石谷家住宅 (Ishitani Residence) บ้านตระกูลอิชิทานิ มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ และสวนอิชิทานิที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์
เรื่องราวเกี่ยวกับบ้านตระกูลอิชิทานิ เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกการท่องเที่ยวฉบับเต็ม สามารถอ่านได้ที่ Facebook page: janjourneyjournal ค่ะ หากใครอ่านเรื่องราวนี้แล้วชอบ ฝากกดติดตามในเพจ facebook เพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะค่ะ ขอบคุณค่า ^__^
ตอนแพลนทริปเห็นบ้านอิชิทานิจากเพจ facebook ทตโตะริ Tottori ตอนอ่านคำโปรยรู้สึกเป็นสถานที่ที่น่าสนใจมากเลยตั้งใจไว้เลยว่าอยากไปถ้ามีโอกาสไปทตโตะริและได้เข้าชมก็ไม่ผิดหวัง เรามาดูประวัติคร่าวๆของบ้านหลังนี้กันก่อน บ้านหลังนี้มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ยุคเอโดะ แต่ได้รับการปรับปรุงและก่อสร้างมาจนเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบันในยุคไทโชเพื่อให้เห็นภาพขอใส่ช่วงเวลาไว้นิดหนึ่งค่ะ
ยุคเอโดะ (Edo): ค.ศ. 1603 – 1868
ยุคเมจิ (Meiji): ค.ศ. 1868 – 1912
ยุคไทโช (Taisho): ค.ศ. 1912 – 1926
ยุคโชวะ (Showa): ค.ศ. 1926 – 1989
ยุคเฮเซ (Heisei): ค.ศ. 1989 – 2019
ยุคเรวะ (Reiwa): ค.ศ. 2019 – ปัจจุบัน
ส่วนหลักของบ้านตระกูลอิชิทานิประกอบด้วยกลุ่มอาคารประมาณ 20 หลัง พื้นที่ทั้งหมด 10,000 ตร.ม. พื้นที่ใช้สอย 2,120 ตร.ม. และมีห้องมากกว่า 40 ห้อง ตัวบ้านหลักและส่วนต่อเติมจำนวนมากสร้างขึ้นมาในช่วงค.ศ. 1919-1929 (10 ปีแหนะ!)
อ่านมาถึงตรงนี้สงสัยกันบ้างไหมคะว่าตระกูลอิชิทานิคือใคร ตระกูลอิชิทานิแต่เดิมอยู่ในตัวเมืองทตโตะริ จังหวัดทตโตะริ ทำธุรกิจค้าส่งเกลือ โดยตอนแรกชื่อตระกูลคือชิโอะยะ 塩屋 (ภาษาญี่ปุ่นชิโอะ 塩 แปละว่าเกลือ ยะ 屋 แปลว่า ร้าน อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกรึเปล่าแต่มันตรงตัวมากว่าเป็นตระกูลร้านขายเกลือ แหะๆ)
ตอนหลังเมื่อขุนนางประจำจังหวัดทตโตะริต้องเดินทางไปมาระหว่างทตโตะริและเอโดะ (โตเกียว) จึงต้องมีการค้างแรมที่เมือง Chizu ชิซุ (ปจบ.ขับรถลงมาทางใต้จากตัวเมืองราวครึ่งชั่วโมง) เมืองชิซุก็เจริญขึ้น มีพ่อค้าย้ายมาอยู่เมืองนี้มากขึ้นซึ่งก็รวมถึงตระกูลอิชิทานิด้วย
หัวหน้าตระกูลแต่ละรุ่นก็สร้างความมั่งคั่งเรื่อยมา บางรุ่นได้รับการแต่งตั้งให้มีฐานะทางสังคม รวมถึงเป็นนักการเมืองมีส่วนช่วยสร้างความเจริญให้แก่เมือง บริจาคเงินสร้างโรงเรียน ปรับปรุงถนน ไปจนถึงสร้างทางรถไฟ แต่ท้ายที่สุดกิจการหลักที่ตระกูลนี้ทำคือการทำป่าไม้ ดังนั้นอาคารหลายหลังของบ้านอิชิทานิสร้างขึ้นส่วนใหญ่เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำกิจการป่าไม้ เล่าคร่าวๆพอ หากอยากรู้แบบลึกๆสามารถไปอ่านกันได้ใน website ของ ishitani residence ค่ะ
