ในเมื่อเราใช้พลังงานจากฟอตซิ่วแล้ว พลัง งานจากดวงอาทิตแล้ว พลังงานจากลมแล้ว พลังงานจากน้ำแล้ว เรายังมีพลังงานส่วนไหน

ในเมื่อเราใช้พลังงานจากฟอตซิ่วแล้ว พลัง งานจากดวงอาทิตแล้ว พลังงานจากลมแล้ว พลังงานจากน้ำแล้ว
เรายังมีพลังงานส่วนไหน ในโลกนี้ที่เรายังไม่ได้เอามาใช้อีกบ้าง

โอ้ นี่เป็นคำถามที่ลึกมากครับ 🌍⚡

คุณพูดถึง พลังงานหมุนเวียนหลัก ทั้ง 4 แบบที่เราใช้อยู่แล้ว:

ฟอสซิล (น้ำมัน, ถ่านหิน, ก๊าซ)

พลังงานแสงอาทิตย์

พลังงานลม

พลังงานน้ำ


นอกจากนั้น ยังมี พลังงานรูปแบบอื่น ๆ ที่โลกมีอยู่แต่เรายังใช้น้อยหรือกำลังเริ่มใช้


---

🔹 พลังงานที่ยังไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่เต็มที่

1. พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal)

ใช้ความร้อนจากใต้พื้นโลกมาผลิตไฟฟ้า

ปัจจุบันใช้ในบางประเทศเช่น ไอซ์แลนด์, ฟิลิปปินส์ แต่ศักยภาพทั่วโลกยังสูงมาก



2. พลังงานคลื่นและพลังงานน้ำขึ้นน้ำลง (Wave & Tidal Energy)

ใช้พลังงานจากคลื่นทะเลหรือกระแสน้ำทะเล

ยังไม่แพร่หลายเพราะต้องลงทุนสูงและเทคโนโลยีซับซ้อน



3. พลังงานชีวมวล (Biomass & Biofuel)

ใช้ของเสียจากการเกษตร, ขยะอินทรีย์, ไม้ และพืชพลังงาน

สามารถผลิตไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และแก๊สชีวภาพ



4. พลังงานจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความเค็มน้ำ (Ocean Thermal & Salinity Gradient)

ใช้ความต่างอุณหภูมิระหว่างผิวน้ำกับน้ำลึก หรือความแตกต่างของความเค็ม

ศักยภาพสูง แต่ยังทดลองในระดับเล็ก



5. พลังงานนิวเคลียร์ / ฟิวชัน (Nuclear / Fusion)

นิวเคลียร์แบบฟิชชั่น (Fission) ใช้กันแล้ว แต่มีข้อกังวลเรื่องขยะนิวเคลียร์

ฟิวชัน (Fusion) คือการหลอมรวมอะตอม → พลังงานมหาศาล, สะอาด, แต่ยังทดลองอยู่



6. พลังงานจากอากาศร้อน / พลังงานจากแรงโน้มถ่วง

เช่นใช้ความต่างความหนาแน่นของอากาศร้อน/เย็นผลิตไฟฟ้า

ใช้แรงโน้มถ่วงและน้ำหนัก เช่น ระบบ Gravity Battery เพื่อเก็บพลังงาน





---

🔹 สรุป

โลกเรายังมี พลังงานอีกหลายรูปแบบ ที่เรายังไม่ได้ใช้เต็มที่ โดยบางอย่างอาจเป็น พลังงานสะอาดและยั่งยืน ถ้าเทคโนโลยีพร้อมก็สามารถนำมาใช้แทนฟอสซิลในอนาคตได้


---

เยี่ยมครับ! 🌊💡 คุณกำลังพูดถึง พลังงานจากมหาสมุทร 2 ประเภทหลัก:

1. Ocean Thermal Energy Conversion (OTEC) – พลังงานความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างผิวน้ำอุ่นกับน้ำลึกเย็น


2. Salinity Gradient Energy (Blue Energy / Pressure Retarded Osmosis) – พลังงานจากความแตกต่างของความเค็มของน้ำจืดกับน้ำทะเล



ผมอธิบายวิธีการดึงพลังงานทั้งสองแบบให้เข้าใจง่าย ๆ ครับ


---

🔹 1. พลังงานความแตกต่างอุณหภูมิ (OTEC)

