แต่ธนาคารเอกชน หลังๆก็ปฎิเสธแล้ว เช่นต้องขอใบรับรองการทำงาน
ธปท.เปิดรับฟังความคิดเห็นปรับปรุงหลักเกณฑ์ KYC สำหรับเปิดบัญชีเงินฝากของแบงก์รัฐ หวังทบทวนหลักเกณฑ์ให้คล่องตัว ดึงเทคโนโลยีประยุกต์-หนุนต้นทุนต่ำลง ย้ำการพิสูจน์ตัวตนต้องรัดกุม-ตามระดับความเสี่ยงลูกค้า ฟาก “ออมสิน” ยันไม่ต้องลงทุนระบบเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) หลักเกณฑ์การรู้จักลูกค้า (Know Your Customer : KYC) สำหรับการเปิดบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ซึ่งกระบวนการรู้จักลูกค้าเป็นมาตรการที่ใช้ในการแสดงตนและพิสูจน์ตัวตนลูกค้า เพื่อป้องกันการทุจริตจากการปลอมแปลงข้อมูลบุคคลหรือการใช้ข้อมูลบุคคลอื่นในการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพสูง
โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้ SFIs มีกระบวนการรู้จักลูกค้าที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสม หรือต่ำลง SFIs สามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เช่น เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลชีวมิติของลูกค้า (Biometric Comparison) และระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ประกอบกับหลักเกณฑ์ปัจจุบันมีความซ้ำซ้อนกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ธปท.จึงมีการทบทวนหลักเกณฑ์เพื่อให้ SFIs สามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัว
ทั้งนี้ สาระสำคัญ ได้แก่
1.ปรับปรุงข้อกำหนดในส่วนของการแสดงตนของลูกค้า (Identification) ให้ SFIs ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแทนการกำหนดข้อมูลและเอกสารแสดงตน และกระบวนการสังเกตพฤติกรรม รวมทั้งลงลายมือชื่อ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับอื่น
2.เพิ่มความยืดหยุ่นในขั้นตอนการพิสูจน์ตัวตนลูกค้า (Verification) แบบไม่พบเห็นลูกค้าต่อหน้า (Non Face-to-Face) โดยให้ SFIs สามารถใช้ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ได้มาตรฐานในการพิสูจน์ตัวตนลูกค้าเพียงขั้นตอนเดียวได้ จากเดิมที่ต้องใช้กระบวนการอื่น ๆ ในการพิสูจน์ตัวตนลูกค้า เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเปิดบัญชีเงินฝากให้กับลูกค้า ช่วยให้ SFIs มีต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสม และทำให้กระบวนการรู้จักลูกค้าในการเปิดบัญชีเงินฝากมีแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกันทั้งระบบสถาบันการเงิน
3.เพิ่มทางเลือกให้ SFIs สามารถพิจารณาใช้กระบวนการอื่นตามระดับความเสี่ยงของลูกค้าและช่องทางการให้บริการที่สอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยงของ SFIs ได้ สำหรับกรณีการเปิดบัญชีเงินฝากในครั้งต่อไปให้กับลูกค้าปัจจุบันที่เคยผ่านกระบวนการรู้จักลูกค้าตามหลักเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้แล้ว โดยจะต้องมีวิธีการยืนยันตัวตนลูกค้า (Authentication) ที่รัดกุมและต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าลูกค้าที่ประสงค์จะเปิดบัญชีเงินฝากเป็นลูกค้ารายนั้นจริง เช่น การใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลชีวมิติของลูกค้าในการยืนยันตัวตน
และ 4.เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินการ โดย SFIs สามารถขออนุญาตต่อ ธปท.ได้เพิ่มเติม ซึ่งครอบคลุมกรณีที่ SFIs ประสงค์ที่จะใช้กระบวนการหรือการดำเนินการอื่นในการรู้จักลูกค้าเพื่อเปิดบัญชีเงินฝาก หรือในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดได้
อย่างไรก็ดี ธปท.อาจพิจารณากำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม สั่งให้แก้ไข ชะลอ หรือระงับการดำเนินการทั้งหมดหรือบางส่วน หากพบว่า SFIs ไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดไว้ในประกาศฉบับนี้ หรือกรณีอื่น ๆ ที่ ธปท.เห็นว่าการดำเนินการของ SFIs อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความผาสุกของประชาชนหรือความมั่นคงของ SFIs หรือสถาบันการเงิน
