อยากมาแชร์ประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับแอพหาคู่ครับ

สวัสดีครับ ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพครับ ปีนี้อายุ20ครับ เรื่องราวของผมมันอาจจะยาวนิดนึงแต่ผมเชื่อว่าการได้อ่านเรื่องราวของผมมันจะทำให้คุณได้อะไรกลับไปแน่นอนครับ ผมขอการันตีว่าเรื่องที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้มันเป็นเรื่องจริงที่มาจากประสบการณ์ของผมโดยตรง 100% ไม่มีการเติมแต่งเรื่องราวใดๆขึ้นมาทั้งสิ้น

ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่าผมเริ่มเล่นแอพหาคู่ได้ยังไง ผมไม่ค่อยได้ออกไปเจอผู้คนเท่าไหร่ เรียนเสร็จก็กลับบ้าน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มหาลัยปิดเทอมพอดีเลยมีเวลาว่างจากงาน สอบ และเรียน เลยลองออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆให้ตัวเองดู เพื่อนก็เลยแนะนำมาให้ไปลองเล่นแอพดู ช่วงสองสามอาทิตย์แรกก็มีคนเข้ามาคุยอยู่บ้างแต่ไม่นานก็หายไป อาจจะเป็นเพราะผมยังไม่ชินและไม่รู้ว่าจะคุยคนอื่นยังไงดี จนกระทั่งผมไปเจอกับผู้หญิงคนนึงครับ ที่หน้าโปรไฟล์เขาไม่ได้มีอธิบายอะไรบอกไว้เลย มีแค่แท็กสองสามอัน แล้วก็มีรูปภาพอยู่4-5รูป ซึ่งทั้งหมดไม่เห็นใบหน้าหรือแม้แต่รูปร่างเขาเลยด้วยซ้ำครับ มีแค่รูปที่ดูจะเป็นข้อมูลให้ได้มากที่สุดก็เป็นรูปที่เขายืนหันข้างแล้วเอามือปิดหน้าตัวเองนั่นแหละครับ ดูแล้วโปรไฟล์นี้มันน่ากลัวมากเลยใช่มั้ยล่ะครับ นอกจากนั้นโปรไฟล์ของเขายังเขียนว่า หาเพื่อนใหม่ ซึ่งไม่ตรงกับจุดประสงค์ของผมในตอนนั้นที่ต้องการจะหาใครสักคนที่จริงจัง แต่ทั้งหมดที่ผมพูดมามันกลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอยากจะลองคุยกับเขาดู ผมก็ไม่แน่ใจกับตัวเองเหมือนกัน จะบอกว่ามันเป็นชะตาลิขิตหรืออะไรแบบนั้นก็ได้ครับ ผมเลยตัดสินใจจะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง จนผมกับเขาได้เริ่มคุยกันครับ ผมจะได้ว่าถามชื่อเขาไป แล้วก็แลกไอจีไว้ แล้วผมก็ถามไปตรงๆเลยครับ ว่าทำไมถึงlikeผมมา เขาตอบว่า น่ารักดีอะก็เลยlikeมาคุยดู ผมสัมผัสได้เลยครับว่ามันแตกต่างจากคนก่อนๆอย่างสิ้นเชิง เชื่อมั้ยครับว่านี่คือครั้งแรกในชีวิตผมที่มีผู้หญิงบอกว่าผมน่ารักดี มันทำผมตื่นเต้นและเก็บอารมณ์ดีใจไว้ไม่อยู่  ผมเลยถามเขากลับว่า จริงหรอ เขาตอบว่า ช่ายยย หลังจากนั้นก็ได้คุยกันมาเรื่อยๆครับ จนได้โทรคุยกันครั้งแรกตอนช่วงอาทิตย์ที่สามของการคุยกัน ผมรู้สึกว่าเขามีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกับผมมาก ทั้งความคิด ทัศนคติ ทุกอย่างมันเป็นไปในทางที่ดีทั้งหมดเลยครับ ส่วนสูงที่ผมเคยคิดว่าเป็นปมด้อยของตัวเอง(ผมสูงแค่167ซม.นะครับซึ่งค่อนข้างจะตัวเล็กเมื่อเทียบกับผู้ชายในวัยเดียวกัน) เขาบอกว่าไม่ติดเรื่องส่วนสูงกับหน้าตาเลยขอแค่คุยแล้วโอเค หลังจากจบคืนนั้น วันรุ่งขึ้นผมก็ชวนเขาโทรคุยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาปฏิเสธครับ ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ไว้วันว่างๆก็ได้ จนผ่านไปอีกสองสามวัน ไม่น่าเชื่อครับ เขาเป๋นฝ่ายชวนผมโทรคุยเองเลย ผมถึงกับหุบยิ้มไว้ไม่อยู่จนเพื่อนข้างๆถามว่า เป็นอะไรเนี่ย มันโครตจะมีพิรุธเลยครับ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็เป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้รับประสบการณ์แบบนี้อะนะครับ มีอยู่วันนึงเขาลงสตอรี่หน้าตัวเอง ผมตกใจมากเลยครับ เขาเป็นสวยจริงๆครับ สวยแบบตรงสเปกผมเลยครับ ผิวขาว ผมยาว หน้าหมวยนิดๆ โครตจะน่ารักเลยครับ แล้วเวลาก็ผ่านไปจนเราเปิดใจคุยกันถึงแนวทางในอนาคตว่าจะเป็นไปยังไงต่อ เราเลยตกลงกันว่า เราจะโทรคุยกันอาทิตย์ละครั้ง ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากเลยครับ ผมลืมเล่าว่าก่อนหน้านี้ผมเคยถามเขาไปตรงๆแล้วนะครับว่า ตอนนี้เราเป็นอะไรกัน แล้วก็บอกเขาไปตรงๆว่า เราจริงจังนะ เราอยากไปต่อนะ ที่ผมถามแบบนี้ก็เพราะว่า ผมกับเขาค่อนข้างที่จะไกลกันพอสมควรเลยครับระดับ 300km++ ทำให้ผมที่ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนไม่แน่ใจว่ามันจะรอดมั้ย