หลักการ:

น้ำทะเลผิวบนมีอุณหภูมิสูง (เช่น 25–30°C)

น้ำลึกมีอุณหภูมิต่ำมาก (เช่น 5°C)

ความแตกต่างของอุณหภูมิประมาณ 20°C สามารถทำให้เครื่อง หมุนเทอร์ไบน์ ผลิตไฟฟ้าได้


วิธีดึงพลังงาน:

1. น้ำทะเลอุ่นถูกนำมาใช้ทำให้ สารทำความเย็น (Working Fluid) ระเหยเป็นไอ


2. ไอไปหมุน เทอร์ไบน์ผลิตไฟฟ้า


3. น้ำลึกเย็นถูกใช้ ควบแน่นไอ กลับเป็นของเหลว


4. ทำเป็นวงจรหมุนซ้ำ → เกิดไฟฟ้า



ข้อดี:

พลังงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง (ไม่เหมือนพลังงานลมหรือแสงอาทิตย์)

ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้า, น้ำจืด, และความเย็นได้พร้อมกัน


ข้อจำกัด:

ต้องอยู่ในพื้นที่ทะเลเขตร้อนที่มีอุณหภูมิผิว-ลึกต่างกันมาก

ต้นทุนสูง, โครงสร้างใหญ่



---

🔹 2. พลังงานความแตกต่างความเค็ม (Salinity Gradient / Blue Energy)

หลักการ:

น้ำจืด (เช่น น้ำแม่น้ำ) + น้ำทะเล → มี ความแตกต่างความเค็ม

สามารถสร้าง แรงดันออสโมซิส เพื่อหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า


วิธีดึงพลังงาน:

1. ใช้ เมมเบรนกึ่งซึมผ่าน (Semi-Permeable Membrane)

น้ำจืดจะผ่านไปสู่ด้านน้ำทะเล → ทำให้เกิดแรงดัน



2. แรงดันนี้ไปหมุน เทอร์ไบน์ผลิตไฟฟ้า


3. น้ำทะเลและน้ำจืดถูกจัดการอย่างเหมาะสม → วงจรหมุนซ้ำได้



ข้อดี:

ใช้ได้ตลอดเวลา, ไม่ขึ้นกับแดดหรือฝน

เหมาะกับพื้นที่ปากแม่น้ำ-ทะเล


ข้อจำกัด:

เทคโนโลยีเมมเบรนยังมีราคาสูงและต้องทนต่อเกลือทะเล

การบำรุงรักษาและการป้องกันตะกอนในน้ำเป็นเรื่องท้าทาย



---

💡 สรุปง่าย ๆ:

OTEC → ใช้ความต่างอุณหภูมิ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า

Blue Energy → ใช้ความต่างความเค็ม → แรงดันน้ำ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า

เยี่ยมครับ! 🌞🌍 คุณกำลังพูดถึง พลังงานจากความร้อน (Thermal Energy) และ พลังงานจากแรงโน้มถ่วง (Gravity Energy) ซึ่งทั้งสองแบบสามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้ แต่คนส่วนใหญ่อาจยังไม่ค่อยคุ้นเคย


---

🔹 1. พลังงานจากความร้อน (Thermal Energy / Heat Energy)

หลักการ:

ทุกอย่างที่ร้อน → มีพลังงานความร้อน

เราสามารถแปลง ความร้อนต่างอุณหภูมิ เป็นพลังงานกล → ผลิตไฟฟ้า


ตัวอย่างการนำไปใช้:

1. เครื่องกำเนิดไฟฟ้าความร้อน (Thermoelectric Generator, TEG)

ใช้วัสดุพิเศษ → ความร้อนทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า

ใช้กับ เศษความร้อนจากโรงงาน, ไอเสียรถยนต์



2. พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal)

ใช้ความร้อนใต้พื้นดิน → ผลิตไอน้ำ → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า



3. พลังงานจากความร้อนอุตสาหกรรม / Solar Thermal

รวมความร้อนจากแสงอาทิตย์ → ทำให้ของเหลวระเหย → หมุนเทอร์ไบน์




ข้อดี:

ใช้ความร้อนที่สูญเสียไปแล้ว → เพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน

สร้างไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง (24 ชม.)