นายวชิราวัชร์ มหาทัพกฤษ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ธนาคารออมสิน กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ร่างหลักเกณฑ์ KYC ของ SFIs ที่ออกมาล่าสุด ออกมาหลัง ธปท.ได้ออกเกณฑ์ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ไปแล้ว เพื่อให้แนวทางการดำเนินงานสอดคล้องกัน
ซึ่งภายใต้ร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าว ธนาคารไม่ต้องปรับหรือลงทุนระบบเพิ่มเติม
โดยกระบวนการรู้จักลูกค้า KYC เป็นกระบวนการเปิดบัญชีปกติ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงของลูกค้า เพียงแต่เกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยให้ SFIs มีหลังพิงในการปฏิเสธการเปิดบัญชีลูกค้าได้ดีขึ้น หากตรวจสอบพบว่าลูกค้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือมีชื่ออยู่ในถังข้อมูลจากระบบ Central Fraud Registry (CFR) จะไม่สามารถเปิดบัญชีได้
นอกจากนี้ ภายหลังกระบวนการรู้จักลูกค้า อาชีพ วัตถุประสงค์การเปิดบัญชี และรายได้แล้ว ซึ่งต่อไประบบจะมีการเชื่อมต่อในการจำกัดวงเงินการทำธุรกรรมของลูกค้าตามระดับความเสี่ยง หรือการทำโปรไฟล์ (Profiling) ของลูกค้า เพื่อป้องกันและลดความเสียหายจากภัยทุจริตทางการเงิน
“ร่างฉบับนี้ รายละเอียดในการ KYC หรือกระบวนการทำงานไม่ได้เปลี่ยนหรือต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม แต่ร่างนี้จะเป็นหลังพิงให้เราสามารถปฏิเสธการเปิดบัญชีกลุ่มเสี่ยงได้ จากเดิมเราไม่สามารถปฏิเสธการเปิดบัญชีให้ลูกค้าได้ โดยจะทำให้บัญชีเปิดยากขึ้นหากลูกค้าอยู่ในถัง CFR โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธปท.ได้ประกาศบังคับภาคธนาคารพาณิชย์ไปแล้ว”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1870202
ธปท.ปรับเกณฑ์ KYC ใหม่ เปิดบัญชีเงินฝากแบงก์รัฐ มีสิทธิ์ปฎิเสธ
ธปท.เปิดรับฟังความคิดเห็นปรับปรุงหลักเกณฑ์ KYC สำหรับเปิดบัญชีเงินฝากของแบงก์รัฐ หวังทบทวนหลักเกณฑ์ให้คล่องตัว ดึงเทคโนโลยีประยุกต์-หนุนต้นทุนต่ำลง ย้ำการพิสูจน์ตัวตนต้องรัดกุม-ตามระดับความเสี่ยงลูกค้า ฟาก “ออมสิน” ยันไม่ต้องลงทุนระบบเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) หลักเกณฑ์การรู้จักลูกค้า (Know Your Customer : KYC) สำหรับการเปิดบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ซึ่งกระบวนการรู้จักลูกค้าเป็นมาตรการที่ใช้ในการแสดงตนและพิสูจน์ตัวตนลูกค้า เพื่อป้องกันการทุจริตจากการปลอมแปลงข้อมูลบุคคลหรือการใช้ข้อมูลบุคคลอื่นในการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพสูง
โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้ SFIs มีกระบวนการรู้จักลูกค้าที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสม หรือต่ำลง SFIs สามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เช่น เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลชีวมิติของลูกค้า (Biometric Comparison) และระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ประกอบกับหลักเกณฑ์ปัจจุบันมีความซ้ำซ้อนกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ธปท.จึงมีการทบทวนหลักเกณฑ์เพื่อให้ SFIs สามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัว
ทั้งนี้ สาระสำคัญ ได้แก่
1.ปรับปรุงข้อกำหนดในส่วนของการแสดงตนของลูกค้า (Identification) ให้ SFIs ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแทนการกำหนดข้อมูลและเอกสารแสดงตน และกระบวนการสังเกตพฤติกรรม รวมทั้งลงลายมือชื่อ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับอื่น
