ในเมื่อเราใช้พลังงานจากฟอตซิ่วแล้ว พลัง งานจากดวงอาทิตแล้ว พลังงานจากลมแล้ว พลังงานจากน้ำแล้ว
เรายังมีพลังงานส่วนไหน ในโลกนี้ที่เรายังไม่ได้เอามาใช้อีกบ้าง
โอ้ นี่เป็นคำถามที่ลึกมากครับ 🌍⚡
คุณพูดถึง พลังงานหมุนเวียนหลัก ทั้ง 4 แบบที่เราใช้อยู่แล้ว:
ฟอสซิล (น้ำมัน, ถ่านหิน, ก๊าซ)
พลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานลม
พลังงานน้ำ
นอกจากนั้น ยังมี พลังงานรูปแบบอื่น ๆ ที่โลกมีอยู่แต่เรายังใช้น้อยหรือกำลังเริ่มใช้
---
🔹 พลังงานที่ยังไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่เต็มที่
1. พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal)
ใช้ความร้อนจากใต้พื้นโลกมาผลิตไฟฟ้า
ปัจจุบันใช้ในบางประเทศเช่น ไอซ์แลนด์, ฟิลิปปินส์ แต่ศักยภาพทั่วโลกยังสูงมาก
2. พลังงานคลื่นและพลังงานน้ำขึ้นน้ำลง (Wave & Tidal Energy)
ใช้พลังงานจากคลื่นทะเลหรือกระแสน้ำทะเล
ยังไม่แพร่หลายเพราะต้องลงทุนสูงและเทคโนโลยีซับซ้อน
3. พลังงานชีวมวล (Biomass & Biofuel)
ใช้ของเสียจากการเกษตร, ขยะอินทรีย์, ไม้ และพืชพลังงาน
สามารถผลิตไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และแก๊สชีวภาพ
4. พลังงานจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความเค็มน้ำ (Ocean Thermal & Salinity Gradient)
ใช้ความต่างอุณหภูมิระหว่างผิวน้ำกับน้ำลึก หรือความแตกต่างของความเค็ม
ศักยภาพสูง แต่ยังทดลองในระดับเล็ก
5. พลังงานนิวเคลียร์ / ฟิวชัน (Nuclear / Fusion)
นิวเคลียร์แบบฟิชชั่น (Fission) ใช้กันแล้ว แต่มีข้อกังวลเรื่องขยะนิวเคลียร์
ฟิวชัน (Fusion) คือการหลอมรวมอะตอม → พลังงานมหาศาล, สะอาด, แต่ยังทดลองอยู่
6. พลังงานจากอากาศร้อน / พลังงานจากแรงโน้มถ่วง
เช่นใช้ความต่างความหนาแน่นของอากาศร้อน/เย็นผลิตไฟฟ้า
ใช้แรงโน้มถ่วงและน้ำหนัก เช่น ระบบ Gravity Battery เพื่อเก็บพลังงาน
---
🔹 สรุป
โลกเรายังมี พลังงานอีกหลายรูปแบบ ที่เรายังไม่ได้ใช้เต็มที่ โดยบางอย่างอาจเป็น พลังงานสะอาดและยั่งยืน ถ้าเทคโนโลยีพร้อมก็สามารถนำมาใช้แทนฟอสซิลในอนาคตได้
---
เยี่ยมครับ! 🌊💡 คุณกำลังพูดถึง พลังงานจากมหาสมุทร 2 ประเภทหลัก:
1. Ocean Thermal Energy Conversion (OTEC) – พลังงานความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างผิวน้ำอุ่นกับน้ำลึกเย็น
2. Salinity Gradient Energy (Blue Energy / Pressure Retarded Osmosis) – พลังงานจากความแตกต่างของความเค็มของน้ำจืดกับน้ำทะเล
ผมอธิบายวิธีการดึงพลังงานทั้งสองแบบให้เข้าใจง่าย ๆ ครับ
---
🔹 1. พลังงานความแตกต่างอุณหภูมิ (OTEC)
หลักการ:
น้ำทะเลผิวบนมีอุณหภูมิสูง (เช่น 25–30°C)
น้ำลึกมีอุณหภูมิต่ำมาก (เช่น 5°C)
ความแตกต่างของอุณหภูมิประมาณ 20°C สามารถทำให้เครื่อง หมุนเทอร์ไบน์ ผลิตไฟฟ้าได้