ข้อจำกัด:

ต้องมีแหล่งความร้อนที่เพียงพอ

เทคโนโลยีบางอย่างยังมีต้นทุนสูง



---

🔹 2. พลังงานจากแรงโน้มถ่วง (Gravity Energy / Gravity Battery)

หลักการ:

แรงโน้มถ่วง = พลังงานศักย์ของวัตถุสูง → เมื่อนำลงมา → แปลงเป็นพลังงานกล → ผลิตไฟฟ้า

สามารถเก็บพลังงานไว้ช่วงเวลาไฟฟ้าเกิน แล้วปล่อยใช้เมื่อไฟฟ้าต้องการ


ตัวอย่างการนำไปใช้:

1. Gravity Battery / Gravitational Energy Storage

ยกก้อนหินหนักหรือแท่งน้ำขึ้นสูง → เก็บพลังงานศักย์

ปล่อยลงมา → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า



2. Pumped Hydro Storage (พลังงานน้ำแบบสูบขึ้น)

น้ำถูกสูบขึ้นไปเก็บบนเขื่อน → ปล่อยลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า




ข้อดี:

เก็บพลังงานได้หลายชั่วโมงถึงหลายวัน

วงจรชีวิตระบบยาว, ปลอดสารพิษ


ข้อจำกัด:

ต้องใช้โครงสร้างใหญ่ (น้ำหนัก/พื้นที่)

เหมาะกับพื้นที่เฉพาะ เช่น เนินเขาหรือเขื่อน



---

💡 สรุปง่าย ๆ:

พลังงานวิธีดึงพลังงานข้อดีข้อจำกัด

ความร้อนThermoelectric, Geothermal, Solar Thermalใช้ความร้อนสูญเสีย, ต่อเนื่องต้องแหล่งความร้อนเพียงพอ, ต้นทุนสูง
แรงโน้มถ่วงGravity Battery, Pumped Hydroเก็บพลังงาน, วงจรชีวิตยาวโครงสร้างใหญ่, พื้นที่จำกัด



---
ถูกต้องครับ! 💡 คุณกำลังพูดถึง หลักการพลังงานศักย์จากความสูง → พลังงานจลน์ → ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของหลายระบบพลังงาน


---

🔹 หลักการง่าย ๆ

1. วัตถุที่อยู่สูง → มี พลังงานศักย์ (Potential Energy)



PE = m \cdot g \cdot h

= ความเร่งโน้มถ่วง (9.8 m/s²)

= ความสูง


2. ปล่อยวัตถุให้ตกลง → แปลงเป็น พลังงานจลน์ (Kinetic Energy)

แรงนี้สามารถหมุน เทอร์ไบน์ / Generator → ผลิตไฟฟ้า





---

🔹 ตัวอย่างการใช้พลังงานจากความสูง

1. พลังงานน้ำ (Hydropower / Dam)

น้ำจากเขื่อนสูง → ไหลลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า



2. Gravity Battery

ยกวัตถุหนักขึ้นสูง → เก็บพลังงาน

ปล่อยลง → หมุนเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้า

ใช้เก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมช่วงไฟฟ้าเกิน



3. ระบบน้ำหนักในตึกสูง (Urban Gravity Storage)

ยกแท่งหนักในอาคารสูง → ปล่อยลงตามต้องการ → ผลิตไฟฟ้า





---

🔹 ข้อดี

เก็บพลังงานได้แม้ไม่มีแสงอาทิตย์หรือไม่มีกระแสลม

วงจรชีวิตระบบยาว, ไม่มีสารพิษ


🔹 ข้อจำกัด

ต้องมีโครงสร้างสูงและแข็งแรง

การสร้างอาจต้องใช้พื้นที่หรือวัสดุเยอะ



---

สรุปง่าย ๆ:

> แค่สิ่งของสูงลงสู่ที่ต่ำ → สามารถใช้ แรงโน้มถ่วงขับเทอร์ไบน์ → ผลิตไฟฟ้าได้จริง 🌍⚡
ระบบนี้สามารถใช้ เก็บพลังงานสำรอง ในช่วงเวลาที่ไฟฟ้ามากเกินไปหรือใช้ไม่ทัน




---

อันนี้เลือกเอาที่เข้าใจงายและน่าจะเป็นไปได้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่