2.เพิ่มความยืดหยุ่นในขั้นตอนการพิสูจน์ตัวตนลูกค้า (Verification) แบบไม่พบเห็นลูกค้าต่อหน้า (Non Face-to-Face) โดยให้ SFIs สามารถใช้ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ได้มาตรฐานในการพิสูจน์ตัวตนลูกค้าเพียงขั้นตอนเดียวได้ จากเดิมที่ต้องใช้กระบวนการอื่น ๆ ในการพิสูจน์ตัวตนลูกค้า เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเปิดบัญชีเงินฝากให้กับลูกค้า ช่วยให้ SFIs มีต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสม และทำให้กระบวนการรู้จักลูกค้าในการเปิดบัญชีเงินฝากมีแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกันทั้งระบบสถาบันการเงิน
3.เพิ่มทางเลือกให้ SFIs สามารถพิจารณาใช้กระบวนการอื่นตามระดับความเสี่ยงของลูกค้าและช่องทางการให้บริการที่สอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยงของ SFIs ได้ สำหรับกรณีการเปิดบัญชีเงินฝากในครั้งต่อไปให้กับลูกค้าปัจจุบันที่เคยผ่านกระบวนการรู้จักลูกค้าตามหลักเกณฑ์ในประกาศฉบับนี้แล้ว โดยจะต้องมีวิธีการยืนยันตัวตนลูกค้า (Authentication) ที่รัดกุมและต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าลูกค้าที่ประสงค์จะเปิดบัญชีเงินฝากเป็นลูกค้ารายนั้นจริง เช่น การใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบข้อมูลชีวมิติของลูกค้าในการยืนยันตัวตน
และ 4.เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินการ โดย SFIs สามารถขออนุญาตต่อ ธปท.ได้เพิ่มเติม ซึ่งครอบคลุมกรณีที่ SFIs ประสงค์ที่จะใช้กระบวนการหรือการดำเนินการอื่นในการรู้จักลูกค้าเพื่อเปิดบัญชีเงินฝาก หรือในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดได้
อย่างไรก็ดี ธปท.อาจพิจารณากำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม สั่งให้แก้ไข ชะลอ หรือระงับการดำเนินการทั้งหมดหรือบางส่วน หากพบว่า SFIs ไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดไว้ในประกาศฉบับนี้ หรือกรณีอื่น ๆ ที่ ธปท.เห็นว่าการดำเนินการของ SFIs อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความผาสุกของประชาชนหรือความมั่นคงของ SFIs หรือสถาบันการเงิน
นายวชิราวัชร์ มหาทัพกฤษ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ธนาคารออมสิน กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ร่างหลักเกณฑ์ KYC ของ SFIs ที่ออกมาล่าสุด ออกมาหลัง ธปท.ได้ออกเกณฑ์ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ไปแล้ว เพื่อให้แนวทางการดำเนินงานสอดคล้องกัน
ซึ่งภายใต้ร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าว ธนาคารไม่ต้องปรับหรือลงทุนระบบเพิ่มเติม โดยกระบวนการรู้จักลูกค้า KYC เป็นกระบวนการเปิดบัญชีปกติ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงของลูกค้า เพียงแต่เกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยให้ SFIs มีหลังพิงในการปฏิเสธการเปิดบัญชีลูกค้าได้ดีขึ้น หากตรวจสอบพบว่าลูกค้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือมีชื่ออยู่ในถังข้อมูลจากระบบ Central Fraud Registry (CFR) จะไม่สามารถเปิดบัญชีได้
นอกจากนี้ ภายหลังกระบวนการรู้จักลูกค้า อาชีพ วัตถุประสงค์การเปิดบัญชี และรายได้แล้ว ซึ่งต่อไประบบจะมีการเชื่อมต่อในการจำกัดวงเงินการทำธุรกรรมของลูกค้าตามระดับความเสี่ยง หรือการทำโปรไฟล์ (Profiling) ของลูกค้า เพื่อป้องกันและลดความเสียหายจากภัยทุจริตทางการเงิน
“ร่างฉบับนี้ รายละเอียดในการ KYC หรือกระบวนการทำงานไม่ได้เปลี่ยนหรือต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม แต่ร่างนี้จะเป็นหลังพิงให้เราสามารถปฏิเสธการเปิดบัญชีกลุ่มเสี่ยงได้ จากเดิมเราไม่สามารถปฏิเสธการเปิดบัญชีให้ลูกค้าได้ โดยจะทำให้บัญชีเปิดยากขึ้นหากลูกค้าอยู่ในถัง CFR โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธปท.ได้ประกาศบังคับภาคธนาคารพาณิชย์ไปแล้ว”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1870202