เราขับรถมาถึงที่จอดรถของบ้านอิชิทานิประมาณ 10 โมงครึ่ง จากที่จอดรถต้องเดินต่ออีกนิดหนึ่งก็จะถึงตัวบ้าน ระหว่างทางเดินจะเห็นภูเขาอยู่ข้างหน้าดูยิ่งใหญ่ดีค่ะ เมื่อถึงทางเข้าเราจะต้องเสียค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่คนละ 600 เยนและเด็กคนละ 400 เยน
นี่เป็นประตูทางเข้าค่ะ
เมื่อเดินเข้ามาสิ่งแรกที่เจอคือโถงขนาดใหญ่ หลังคาสูง พื้นเป็นดิน เราต้องถอดรองเท้ากันที่จุดนี้ (มีที่สำหรับถอดรองเท้าไม่ต้องเหยียบพื้นที่เป็นดิน) เพราะจากตรงนี้จะต้องเดินขึ้นไปชมในตัวบ้านที่ปูเสื่อทาทามิทั้งหมด โถงขนาดใหญ่นี้เรียกว่า 土間 โดมะ (Doma) ความสูงจากพื้นถึงเพดานคือ 14 เมตร มีส่วนที่เป็นพื้นยกสูงเพื่อฝังเตาผิงสำหรับให้ความอบอุ่นตอนหน้าหนาว โครงสร้างส่วนบนเป็นโครงสร้างแบบเพดานเปิด ใช้ท่อนไม้สนขนาดใหญ่เป็นคาน และมีโครงหลังคาแบบโครงถักวางทับบนคาน เสาหลักและส่วนแบนที่รองรับทำจากไม้เคะยากิ และวัสดุที่ใช้ล้วนเป็นไม้ท้องถิ่น (ไม้เคะยากิ 欅材(ケヤキざい)ถือเป็นวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักใช้ทำเสาและคานในอาคารเก่าแก่ ศาลเจ้า และวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น)
สามารถดูคลิปโดมะได้จาก
https://www.facebook.com/share/v/16nCCQuKF6/
จากโดมะ เราก้าวขึ้นไปยังส่วนที่เป็นเสื่อทาทามิ (ตอนที่ไปมีโต๊ะจัดวางตุ๊กตาฮินะอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะยังอยู่ในเดือนมีนาคมหรือเปล่า เพราะวันที่ 3 มีนาคมของทุกปีเป็นวันเด็กผู้หญิงของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า 雛祭り ฮินะ มัตสึริ (Hina Matsuri) จะมีการเอาตุ๊กตาแบบนี้มาวางประดับ) ส่วนที่เป็นเสื่อทาทามินี้เรียกว่าห้อง 囲炉裏の間อิโรริโนะมะ หรือห้องเตาผิง เคยถูกใช้เป็นที่สำหรับเจรจาธุรกิจและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเจ้าของร้านกับลูกค้า ต่อมาภายหลังใช้สำหรับเป็นพื้นที่จุดไฟให้ความอบอุ่นเวลามีการจัดงานฉลองที่จัดขึ้นบนชั้นสอง
เราเดินตามลูกศรที่เค้ามีไว้ให้พร้อมดูแผ่นพับที่หยิบมาตอนซื้อตั๋ว จากห้องเตาผิงเดินเข้ามาจะเจอกับทางเดินทาทามิ เป็นทางเดินที่ใช้เชื่อมห้องเตาผิงกับห้องอื่นๆในบ้านใช้เสื่อทาทามิ 36 ผืนมาเรียงต่อกัน ทั้งนี้แจนอาจจะไม่ได้เล่าให้ฟังถึงทุกห้องที่ดู ขอเล่าเป็นบางห้องละกันค่ะ
ห้องแรกคือ 和室応接ห้องรับรองสไตล์ญี่ปุ่น หรือในแผ่นพันเขียนภาษาอังกฤษว่า Japanese Parlor เป็นห้องขนาด 8 เสื่อทาทามิ (1 เสื่อ = 1.62 ตร.ม.) เคยใช้สำหรับงานเลี้ยงรับรองและงานเลี้ยงรับรองแบบตะวันตก เป็นห้องสไตล์โชอินหรือสไตล์สถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นดั่งเดิม ภายในห้องตกแต่งด้วยไม้ซีดาร์
ฉากโชจิหรือฉากบานเลื่อน) ทำเลียนแบบรูปพัดด้านบนแสดงภาพบ้านอิชิทานิและศาลเจ้าซูวะที่แกะสลักด้วยลวดลายฉลุ ห้องนี้มีระเบียงที่สามารถเดินออกมาชมสวนขนาดเล็ก และหากมองไกลออกไปหน่อยยังเห็นรั้วกั้นระเบียงห้องข้างๆที่ฉลุลายต้นไม้น่ารักตะมุมะมิมากเลยค่ะ โคมไฟที่ห้อยลงมาจากหลังคาห้องก็น่ารักเช่นกัน