วิธีดึงพลังงาน:
1. น้ำทะเลอุ่นถูกนำมาใช้ทำให้ สารทำความเย็น (Working Fluid) ระเหยเป็นไอ
2. ไอไปหมุน เทอร์ไบน์ผลิตไฟฟ้า
3. น้ำลึกเย็นถูกใช้ ควบแน่นไอ กลับเป็นของเหลว
4. ทำเป็นวงจรหมุนซ้ำ → เกิดไฟฟ้า
ข้อดี:
พลังงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง (ไม่เหมือนพลังงานลมหรือแสงอาทิตย์)
ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้า, น้ำจืด, และความเย็นได้พร้อมกัน
ข้อจำกัด:
ต้องอยู่ในพื้นที่ทะเลเขตร้อนที่มีอุณหภูมิผิว-ลึกต่างกันมาก
ต้นทุนสูง, โครงสร้างใหญ่
---
🔹 2. พลังงานความแตกต่างความเค็ม (Salinity Gradient / Blue Energy)
หลักการ:
น้ำจืด (เช่น น้ำแม่น้ำ) + น้ำทะเล → มี ความแตกต่างความเค็ม
สามารถสร้าง แรงดันออสโมซิส เพื่อหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
วิธีดึงพลังงาน:
1. ใช้ เมมเบรนกึ่งซึมผ่าน (Semi-Permeable Membrane)
น้ำจืดจะผ่านไปสู่ด้านน้ำทะเล → ทำให้เกิดแรงดัน
2. แรงดันนี้ไปหมุน เทอร์ไบน์ผลิตไฟฟ้า
3. น้ำทะเลและน้ำจืดถูกจัดการอย่างเหมาะสม → วงจรหมุนซ้ำได้
ข้อดี:
ใช้ได้ตลอดเวลา, ไม่ขึ้นกับแดดหรือฝน
เหมาะกับพื้นที่ปากแม่น้ำ-ทะเล
ข้อจำกัด:
เทคโนโลยีเมมเบรนยังมีราคาสูงและต้องทนต่อเกลือทะเล
การบำรุงรักษาและการป้องกันตะกอนในน้ำเป็นเรื่องท้าทาย
---
💡 สรุปง่าย ๆ:
OTEC → ใช้ความต่างอุณหภูมิ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
Blue Energy → ใช้ความต่างความเค็ม → แรงดันน้ำ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
เยี่ยมครับ! 🌞🌍 คุณกำลังพูดถึง พลังงานจากความร้อน (Thermal Energy) และ พลังงานจากแรงโน้มถ่วง (Gravity Energy) ซึ่งทั้งสองแบบสามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้ แต่คนส่วนใหญ่อาจยังไม่ค่อยคุ้นเคย
---
🔹 1. พลังงานจากความร้อน (Thermal Energy / Heat Energy)
หลักการ:
ทุกอย่างที่ร้อน → มีพลังงานความร้อน
เราสามารถแปลง ความร้อนต่างอุณหภูมิ เป็นพลังงานกล → ผลิตไฟฟ้า
ตัวอย่างการนำไปใช้:
1. เครื่องกำเนิดไฟฟ้าความร้อน (Thermoelectric Generator, TEG)
ใช้วัสดุพิเศษ → ความร้อนทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า
ใช้กับ เศษความร้อนจากโรงงาน, ไอเสียรถยนต์
2. พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal)
ใช้ความร้อนใต้พื้นดิน → ผลิตไอน้ำ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
3. พลังงานจากความร้อนอุตสาหกรรม / Solar Thermal
รวมความร้อนจากแสงอาทิตย์ → ทำให้ของเหลวระเหย → หมุนเทอร์ไบน์
ข้อดี:
ใช้ความร้อนที่สูญเสียไปแล้ว → เพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน
สร้างไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง (24 ชม.)
