เปิดตลาดสหรัฐ 0% แลกภาษีทรัมป์ คนไทยได้หรือเสีย เปิด 9 สินค้า ของใกล้ตัวซื้อราคาถูกลง

เปิดตลาดสินค้าสหรัฐ 0% ผู้บริโภคไทยได้หรือเสีย?
ยังเป็นคำภาม เพราะแท้ที่จริงแล้ว จากมาตรการภาษีสหรัฐที่เก็บภาษีนำเข้าไทยในอัตรา 19% จะทำให้ไทยเสียประโยชน์
และได้รับผลกระทบในเรื่องการส่งออกสินค้า แต่ในขณะเดียวกันการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ อาจทำให้ไทยได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด

https://www.dailynews.co.th/news/5048425/?fbclid=IwY2xjawMaJxZleHRuA2FlbQIxMABicmlkETEweVlJV01RYVh1Z1g5WFdvAR5GxnF-_Znp5yMKx_ku_It9LFedva-VeA-MFP0qTiFof8AAb3-PHm-RpqnpfA_aem_ZOstFD5BuPf4t4FP2HPocw


จากบทวิเคราะห์ของ “ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช” ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ระบุว่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ภายใต้ “ภาษีทรัมป์” ตามดีลการค้าไทยกับสหรัฐ ที่ไทยต้องเปิดตลาด 0% ให้กับสินค้านำเข้าสหรัฐนั้น การเปิดตลาด 0% ให้สินค้าสหรัฐ จะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคไทยมากน้อยแค่ไหน?

ไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากแค่ไหน?

-ข้อมูลปี 2567 ที่ USTR ใช้คำนวณภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไทยส่งออกไปสหรัฐ มูลค่า 6.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากสหรัฐ มูลค่า 1.77 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

-ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐ มูลค่า 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ไทยถูกเก็บภาษีตอบโต้ 36% และต่อมามีการปรับลดลงมาเหลือ 19%

-สินค้าที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐ 10 สินค้าแรก คิดเป็น 48% ของมูลค่าการนำเข้าของไทยรวม มีมูลค่า 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.8 แสนล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม เช่น น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ เครื่องบิน และเซมิคอนดักเตอร์

-สินค้าสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ที่ไทยนำเข้ามาจากสหรัฐ 10 สินค้าหลัก คิดเป็น 3% มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 17,523 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็น ชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซค์และจักรยาน คอมพิวเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น



คนไทยได้ประโยชน์ไหม?

ได้ประโยชน์ใน 3 ประเด็น คือ
1.ราคาสินค้าสหรัฐ จะถูกลง

2.คนไทยได้โอกาสที่จะเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานมาใช้ในราคาที่เหมาะสม สมกับคำว่า “Made in USA” ที่ไม่แพงเกินไป มีคุณภาพและมาตรฐานสูง มีความแข็งแรงและทนทานในการใช้ (ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล เช่น UL, ANSI, ASTM, FDA, ISO ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า)

3.ช่วยส่งเสริมและยกระดับให้ตลาดสินค้าสำหรับผู้บริโภค หันไปใช้สินค้าที่มีมาตรฐานและปลอดภัย (สำหรับผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ) จากเดิมที่มีสินค้าต่างประเทศอื่น ที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาขายมากเกินไป



ตัวอย่าง 9 รายการสินค้า ไทยได้ประโยชน์ภาษีทรัมป์
1.ลู่วิ่งไฟฟ้า ราคาถูกลง 2,029 บาทต่อชิ้น
2.เครื่องซักผ้า ราคาถูกลง 2,793 บาทต่อชิ้น
3.โน้ตบุ๊ก ราคาถูกลง 1,224 บาทต่อชิ้น
4.สมาร์ตโฟน ราคาถูกลง 2,030 บาทต่อชิ้น
5.ทัมป์ไดร์ฟ ราคาถูกลง 223 บาทต่อชิ้น
6.ระบบเตือนภัย ราคาถูกลง 2,093 บาทต่อชิ้น
7.รถกระบะ ราคาถูกลง 106,929 บาทต่อชิ้น
8.เครื่องสำอาง ราคาถูกลง 126 บาทต่อชิ้น
9.ชิ้นส่วนจักรยาน ราคาถูกลง 140 บาทต่อชิ้น



เมื่อมีการเปิดตลาดสินค้าสหรัฐ เข้ามาในประเทศไทย ทำให้ราคาสินค้าสหรัฐ สำหรับคนทั่วไปลดลง เฉลี่ย 13,065 บาทต่อชิ้น คิดจากจำนวน 9 รายการสินค้า โดยรถยนต์กระบะ 4 ประตู 4×4 หากเปิดตลาด 0% ให้มีการนำเข้า ทำให้ราคาจะลดลงมากสุด ตามด้วยเครื่องซักผ้า

สรุปไทยได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดสินค้าสหรัฐ เข้ามาภายใต้ภาษีนำเข้า 0%

-ราคาปรับลดลง : จากเดิมสินค้าสหรัฐ ที่มีราคาสูงจะปรับลงมา ขณะเดียวกันผู้บริโภคไทยมีโอกาสใช้สินค้าที่ได้มาตรฐานระดับสากล ทำให้ผู้บริโภคไทยที่มีกำลังซื้อสามารถซื้อได้ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล จากปัจจุบันที่ตลาดสินค้าผู้บริโภคทั่วไป ถูกครอบครองด้วยสินค้าจากจีนที่ไม่ได้มาตรฐาน

-ไม่กระทบเอสเอ็มอี : สินค้านำเข้าของสหรัฐ เข้ามาขายในไทย ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเอสเอ็มอีของไทย เพราะเป็นสินค้าคนละตลาดกับสินค้าเอสเอ็มอีไทย ทำให้เอสเอ็มอียังสามารถดำเนินกิจการได้

-ช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตไทย : ไทยต้องใช้โอกาสดีลทางการค้ากับสหรัฐ ให้เป็นประโยชน์กับการยกระดับมาตรฐานภาคการผลิตไทย และหาโอกาสสร้างห่วงโซ่การผลิตร่วมกับสินค้าอุตสาหกรรมสำหรับผู้บริโภคไทย.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่