สวนขนาดเล็กกลางบ้านให้ความร่มรื่นมากๆ
โคมไฟทรงกลมน่ารักห้อยอยู่ตรงมุมหลังคา
ภาพนี้คือรั้วฉลุลายต้นไม้ที่พูดถึง
ห้องต่อมาที่อยากพูดถึงคือห้อง 江戸座敷 ห้องเอโดะซาชิกิ Edo Zashiki เดิมทีเอโดะซาชิกิแห่งนี้เคยเป็นโกดังเก็บของโดยดูจากส่วนบนของอาคารที่มีหลังคาเรียบ แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่เป็นห้องพักแขก เอกสารของตระกูลอิชิทานิบันทึกไว้ว่าอาคารนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดะเพราะตะปูที่ใช้ตรงนี้เป็นของจากสมัยเอโดะ
สำหรับจขกท.ห้องนี้โดดเด่นที่ฉากกั้น (หรือหน้าต่าง) รูปหัวใจซึ่งมีความหมายด้วย รูปหัวใจใน website ของ ishitani residence เขียนไว้ว่าเป็น大胆な猪の目ไดตันนะ อิโนะเมะ Daitanna inome แปลตรงตัวว่า ตาหมูป่าที่กล้าหาญ ตาหมูป่าเป็นลวดลายดั่งเดิมของญี่ปุ่นมีลักษณะคล้ายหัวใจ มักใช้เป็นลวดลายบนหน้าต่างอาคารไม้ของศาลเจ้า วัด เครื่องตกแต่งชุดเกราะ และด้ามดาบ เชื่อกันว่ามีพลังปัดเป่าภัยร้ายและป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในบ้านหรือศาลเจ้า คำว่า 猪 Ino อิโนะ หรือหมูป่าเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและป้องกันไฟ (เพราะหมูป่าอาศัยอยู่ในป่า ถ้ามีหมูป่าอยู่ หมายถึงไม่มีไฟ) รู้สึกว่าคนออกแบบสามารถสร้างห้องออกมาให้ดูน่ารักและมีการแฝงความหมายด้วยเลยชอบมากค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นห้องนี้ยังสามารถนั่งชมสวนขนาดใหญ่ที่มีบ่อน้ำได้ด้วย
สวนอิชิทานิ มีพื้นที่ 1,300 ตร.ม. และได้ขึ้นทะเบียนเป็นจุดชมวิวแห่งชาติในปี 2008 และเป็นจุดชมวิวประจำจังหวัดในเดือนม.ค. 2010 สวนหลักของบ้านตระกูลอิชิทานิประกอบด้วยสวนบ่อน้ำ สวนภูมิทัศน์แห้งและสวนสนามหญ้า
สวนบ่อน้ำเป็นสวนสำหรับห้องเอโดะซาชิกิและชินเคนซาชิกิ (ห้องนี้จขกท.ไม่ได้เล่าถึงค่ะ เป็นห้องที่อยู่ข้างๆห้องเอโดะซาชิกิ) และเป็นหนึ่งในสวนที่เก่าแก่ที่สุด โดยสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1856 และเชื่อกันว่ารูปลักษณ์ในปัจจุบันของสวนแห่งนี้ยังคงเหมือนของเดิมที่สร้างไว้แต่แรก
ดูคลิปสวนได้ที่
https://www.facebook.com/share/v/1BxoBqPLhf/
จากห้องเอโดะซาชิกิเดินไปอีกหน่อยก็จะเห็นส่วนที่เป็นห้องน้ำ ที่ดูเป็นแบบตะวันตกซึ่งมี sink ที่ทำจากหินอ่อนด้วย ทั้งนี้ห้องน้ำหลุมจากสมัยไทโชถูกเปลี่ยนเป็นห้องน้ำแบบชักโครกในสมัยโชวะ
ห้องอาบน้ำค่ะ
จากนั้นเราก็เดินไปดูชั้นสองกัน โดยต้องขึ้นบันไดไป บันไดนี้ก็เป็นอีก 1 ไฮไลต์ของบ้าน มันเหมือนบันไดวนแต่ก็ไม่วนซะทีเดียว ซึ่งตัวบันไดจะเชื่อมกับสะพานเพื่อเข้าไปยังห้องต่างๆบนชั้น 2 ภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้ว่า Spiral staircase & arched bridge คือสร้างได้กิ๊บเก๋มากค่ะ จริงๆก็สร้างให้เป็นบันไดธรรมดาก็ได้ แต่นี่มีใส่สะพานเข้ามาในบ้านด้วยอะ มันดูมี detail อะไรบางอย่าง คิดว่าคน design เก่งจุง