นั่นผมเป็นสาเหตุที่ผมอยากถามหาความชัดเจนจากเขาครับ จนเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ โทรคุยกันน่าจะเกินห้ารอบได้ครับ เขาก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว โดยที่เขาพูดกับผมอย่างชัดเจนเลยนะครับว่า พอเปิดเทอมน่าจะมีเวลาคุยกันน้อยลงนะ ซึ่งผมก็เข้าใจในส่วนนี้ครับ ที่พอเขาเปิดเทอมจริงๆ บทสนทนาในวันๆนึงมันน้อยลงมาก เหลือแค่4-5ประโยคต่อวัน แล้วเป็นอย่างนั้นอยู่เกือบๆอาทิตย์ได้ จนถึงวันเสาร์เราก็ได้โทรคุยกันมันเลยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง พอเข้าอาทิตย์ถัดไปมันก็เป็นแบบเดิม มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ได้แล้วแบบนี้ผมต้องสื่อสารกับเขาให้เข้าใจตรงกันในเรื่องนี้ก่อน แต่ตอนนั้นเขาบอกว่ายุ่งมากๆไม่มีเวลาจะมาโทรคุยกัน ผมเลยบอกย้ำไปอีกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ขอโทรคุยกันได้มั้ย เขายังยืนยันคำเดิมว่า ไม่สะดวกจริงๆ พิมพ์มาได้มั้ย ผมเลยบอกว่า เราคิดว่าการสื่อสารในวันๆนึงของเรามันน้อยเกินไปหน่อยอะ เราเข้าใจถึงความยุ่งของแกนะ แต่เราก็ยังอยากได้ความชัดเจนที่มากกว่านี้อะ ด้วยความที่มันไกลกัน แล้วเราก็ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วย เราว่าการสื่อสารที่ดีมันจำเป็นต่อเราทั้งคู่นะ แกพอจะทำให้อะไรๆมันชัดเจนมากขึ้นเพื่อเราสองคนได้มั้ย(ที่จริงมันยาวกว่านี้นะครับ แต่ผมจำได้คร่าวๆประมาณนี้) เขาเลยตอบกลับมาว่า สำหรับเราแกเป็นคนพิเศษนะ แกนิสัยดีมากเข้าใจคนอื่น แต่ตอนนี้เรายุ่งมากจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลย เราขอหยุดก่อนได้มั้ย เราผิดเองแหละที่ไม่สื่อสารให้ชัดเจน เราขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะ ฟังดูเหมือนผมเพิ่งอกหักใช่มั้ยครับ ใช่ครับผมเสียใจแล้วก็รู้สึกว่ามันดูไม่ยุติธรรมเอาซะเลยกับคนที่ตั้งใจรักอย่างดี คอยถามทุกวันว่าเป็นไงบ้าง เหนื่อยมั้ย มันทำผมซึมไปช่วงนึงเลยครับ แต่ไม่นานครับผมก็ได้สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมา มันไม่ใช่คนรักหรือไม่ใช่แฟน แต่มันคือตัวผมในเวอร์ชั่นที่พัฒนาแล้วครับ ทั้งร่างกายและจิตใจมันถูกอัปเกรดขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อเลยครับ ผมได้เรียนรู้ว่าการมูฟออน ไม่ใช่การที่เราไม่คิดถึงเขา แต่มันคือการที่เราคิดถึงเขาในฐานะของความทรงจำดีๆที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ตาม เขาก็จะยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของเราเสมอ จะไม่มีใครมาแยกเรากับเขาได้อีก ถ้าคุณกำลังเจอสถานการณ์เดียวกันกับผมอยากให้คุณคิดแบบนี้เลยครับ มันเป็นประโยชน์และช่วยได้มากเลยตลอดช่วงที่เราได้คุยกัน มันคือความรู้สึกขอบคุณตัวเองที่วันนั้นเรากล้าที่จะลองเปิดใจคุยกับเขา ทำให้เราได้รับความสัมพันธ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตมา แม้จะไม่ได้ลงเอยกัน แต่ตลอดการเดินทางนี้ผมเติบโตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร ผมไม่ได้เสียอะไรไปเลยแถมยังได้สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมาอีก ผมโครตจะคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเลยครับ ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองที่กล้าจะลองอะไรใหม่ๆ กล้าจะทำอะไรใหม่ๆ จนทำให้ผมเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยครับ ผมหวังว่าคนที่อ่านมาถึงตรงนี้จะได้อะไรกลับไปจากประสบการณ์ของผมไม่มากก็น้อยนะครับ ใครอยากแชร์เรื่องราวของตัวเองบ้างก็เชิญได้เต็มที่เลยผมเองก็อยากอ่านประสบการณ์ของคนอื่นๆเหมือนกันหรืออยากจะคุยกับผม ผมก็ยินดีมากๆเลยครับ ส่วนใครที่กำลังเจอกับประสบการณ์แบบเดียวกันก็สู้ๆนะครับ สักวันคุณจะผ่านมันไปได้แล้วได้เจอกับตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นและพร้อมสำหรับคนที่ใช่ในอนาคตนะครับ แล้วสักวันเมื่อคุณเป็นตัวของตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด เมื่อนั้นความรักดีๆจะถูกดึงดูดเข้ามาหาคุณเองครับ ขอให้ทุกคนโชคดีและสมหวังในความรักนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่