ข้อจำกัด:
ต้องมีแหล่งความร้อนที่เพียงพอ
เทคโนโลยีบางอย่างยังมีต้นทุนสูง
---
🔹 2. พลังงานจากแรงโน้มถ่วง (Gravity Energy / Gravity Battery)
หลักการ:
แรงโน้มถ่วง = พลังงานศักย์ของวัตถุสูง → เมื่อนำลงมา → แปลงเป็นพลังงานกล → ผลิตไฟฟ้า
สามารถเก็บพลังงานไว้ช่วงเวลาไฟฟ้าเกิน แล้วปล่อยใช้เมื่อไฟฟ้าต้องการ
ตัวอย่างการนำไปใช้:
1. Gravity Battery / Gravitational Energy Storage
ยกก้อนหินหนักหรือแท่งน้ำขึ้นสูง → เก็บพลังงานศักย์
ปล่อยลงมา → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
2. Pumped Hydro Storage (พลังงานน้ำแบบสูบขึ้น)
น้ำถูกสูบขึ้นไปเก็บบนเขื่อน → ปล่อยลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
ข้อดี:
เก็บพลังงานได้หลายชั่วโมงถึงหลายวัน
วงจรชีวิตระบบยาว, ปลอดสารพิษ
ข้อจำกัด:
ต้องใช้โครงสร้างใหญ่ (น้ำหนัก/พื้นที่)
เหมาะกับพื้นที่เฉพาะ เช่น เนินเขาหรือเขื่อน
---
💡 สรุปง่าย ๆ:
พลังงานวิธีดึงพลังงานข้อดีข้อจำกัด
ความร้อนThermoelectric, Geothermal, Solar Thermalใช้ความร้อนสูญเสีย, ต่อเนื่องต้องแหล่งความร้อนเพียงพอ, ต้นทุนสูง
แรงโน้มถ่วงGravity Battery, Pumped Hydroเก็บพลังงาน, วงจรชีวิตยาวโครงสร้างใหญ่, พื้นที่จำกัด
---
ถูกต้องครับ! 💡 คุณกำลังพูดถึง หลักการพลังงานศักย์จากความสูง → พลังงานจลน์ → ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของหลายระบบพลังงาน
---
🔹 หลักการง่าย ๆ
1. วัตถุที่อยู่สูง → มี พลังงานศักย์ (Potential Energy)
PE = m \cdot g \cdot h
= ความเร่งโน้มถ่วง (9.8 m/s²)
= ความสูง
2. ปล่อยวัตถุให้ตกลง → แปลงเป็น พลังงานจลน์ (Kinetic Energy)
แรงนี้สามารถหมุน เทอร์ไบน์ / Generator → ผลิตไฟฟ้า
---
🔹 ตัวอย่างการใช้พลังงานจากความสูง
1. พลังงานน้ำ (Hydropower / Dam)
น้ำจากเขื่อนสูง → ไหลลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
2. Gravity Battery
ยกวัตถุหนักขึ้นสูง → เก็บพลังงาน
ปล่อยลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
ใช้เก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมช่วงไฟฟ้าเกิน
3. ระบบน้ำหนักในตึกสูง (Urban Gravity Storage)
ยกแท่งหนักในอาคารสูง → ปล่อยลงตามต้องการ → ผลิตไฟฟ้า
---
🔹 ข้อดี
เก็บพลังงานได้แม้ไม่มีแสงอาทิตย์หรือไม่มีกระแสลม
วงจรชีวิตระบบยาว, ไม่มีสารพิษ
🔹 ข้อจำกัด
ต้องมีโครงสร้างสูงและแข็งแรง
การสร้างอาจต้องใช้พื้นที่หรือวัสดุเยอะ
---
สรุปง่าย ๆ:
> แค่สิ่งของสูงลงสู่ที่ต่ำ → สามารถใช้ แรงโน้มถ่วงขับเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้าได้จริง 🌍⚡
ระบบนี้สามารถใช้ เก็บพลังงานสำรอง ในช่วงเวลาที่ไฟฟ้ามากเกินไปหรือใช้ไม่ทัน
---
อันนี้เลือกเอาที่เข้าใจงายและน่าจะเป็นไปได้