รูปนี้เป็นสะพานที่เชื่อมกับบันไดค่ะ
ชั้น 2 มีพื้นที่กว้างขวางมาก มีการแบ่งกั้นห้องให้เป็นห้องขนาดเล็กลงโดยใช้เพียงประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่น (คิดว่าถ้าห้องหนึ่งคุยกันห้องอื่นก็คงได้ยินกันหมด) ด้านบนมีห้องที่สำคัญอีก 1 ห้องคือห้อง 神殿 ชินเดน ภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า Shrine room คือห้องที่เป็นประหนึ่งศาลเจ้าในบ้านมั้งคะ ห้องนี้จะตั้งอยู่เหนือห้อง master room ของชั้น 1 พอดีและล้อมรอบด้วยห้องเสื่อทาทามิชั้นสองทั้งสองด้าน เมื่อเข้าไปในห้องนี้ฝั่งซ้ายจะเห็นเป็นแท่นบูชาแบบบิวท์อินขนาดใหญ่ และฝั่งขวามีการนำภาพวาดพู่กันรูปต้นไม้ ดอกไม้และภูเขาที่เขียนตัวอักษรมาแขวนไว้ ส่วนด้านหน้าจะเป็นหน้าต่างที่มองออกไปจะเห็นสวนภูมิทัศน์แบบแห้งที่อยู่ข้างล่าง ตอนมองออกไปไม่ใช่แค่สวนที่รู้สึกว่าสวยจัง แต่ยังเห็นหลังคาเรียงกันเมื่อมองไปทางขวาก็สวยดีเหมือนกันค่ะ
ดูคลิปประกอบได้ที่
https://www.facebook.com/share/v/19P9ZopuKi/
เห็นสวนภูมิทัศน์แบบแห้งเมื่อมองจากชั้น 2
หลังคาเรียงรายเมื่อมองออกมาทางขวา
สำหรับห้องอื่นๆก็ดูเหมือนห้องญี่ปุ่นโดยทั่วไป คือมีประตูกระดาษบานเลื่อนกั้นระหว่างกัน แต่สิ่งที่ชอบคือเหนือประตูบานเลื่อนจะเป็นฉากไม้ที่ฉลุเป็นลวดลายต่างๆ รู้สึกว่าคนที่ออกแบบเค้าลง detail ดีจัง
ไปต่อในคอมเมนต์นะค่ะ
石谷家住宅 (Ishitani Residence) บ้านตระกูลอิชิทานิ
เรื่องราวเกี่ยวกับบ้านตระกูลอิชิทานิ เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกการท่องเที่ยวฉบับเต็ม สามารถอ่านได้ที่ Facebook page: janjourneyjournal ค่ะ หากใครอ่านเรื่องราวนี้แล้วชอบ ฝากกดติดตามในเพจ facebook เพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะค่ะ ขอบคุณค่า ^__^
ตอนแพลนทริปเห็นบ้านอิชิทานิจากเพจ facebook ทตโตะริ Tottori ตอนอ่านคำโปรยรู้สึกเป็นสถานที่ที่น่าสนใจมากเลยตั้งใจไว้เลยว่าอยากไปถ้ามีโอกาสไปทตโตะริและได้เข้าชมก็ไม่ผิดหวัง เรามาดูประวัติคร่าวๆของบ้านหลังนี้กันก่อน บ้านหลังนี้มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ยุคเอโดะ แต่ได้รับการปรับปรุงและก่อสร้างมาจนเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบันในยุคไทโชเพื่อให้เห็นภาพขอใส่ช่วงเวลาไว้นิดหนึ่งค่ะ
ยุคเอโดะ (Edo): ค.ศ. 1603 – 1868
ยุคเมจิ (Meiji): ค.ศ. 1868 – 1912
ยุคไทโช (Taisho): ค.ศ. 1912 – 1926
ยุคโชวะ (Showa): ค.ศ. 1926 – 1989
ยุคเฮเซ (Heisei): ค.ศ. 1989 – 2019
ยุคเรวะ (Reiwa): ค.ศ. 2019 – ปัจจุบัน
ส่วนหลักของบ้านตระกูลอิชิทานิประกอบด้วยกลุ่มอาคารประมาณ 20 หลัง พื้นที่ทั้งหมด 10,000 ตร.ม. พื้นที่ใช้สอย 2,120 ตร.ม. และมีห้องมากกว่า 40 ห้อง ตัวบ้านหลักและส่วนต่อเติมจำนวนมากสร้างขึ้นมาในช่วงค.ศ. 1919-1929 (10 ปีแหนะ!)
