ทริสฯ หั่นอันดับเครดิตหุ้นแม่-ลูก TPIPL-TPIPP หลังผู้บริหารถูกศาลสั่งจำคุกบั่นทอนความเชื่อมั่น

กระทู้สนทนา
       สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ส.ค. 2568)--ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน [TPIPL] และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัท มาอยู่ที่ระดับ "BBB" จาก "A-" พร้อมเปลี่ยน แนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Stable" หรือ "คงที่" จาก "Negative" หรือ "ลบ"
          
          การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเสี่ยงที่ถดถอยลงจากคำพิพากษาของศาลซึ่งไม่เป็นผลดีกับบริษัท ตลอดจนสถานะทางการเงินของบริษัทที่ยังคงอ่อนแอลงด้วย โดยในมุมมองของทริสเรทติ้ง ผลทางกฎหมายที่ไม่เอื้ออาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัท และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงยังสร้างภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่ทริสเรทติ้งเคยประมาณการไว้ด้วย
          
          เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ศาลอาญามีคำพิพากษาปรับบริษัทเป็นเงิน 160,000 บาท และตัดสินจำคุกผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของบริษัทเป็นเวลา 8 ปี ฐานใช้โฉนดที่ดินปลอมซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ ในวันเดียวกัน ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่โดยผิดกฎหมาย 3 คดี โดยกำหนดให้บริษัทต้องถมคืนแร่หินอุตสาหกรรมและหินดินดานสำหรับผลิตปูนซีเมนต์ จำนวนรวมประมาณ 35.2 ล้านเมตริกตัน พร้อมฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือชำระเงินจำนวนรวมประมาณ 4.4 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทเลือกดำเนินการถมคืนและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ โดยประมาณการค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นไว้ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท
          
          ณ เดือนมิถุนายน 2568 หนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.54 หมื่นล้านบาท จาก 7.33 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ประมาณ 9 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) เมื่อเทียบกับ 8.7 เท่าในปี 2567
          
          ทั้งนี้ แม้ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีผลกำไรปรับตัวดีขึ้นหลังจากการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต้นทุน แต่ความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและภาระผูกพันเพิ่มเติมจากคำพิพากษาของศาลฎีกาก็อาจทำให้การฟื้นตัวทางการเงินล่าช้าออกไป ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งในปัจจุบันคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ประมาณ 8 เท่าในปี 2568 และลดลงเหลือ 7 เท่าในปี 2569 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าประมาณการเดิมที่อยู่ในช่วง 6-7 เท่าสำหรับช่วงเวลาเดียวกัน
          
          ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 1.39 หมื่นล้านบาทซึ่งรวมถึงหุ้นกู้จำนวน 1.15 หมื่นล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีแหล่งสภาพคล่องประกอบด้วยเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดจำนวน 7.3 พันล้านบาทและเงินทุนจากการ
          
          ดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 5.5 พันล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับใช้ชำระหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ส่วนเงินกู้ระยะสั้นอื่น ๆ ที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนนั้นก็คาดว่าจะสามารถต่ออายุได้ตามปกติ
          
          แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าตัวชี้วัดอันดับเครดิตของบริษัทจะยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตที่ระดับ "BBB" และจะไม่ถดถอยลงกว่าที่ประมาณการไว้ในระยะ 24-36 เดือนข้างหน้า
          
          อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โดยอาจถูกปรับลดลงเพิ่มเติมหากบริษัทไม่สามารถฟื้นฟูสถานะทางการเงินได้ โดยเฉพาะหากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA สูงเกินกว่า 8 เท่าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การปรับลดอันดับเครดิตยังอาจเกิดขึ้นได้หากมีข้อบ่งชี้ว่าความเสี่ยงด้านกฎหมายและการกำกับดูแลส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและ/หรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่ม หากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ลดลงต่ำกว่า 6 เท่าอย่างต่อเนื่อง
          
          พร้อมกันนั้น ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ [TPIPP] และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัท มาอยู่ที่ระดับ "BBB" จาก "A-" พร้อมเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Stable" หรือ "คงที่" จาก "Negative" หรือ "ลบ"
          
          การปรับลดอันดับเครดิตเป็นผลมาจากการปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ TPIPL ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทลงมาอยู่ที่ "BBB/Stable" ทั้งนี้แม้อันดับเครดิตเฉพาะองค์กร (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ของบริษัทจะถูกประเมินไว้ที่ระดับ "a" ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและสถานะการเงินที่เข้มแข็งกว่า แต่การพิจารณาสถานะของบริษัทในกลุ่มว่ามีฐานะเป็น "บริษัทย่อยหลัก" ของ TPIPL นั้นก็ทำให้อันดับเครดิตของบริษัทถูกจำกัดให้อยู่ในระดับเดียวกับที่กำหนดให้แก่ TPIPL
          
          การปรับลดอันดับเครดิตของ TPIPL สะท้อนถึงสถานะความเสี่ยงที่ถดถอยลงจากคำพิพากษาของศาลล่าสุดซึ่งไม่เป็นผลดีกับบริษัท ตลอดจนสถานะทางการเงินที่ยังคงอ่อนแอลงด้วย โดยในมุมมองของทริสเรทติ้ง การฟ้องร้องดำเนินคดีอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงยังสร้างภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากที่ทริสเรทติ้งเคยประมาณการไว้ด้วย
          
          ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาแหล่งสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อรองรับภาระผูกพันในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนมิถุนายน 2568 แหล่งสภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดจำนวน 3.3 พันล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 4.6 พันล้านบาท

ตั้งสำรองจุกๆ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่