สัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร???

มันจะมีลัทธิเพี้ยนๆ ชอบพูดว่า ไม่ท่องตำรา หรือ ไม่เอาจิตเป็นอนัตตา ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ


พวกนี้ยกพระพุทธเจ้า พระธรรมมั่วๆ มาโจมตีผู้เห็นต่าง กลัวการปฏิบัติและสมาธิจนขี้ขึ้นสมอง พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

“เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่ถือเอานิมิตแห่งจิต จักบำเพ็ญสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้”
    การเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) จะเกิดได้ต่อเมื่อจิตมีสมาธิจากการเพ่งนิมิต
    ถ้าไม่ตั้งจิตในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง → จิตไม่สงบ → ความเข้าใจธรรมก็พร่าเลือน


อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้
แปล: อริยสาวกนั้นชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นถูกตรง มีศรัทธามั่นคงในธรรม และเข้าถึงพระสัทธรรมนี้


ก็อกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของผู้อื่น ปองร้ายเขา เห็นผิด อันนี้เรียกว่าอกุศลแต่ละอย่างๆ
แปล: แล้ว “อกุศล” คืออะไร? ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดคำหยาบ การพูดเพ้อเจ้อ การอยากได้ของผู้อื่น การคิดปองร้ายเขา และความเห็นผิด สิ่งเหล่านี้เรียกว่าอกุศล


รากเหง้าของอกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ อันนี้เรียกว่ารากเหง้าของอกุศลแต่ละอย่างๆ
แปล: ส่วนรากเหง้าแห่งอกุศลคืออะไร? ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง สิ่งเหล่านี้คือรากฐานของอกุศล


กุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ความเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่ปองร้ายเขา เห็นชอบ อันนี้เรียกว่ากุศลแต่ละอย่างๆ
แปล: แล้ว “กุศล” คืออะไร? ได้แก่ การเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภอยากได้ของคนอื่น ไม่คิดประทุษร้ายผู้อื่น และการมีความเห็นชอบ สิ่งเหล่านี้เรียกว่ากุศล


รากเหง้าของกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ อโลภะ อโทสะ อโมหะ อันนี้เรียกว่ารากเหง้าของกุศลแต่ละอย่างๆ
แปล: ส่วนรากเหง้าแห่งกุศลคืออะไร? ได้แก่ ความไม่โลภ ความไม่โกรธ และความไม่หลง สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของกุศล


ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัดซึ่งอกุศลและรากเหง้าของอกุศลอย่างนี้ๆ รู้ชัดซึ่งกุศลและรากเหง้าของกุศลอย่างนี้ๆ
แปล: ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดว่า อะไรคืออกุศลและเหตุแห่งอกุศล อะไรคือกุศลและเหตุแห่งกุศล


เมื่อนั้น ท่านละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐานุสัย และมานานุสัยว่าเรามีอยู่โดยประการทั้งปวง
แปล: เมื่อนั้น อริยสาวกย่อมละความเคยชินในราคะ (ราคานุสัย) บรรเทาความเคยชินในโทสะ (ปฏิฆานุสัย) ถอนความเคยชินในทิฏฐิ (ทิฏฐานุสัย) และถอนความเคยชินในมานะ (มานานุสัยที่ถือตัวว่ามีอยู่) ได้ทั้งหมด


ละอวิชชา ยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันนี้เทียว
แปล: เขาละอวิชชาได้ ทำให้เกิดวิชชา และย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ให้สิ้นไปในปัจจุบันนี้


แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้
แปล: แม้เพียงเหตุนี้ ก็ชื่อว่าอริยสาวกเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกตรง มีศรัทธามั่นคงในธรรม และเข้าถึงพระสัทธรรมแล้ว


จะเห็นว่า พระสารีบุตรสอนชัดมากว่า “สัมมาทิฏฐิ” ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเริ่มแรกเลย แต่คือ รู้ว่าอะไรดี-ไม่ดี อะไรเป็นเหตุของดีและไม่ดี → เมื่อรู้จริงก็ละกิเลสได้ → จบทุกข์ได้

ที่มา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

๙. สัมมาทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยความเห็นชอบ

[๑๑๑] ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดซึ่ง
อกุศลและรากเหง้าอกุศล รู้ชัดซึ่งกุศลและรากเหง้าของกุศล แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อริยสาวกชื่อว่า
เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้วประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่
พระสัทธรรมนี้ ก็อกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของผู้อื่น ปองร้ายเขา เห็นผิด อันนี้เรียกว่า
อกุศลแต่ละอย่างๆ รากเหง้าของอกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ อันนี้เรียกว่ารากเหง้า
ของอกุศลแต่ละอย่างๆ กุศลเป็นไฉน? ได้แก่ ความเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด
ในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่ปองร้ายเขา
เห็นชอบ อันนี้เรียกว่า กุศลแต่ละอย่างๆ รากเหง้าของกุศลเป็นไฉน? ได้แก่ อโลภะ อโทสะ
อโมหะ อันนี้เรียกว่า รากเหง้าของกุศลแต่ละอย่างๆ ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัด
ซึ่งอกุศลและรากเหง้าของอกุศลอย่างนี้ๆ รู้ชัดซึ่งกุศลและรากเหง้าของกุศลอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น ท่านละ
ราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐานุสัย และมานานุสัยว่า เรามีอยู่โดยประการทั้งปวง
ละอวิชชา ยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันนี้เทียว แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ  มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอัน
แน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่