อ่านมาถึงตรงนี้สงสัยกันบ้างไหมคะว่าตระกูลอิชิทานิคือใคร ตระกูลอิชิทานิแต่เดิมอยู่ในตัวเมืองทตโตะริ จังหวัดทตโตะริ ทำธุรกิจค้าส่งเกลือ โดยตอนแรกชื่อตระกูลคือชิโอะยะ 塩屋 (ภาษาญี่ปุ่นชิโอะ 塩 แปละว่าเกลือ ยะ 屋 แปลว่า ร้าน อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกรึเปล่าแต่มันตรงตัวมากว่าเป็นตระกูลร้านขายเกลือ แหะๆ)
ตอนหลังเมื่อขุนนางประจำจังหวัดทตโตะริต้องเดินทางไปมาระหว่างทตโตะริและเอโดะ (โตเกียว) จึงต้องมีการค้างแรมที่เมือง Chizu ชิซุ (ปจบ.ขับรถลงมาทางใต้จากตัวเมืองราวครึ่งชั่วโมง) เมืองชิซุก็เจริญขึ้น มีพ่อค้าย้ายมาอยู่เมืองนี้มากขึ้นซึ่งก็รวมถึงตระกูลอิชิทานิด้วย
หัวหน้าตระกูลแต่ละรุ่นก็สร้างความมั่งคั่งเรื่อยมา บางรุ่นได้รับการแต่งตั้งให้มีฐานะทางสังคม รวมถึงเป็นนักการเมืองมีส่วนช่วยสร้างความเจริญให้แก่เมือง บริจาคเงินสร้างโรงเรียน ปรับปรุงถนน ไปจนถึงสร้างทางรถไฟ แต่ท้ายที่สุดกิจการหลักที่ตระกูลนี้ทำคือการทำป่าไม้ ดังนั้นอาคารหลายหลังของบ้านอิชิทานิสร้างขึ้นส่วนใหญ่เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำกิจการป่าไม้ เล่าคร่าวๆพอ หากอยากรู้แบบลึกๆสามารถไปอ่านกันได้ใน website ของ ishitani residence ค่ะ
เราขับรถมาถึงที่จอดรถของบ้านอิชิทานิประมาณ 10 โมงครึ่ง จากที่จอดรถต้องเดินต่ออีกนิดหนึ่งก็จะถึงตัวบ้าน ระหว่างทางเดินจะเห็นภูเขาอยู่ข้างหน้าดูยิ่งใหญ่ดีค่ะ เมื่อถึงทางเข้าเราจะต้องเสียค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่คนละ 600 เยนและเด็กคนละ 400 เยน
เมื่อเดินเข้ามาสิ่งแรกที่เจอคือโถงขนาดใหญ่ หลังคาสูง พื้นเป็นดิน เราต้องถอดรองเท้ากันที่จุดนี้ (มีที่สำหรับถอดรองเท้าไม่ต้องเหยียบพื้นที่เป็นดิน) เพราะจากตรงนี้จะต้องเดินขึ้นไปชมในตัวบ้านที่ปูเสื่อทาทามิทั้งหมด โถงขนาดใหญ่นี้เรียกว่า 土間 โดมะ (Doma) ความสูงจากพื้นถึงเพดานคือ 14 เมตร มีส่วนที่เป็นพื้นยกสูงเพื่อฝังเตาผิงสำหรับให้ความอบอุ่นตอนหน้าหนาว โครงสร้างส่วนบนเป็นโครงสร้างแบบเพดานเปิด ใช้ท่อนไม้สนขนาดใหญ่เป็นคาน และมีโครงหลังคาแบบโครงถักวางทับบนคาน เสาหลักและส่วนแบนที่รองรับทำจากไม้เคะยากิ และวัสดุที่ใช้ล้วนเป็นไม้ท้องถิ่น (ไม้เคะยากิ 欅材(ケヤキざい)ถือเป็นวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักใช้ทำเสาและคานในอาคารเก่าแก่ ศาลเจ้า และวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น)
สามารถดูคลิปโดมะได้จาก https://www.facebook.com/share/v/16nCCQuKF6/