ในเมื่อเราใช้พลังงานจากฟอตซิ่วแล้ว พลัง งานจากดวงอาทิตแล้ว พลังงานจากลมแล้ว พลังงานจากน้ำแล้ว เรายังมีพลังงานส่วนไหน
เรายังมีพลังงานส่วนไหน ในโลกนี้ที่เรายังไม่ได้เอามาใช้อีกบ้าง
โอ้ นี่เป็นคำถามที่ลึกมากครับ 🌍⚡
คุณพูดถึง พลังงานหมุนเวียนหลัก ทั้ง 4 แบบที่เราใช้อยู่แล้ว:
ฟอสซิล (น้ำมัน, ถ่านหิน, ก๊าซ)
พลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานลม
พลังงานน้ำ
นอกจากนั้น ยังมี พลังงานรูปแบบอื่น ๆ ที่โลกมีอยู่แต่เรายังใช้น้อยหรือกำลังเริ่มใช้
---
🔹 พลังงานที่ยังไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่เต็มที่
1. พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal)
ใช้ความร้อนจากใต้พื้นโลกมาผลิตไฟฟ้า
ปัจจุบันใช้ในบางประเทศเช่น ไอซ์แลนด์, ฟิลิปปินส์ แต่ศักยภาพทั่วโลกยังสูงมาก
2. พลังงานคลื่นและพลังงานน้ำขึ้นน้ำลง (Wave & Tidal Energy)
ใช้พลังงานจากคลื่นทะเลหรือกระแสน้ำทะเล
ยังไม่แพร่หลายเพราะต้องลงทุนสูงและเทคโนโลยีซับซ้อน
3. พลังงานชีวมวล (Biomass & Biofuel)
ใช้ของเสียจากการเกษตร, ขยะอินทรีย์, ไม้ และพืชพลังงาน
สามารถผลิตไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และแก๊สชีวภาพ
4. พลังงานจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความเค็มน้ำ (Ocean Thermal & Salinity Gradient)
ใช้ความต่างอุณหภูมิระหว่างผิวน้ำกับน้ำลึก หรือความแตกต่างของความเค็ม
ศักยภาพสูง แต่ยังทดลองในระดับเล็ก
5. พลังงานนิวเคลียร์ / ฟิวชัน (Nuclear / Fusion)
นิวเคลียร์แบบฟิชชั่น (Fission) ใช้กันแล้ว แต่มีข้อกังวลเรื่องขยะนิวเคลียร์
ฟิวชัน (Fusion) คือการหลอมรวมอะตอม → พลังงานมหาศาล, สะอาด, แต่ยังทดลองอยู่
6. พลังงานจากอากาศร้อน / พลังงานจากแรงโน้มถ่วง
เช่นใช้ความต่างความหนาแน่นของอากาศร้อน/เย็นผลิตไฟฟ้า
ใช้แรงโน้มถ่วงและน้ำหนัก เช่น ระบบ Gravity Battery เพื่อเก็บพลังงาน
---
🔹 สรุป
โลกเรายังมี พลังงานอีกหลายรูปแบบ ที่เรายังไม่ได้ใช้เต็มที่ โดยบางอย่างอาจเป็น พลังงานสะอาดและยั่งยืน ถ้าเทคโนโลยีพร้อมก็สามารถนำมาใช้แทนฟอสซิลในอนาคตได้
---
เยี่ยมครับ! 🌊💡 คุณกำลังพูดถึง พลังงานจากมหาสมุทร 2 ประเภทหลัก:
1. Ocean Thermal Energy Conversion (OTEC) – พลังงานความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างผิวน้ำอุ่นกับน้ำลึกเย็น
2. Salinity Gradient Energy (Blue Energy / Pressure Retarded Osmosis) – พลังงานจากความแตกต่างของความเค็มของน้ำจืดกับน้ำทะเล
ผมอธิบายวิธีการดึงพลังงานทั้งสองแบบให้เข้าใจง่าย ๆ ครับ
---
🔹 1. พลังงานความแตกต่างอุณหภูมิ (OTEC)
หลักการ:
น้ำทะเลผิวบนมีอุณหภูมิสูง (เช่น 25–30°C)
น้ำลึกมีอุณหภูมิต่ำมาก (เช่น 5°C)
ความแตกต่างของอุณหภูมิประมาณ 20°C สามารถทำให้เครื่อง หมุนเทอร์ไบน์ ผลิตไฟฟ้าได้
