัมพูชาได้เกณฑ์ชาวบ้านจากชุมชนอื่นเข้ามายังพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
.
โดยชาวเขมรอ้างว่าที่มาวันนี้กัมพูชาต้องการสันติภาพ มาวันนี้ไม่มีอาวุธอะไรเลย พี่น้องเราเยอะมากเพื่อต้องการจะมาดูทหารไทยล้อมรั้วหนาม
.
ล่าสุดเวลา 16.50 น. ชาวบ้านกัมพูชาได้ปักธงชาติกัมพูชาที่บนพื้นที่ติดกับบ้านหนองจาน ซึ่งความจริงพื้นที่ตรงนี้ก็คือประเทศไทย ตามหลักเขต
.
.

.
“วีระ” แจ้งความเอาผิด ม.157 “แม่ทัพภาคที่ 1 - ผู้ว่าฯ สระแก้ว” ปมเอกสารสิทธิ์ที่ดินบ้านหนองจาน
.
“วีระ สมความคิด” โร่แจ้งความ ม.157 “ผู้ว่าฯ สระแก้ว-แม่ทัพภาคที่ 1-เจ้าพนักงานที่ดิน-เจ้าหน้าที่ป่าไม้” ปมเอกสารสิทธิ์ที่ดินบ้านหนองจาน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่รักษาอธิปไตย-ปล่อยเขมรรุกล้ำดินแดนไทยเป็นเวลานาน
.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ส.ค. 2568 ที่ สภ.โคกสูง จ.สระแก้ว นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น พร้อมด้วยนายธิติพัฒน์ เสมาทอง อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านใหม่หนองไทร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นายดุสิต จันทะมา ในฐานะพยานของนายวีระ และชาวบ้านในหมู่บ้านอ่างศิลา บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว รวม 7 คน ได้เดินทางมาเพื่อเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ที่สถานีตำรวจภูธรโคกสูงฯ เพื่อให้ดำเนินคดีตามมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต่อ พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1, นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว, เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสระแก้ว สาขาอรัญประเทศ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัดสระแก้ว โดยมี พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ อินทสิทธิ์ ผกก.สภ.โคกสูง และ ร.ต.อ.คมสันต์ ด้วงมั่ง พนักงานสอบสวนเวร เป็นผู้รับแจ้งความ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่