จากโดมะ เราก้าวขึ้นไปยังส่วนที่เป็นเสื่อทาทามิ (ตอนที่ไปมีโต๊ะจัดวางตุ๊กตาฮินะอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะยังอยู่ในเดือนมีนาคมหรือเปล่า เพราะวันที่ 3 มีนาคมของทุกปีเป็นวันเด็กผู้หญิงของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า 雛祭り ฮินะ มัตสึริ (Hina Matsuri) จะมีการเอาตุ๊กตาแบบนี้มาวางประดับ) ส่วนที่เป็นเสื่อทาทามินี้เรียกว่าห้อง 囲炉裏の間อิโรริโนะมะ หรือห้องเตาผิง เคยถูกใช้เป็นที่สำหรับเจรจาธุรกิจและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเจ้าของร้านกับลูกค้า ต่อมาภายหลังใช้สำหรับเป็นพื้นที่จุดไฟให้ความอบอุ่นเวลามีการจัดงานฉลองที่จัดขึ้นบนชั้นสอง
เราเดินตามลูกศรที่เค้ามีไว้ให้พร้อมดูแผ่นพับที่หยิบมาตอนซื้อตั๋ว จากห้องเตาผิงเดินเข้ามาจะเจอกับทางเดินทาทามิ เป็นทางเดินที่ใช้เชื่อมห้องเตาผิงกับห้องอื่นๆในบ้านใช้เสื่อทาทามิ 36 ผืนมาเรียงต่อกัน ทั้งนี้แจนอาจจะไม่ได้เล่าให้ฟังถึงทุกห้องที่ดู ขอเล่าเป็นบางห้องละกันค่ะ
ฉากโชจิหรือฉากบานเลื่อน) ทำเลียนแบบรูปพัดด้านบนแสดงภาพบ้านอิชิทานิและศาลเจ้าซูวะที่แกะสลักด้วยลวดลายฉลุ ห้องนี้มีระเบียงที่สามารถเดินออกมาชมสวนขนาดเล็ก และหากมองไกลออกไปหน่อยยังเห็นรั้วกั้นระเบียงห้องข้างๆที่ฉลุลายต้นไม้น่ารักตะมุมะมิมากเลยค่ะ โคมไฟที่ห้อยลงมาจากหลังคาห้องก็น่ารักเช่นกัน
ห้องต่อมาที่อยากพูดถึงคือห้อง 江戸座敷 ห้องเอโดะซาชิกิ Edo Zashiki เดิมทีเอโดะซาชิกิแห่งนี้เคยเป็นโกดังเก็บของโดยดูจากส่วนบนของอาคารที่มีหลังคาเรียบ แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่เป็นห้องพักแขก เอกสารของตระกูลอิชิทานิบันทึกไว้ว่าอาคารนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดะเพราะตะปูที่ใช้ตรงนี้เป็นของจากสมัยเอโดะ
สำหรับจขกท.ห้องนี้โดดเด่นที่ฉากกั้น (หรือหน้าต่าง) รูปหัวใจซึ่งมีความหมายด้วย รูปหัวใจใน website ของ ishitani residence เขียนไว้ว่าเป็น大胆な猪の目ไดตันนะ อิโนะเมะ Daitanna inome แปลตรงตัวว่า ตาหมูป่าที่กล้าหาญ ตาหมูป่าเป็นลวดลายดั่งเดิมของญี่ปุ่นมีลักษณะคล้ายหัวใจ มักใช้เป็นลวดลายบนหน้าต่างอาคารไม้ของศาลเจ้า วัด เครื่องตกแต่งชุดเกราะ และด้ามดาบ เชื่อกันว่ามีพลังปัดเป่าภัยร้ายและป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในบ้านหรือศาลเจ้า คำว่า 猪 Ino อิโนะ หรือหมูป่าเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและป้องกันไฟ (เพราะหมูป่าอาศัยอยู่ในป่า ถ้ามีหมูป่าอยู่ หมายถึงไม่มีไฟ) รู้สึกว่าคนออกแบบสามารถสร้างห้องออกมาให้ดูน่ารักและมีการแฝงความหมายด้วยเลยชอบมากค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นห้องนี้ยังสามารถนั่งชมสวนขนาดใหญ่ที่มีบ่อน้ำได้ด้วย