วิธีดึงพลังงาน:
1. น้ำทะเลอุ่นถูกนำมาใช้ทำให้ สารทำความเย็น (Working Fluid) ระเหยเป็นไอ
2. ไอไปหมุน เทอร์ไบน์ผลิตไฟฟ้า
3. น้ำลึกเย็นถูกใช้ ควบแน่นไอ กลับเป็นของเหลว
4. ทำเป็นวงจรหมุนซ้ำ → เกิดไฟฟ้า
ข้อดี:
พลังงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง (ไม่เหมือนพลังงานลมหรือแสงอาทิตย์)
ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้า, น้ำจืด, และความเย็นได้พร้อมกัน
ข้อจำกัด:
ต้องอยู่ในพื้นที่ทะเลเขตร้อนที่มีอุณหภูมิผิว-ลึกต่างกันมาก
ต้นทุนสูง, โครงสร้างใหญ่
---
🔹 2. พลังงานความแตกต่างความเค็ม (Salinity Gradient / Blue Energy)
หลักการ:
น้ำจืด (เช่น น้ำแม่น้ำ) + น้ำทะเล → มี ความแตกต่างความเค็ม
สามารถสร้าง แรงดันออสโมซิส เพื่อหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
วิธีดึงพลังงาน:
1. ใช้ เมมเบรนกึ่งซึมผ่าน (Semi-Permeable Membrane)
น้ำจืดจะผ่านไปสู่ด้านน้ำทะเล → ทำให้เกิดแรงดัน
2. แรงดันนี้ไปหมุน เทอร์ไบน์ผลิตไฟฟ้า
3. น้ำทะเลและน้ำจืดถูกจัดการอย่างเหมาะสม → วงจรหมุนซ้ำได้
ข้อดี:
ใช้ได้ตลอดเวลา, ไม่ขึ้นกับแดดหรือฝน
เหมาะกับพื้นที่ปากแม่น้ำ-ทะเล
ข้อจำกัด:
เทคโนโลยีเมมเบรนยังมีราคาสูงและต้องทนต่อเกลือทะเล
การบำรุงรักษาและการป้องกันตะกอนในน้ำเป็นเรื่องท้าทาย
---
💡 สรุปง่าย ๆ:
OTEC → ใช้ความต่างอุณหภูมิ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
Blue Energy → ใช้ความต่างความเค็ม → แรงดันน้ำ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
เยี่ยมครับ! 🌞🌍 คุณกำลังพูดถึง พลังงานจากความร้อน (Thermal Energy) และ พลังงานจากแรงโน้มถ่วง (Gravity Energy) ซึ่งทั้งสองแบบสามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้ แต่คนส่วนใหญ่อาจยังไม่ค่อยคุ้นเคย
---
🔹 1. พลังงานจากความร้อน (Thermal Energy / Heat Energy)
หลักการ:
ทุกอย่างที่ร้อน → มีพลังงานความร้อน
เราสามารถแปลง ความร้อนต่างอุณหภูมิ เป็นพลังงานกล → ผลิตไฟฟ้า
ตัวอย่างการนำไปใช้:
1. เครื่องกำเนิดไฟฟ้าความร้อน (Thermoelectric Generator, TEG)
ใช้วัสดุพิเศษ → ความร้อนทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า
ใช้กับ เศษความร้อนจากโรงงาน, ไอเสียรถยนต์
2. พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal)
ใช้ความร้อนใต้พื้นดิน → ผลิตไอน้ำ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
3. พลังงานจากความร้อนอุตสาหกรรม / Solar Thermal
รวมความร้อนจากแสงอาทิตย์ → ทำให้ของเหลวระเหย → หมุนเทอร์ไบน์
ข้อดี:
ใช้ความร้อนที่สูญเสียไปแล้ว → เพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน
สร้างไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง (24 ชม.)
ข้อจำกัด:
ต้องมีแหล่งความร้อนที่เพียงพอ
เทคโนโลยีบางอย่างยังมีต้นทุนสูง
---
🔹 2. พลังงานจากแรงโน้มถ่วง (Gravity Energy / Gravity Battery)
หลักการ:
แรงโน้มถ่วง = พลังงานศักย์ของวัตถุสูง → เมื่อนำลงมา → แปลงเป็นพลังงานกล → ผลิตไฟฟ้า
สามารถเก็บพลังงานไว้ช่วงเวลาไฟฟ้าเกิน แล้วปล่อยใช้เมื่อไฟฟ้าต้องการ
ตัวอย่างการนำไปใช้:
1. Gravity Battery / Gravitational Energy Storage
ยกก้อนหินหนักหรือแท่งน้ำขึ้นสูง → เก็บพลังงานศักย์
ปล่อยลงมา → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
2. Pumped Hydro Storage (พลังงานน้ำแบบสูบขึ้น)
น้ำถูกสูบขึ้นไปเก็บบนเขื่อน → ปล่อยลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
ข้อดี:
เก็บพลังงานได้หลายชั่วโมงถึงหลายวัน
วงจรชีวิตระบบยาว, ปลอดสารพิษ
ข้อจำกัด:
ต้องใช้โครงสร้างใหญ่ (น้ำหนัก/พื้นที่)
เหมาะกับพื้นที่เฉพาะ เช่น เนินเขาหรือเขื่อน
---
💡 สรุปง่าย ๆ:
พลังงานวิธีดึงพลังงานข้อดีข้อจำกัด
ความร้อนThermoelectric, Geothermal, Solar Thermalใช้ความร้อนสูญเสีย, ต่อเนื่องต้องแหล่งความร้อนเพียงพอ, ต้นทุนสูง
แรงโน้มถ่วงGravity Battery, Pumped Hydroเก็บพลังงาน, วงจรชีวิตยาวโครงสร้างใหญ่, พื้นที่จำกัด
---
ถูกต้องครับ! 💡 คุณกำลังพูดถึง หลักการพลังงานศักย์จากความสูง → พลังงานจลน์ → ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของหลายระบบพลังงาน
---
🔹 หลักการง่าย ๆ
1. วัตถุที่อยู่สูง → มี พลังงานศักย์ (Potential Energy)
PE = m \cdot g \cdot h
= ความเร่งโน้มถ่วง (9.8 m/s²)
= ความสูง
2. ปล่อยวัตถุให้ตกลง → แปลงเป็น พลังงานจลน์ (Kinetic Energy)
แรงนี้สามารถหมุน เทอร์ไบน์ / Generator → ผลิตไฟฟ้า
---
🔹 ตัวอย่างการใช้พลังงานจากความสูง
1. พลังงานน้ำ (Hydropower / Dam)
น้ำจากเขื่อนสูง → ไหลลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
2. Gravity Battery
ยกวัตถุหนักขึ้นสูง → เก็บพลังงาน
ปล่อยลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า
ใช้เก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมช่วงไฟฟ้าเกิน
3. ระบบน้ำหนักในตึกสูง (Urban Gravity Storage)
ยกแท่งหนักในอาคารสูง → ปล่อยลงตามต้องการ → ผลิตไฟฟ้า
---
🔹 ข้อดี
เก็บพลังงานได้แม้ไม่มีแสงอาทิตย์หรือไม่มีกระแสลม
วงจรชีวิตระบบยาว, ไม่มีสารพิษ
🔹 ข้อจำกัด
ต้องมีโครงสร้างสูงและแข็งแรง
การสร้างอาจต้องใช้พื้นที่หรือวัสดุเยอะ
---
สรุปง่าย ๆ:
> แค่สิ่งของสูงลงสู่ที่ต่ำ → สามารถใช้ แรงโน้มถ่วงขับเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้าได้จริง 🌍⚡
ระบบนี้สามารถใช้ เก็บพลังงานสำรอง ในช่วงเวลาที่ไฟฟ้ามากเกินไปหรือใช้ไม่ทัน
---
อันนี้เลือกเอาที่เข้าใจงายและน่าจะเป็นไปได้