สวนอิชิทานิ มีพื้นที่ 1,300 ตร.ม. และได้ขึ้นทะเบียนเป็นจุดชมวิวแห่งชาติในปี 2008 และเป็นจุดชมวิวประจำจังหวัดในเดือนม.ค. 2010 สวนหลักของบ้านตระกูลอิชิทานิประกอบด้วยสวนบ่อน้ำ สวนภูมิทัศน์แห้งและสวนสนามหญ้า
สวนบ่อน้ำเป็นสวนสำหรับห้องเอโดะซาชิกิและชินเคนซาชิกิ (ห้องนี้จขกท.ไม่ได้เล่าถึงค่ะ เป็นห้องที่อยู่ข้างๆห้องเอโดะซาชิกิ) และเป็นหนึ่งในสวนที่เก่าแก่ที่สุด โดยสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1856 และเชื่อกันว่ารูปลักษณ์ในปัจจุบันของสวนแห่งนี้ยังคงเหมือนของเดิมที่สร้างไว้แต่แรก
ดูคลิปสวนได้ที่ https://www.facebook.com/share/v/1BxoBqPLhf/
จากนั้นเราก็เดินไปดูชั้นสองกัน โดยต้องขึ้นบันไดไป บันไดนี้ก็เป็นอีก 1 ไฮไลต์ของบ้าน มันเหมือนบันไดวนแต่ก็ไม่วนซะทีเดียว ซึ่งตัวบันไดจะเชื่อมกับสะพานเพื่อเข้าไปยังห้องต่างๆบนชั้น 2 ภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้ว่า Spiral staircase & arched bridge คือสร้างได้กิ๊บเก๋มากค่ะ จริงๆก็สร้างให้เป็นบันไดธรรมดาก็ได้ แต่นี่มีใส่สะพานเข้ามาในบ้านด้วยอะ มันดูมี detail อะไรบางอย่าง คิดว่าคน design เก่งจุง
ชั้น 2 มีพื้นที่กว้างขวางมาก มีการแบ่งกั้นห้องให้เป็นห้องขนาดเล็กลงโดยใช้เพียงประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่น (คิดว่าถ้าห้องหนึ่งคุยกันห้องอื่นก็คงได้ยินกันหมด) ด้านบนมีห้องที่สำคัญอีก 1 ห้องคือห้อง 神殿 ชินเดน ภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า Shrine room คือห้องที่เป็นประหนึ่งศาลเจ้าในบ้านมั้งคะ ห้องนี้จะตั้งอยู่เหนือห้อง master room ของชั้น 1 พอดีและล้อมรอบด้วยห้องเสื่อทาทามิชั้นสองทั้งสองด้าน เมื่อเข้าไปในห้องนี้ฝั่งซ้ายจะเห็นเป็นแท่นบูชาแบบบิวท์อินขนาดใหญ่ และฝั่งขวามีการนำภาพวาดพู่กันรูปต้นไม้ ดอกไม้และภูเขาที่เขียนตัวอักษรมาแขวนไว้ ส่วนด้านหน้าจะเป็นหน้าต่างที่มองออกไปจะเห็นสวนภูมิทัศน์แบบแห้งที่อยู่ข้างล่าง ตอนมองออกไปไม่ใช่แค่สวนที่รู้สึกว่าสวยจัง แต่ยังเห็นหลังคาเรียงกันเมื่อมองไปทางขวาก็สวยดีเหมือนกันค่ะ
ดูคลิปประกอบได้ที่ https://www.facebook.com/share/v/19P9ZopuKi/