[รีวิว] Demon Slayer: Infinity Castle - สัมผัสความอลังการไร้ขีดจำกัดสู่การเผชิญหน้าอีกครั้งกับอสูรผู้มีอดีตสุดขมขื่น

1) ในเวลานี้คงไม่มีอนิเมชั่นหรือภาพยนตร์เรื่องไหนร้อนแรงไปมากกว่า “ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต” อีกแล้ว เพราะในวันแรกที่เปิดตัวเข้าฉายในบ้านเราก็กวาดเรียบทำรายได้รวมทั่วประเทศไปแล้วกว่า 70 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็นับเป็นวันเข้าฉายวันที่ 25 แล้วในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำรายได้ไปแล้วถึง 22 หมื่นล้านเยน ขยับขึ้นเป็นภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของญี่ปุ่นอันดับที่ 6 แซงหน้า One Piece Film: Red (2022) ซึ่งเหลืออีกเพียง 3 พันล้านเยนก็จะแซงหน้าอนิเมชั่นขวัญใจมหาชนอย่าง Your Name (2016) และ Frozen (2013) ที่ทำรายได้อยู่ที่หลัก 25 หมื่นล้านเยน
.
2) แน่นอนว่าด้วยความร้อนแรงนี้ตัวอนิเมชั่นจะเดินหน้าทำลายอีกหลายต่อหลายสถิติ นี่ไม่ใช่เพราะ “บุญเก่า” ที่ Demon Slayer The Movie: Mugen Train เคยทำไว้แต่อย่างได้ใด แต่มัน คือ มาตรฐานที่ดาบพิฆาตอสูรฉบับอนิเมชั่นทำได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอด และไปได้ถึงขั้นสุดในฉบับหนังโรง เชื้อเชิญให้ทั้งแฟนๆ ดาบพิฆาตอสูรและผู้ชมหน้าใหม่เข้ามาสัมผัสคุณภาพงานสร้างที่ชวนอ้าปากค้าง จนเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมดาบพิฆาตอสูรถึงพิชิตใจผู้ชมทั่วโลกได้แบบนี้
.
3) ด้วยความที่เนื้อเรื่องในช่วง “ปราสาทไร้ขอบเขต” เป็นช่วงที่อยู่ในศึกสุดท้ายของเนื้อเรื่องหลัก นั่นหมายความว่า ตัวเรื่องจะต้องอุดมไปด้วยการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านของ “ทันจิโร่” (Hanae Natsuki) และผองเพื่อนหน่วยพิฆาตอสูร ฉากแอคชั่นที่เป็นจุดขายหลักของเรื่อง ผลงานของสตูดิโอ Ufotable ยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้อยู่ตลอด โดยเฉพาะความอลังการของปราณจากเสาหลักอย่าง “ชิโนบุ” (Hayami Saori) และ “กิยู” (Sakurai Takahiro) ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีโอกาสที่ทั้งคู่ได้ต่อสู้แบบเอาจริงเลย นี่จึงเป็นเวทีที่เราจะได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของเสาหลักทั้งสอง  
.
4) ไม่เฉพาะเสาหลักเท่านั้น หนุ่มน้อยจอมโวยวายขวัญใจแม่ยกอย่าง “เซนอิทสึ” (Shimono Hiro) คราวนี้เขาเข้าสู่โหมดเอาจริงแล้ว การต่อสู้กับอสูรข้างขึ้นที่ 6 ตนใหม่ “ไคกาคุ” (Hosoya Yoshimasa) ก็เพื่อสะสางเรื่องราวส่วนตัวโดยเฉพาะ ที่ผ่านมาเรารู้ดีว่าตัวของเซนอิทสึยังไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงของเขาเช่นกัน การปะทะกับข้างขึ้นตัวต่อตัวเป็นเครื่องทดสอบชั้นดีว่า ในเวลานี้เขาแข็งแกร่งในระดับที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับเสาหลักได้แล้วรึยัง
.
5) ส่วนตัวเอกของเรื่องอย่างทันจิโร่ แน่นอนว่าเป็นตัวละครที่ผูกติดกับผู้ชมมาโดยตลอด เราเห็นพัฒนาการของเขาตั้งแต่วันที่ถือขวานวิ่งเข้าใส่กิยูในตอนแรกสุดเพื่อปกป้องน้องสาว “เนสึโกะ” (Kitou Akari) ที่กำลังจะถูกกำจัดเพราะกลายเป็นอสูร จนถึงวันที่ปะทะกับอสูรข้างขึ้นที่ 3 “อาคาสะ” (Ishida Akira) ความสามารถของทันจิโร่นั้นล้วนมาจากความพยายามทั้งสิ้น
.
6) สังเกตได้ว่าที่มือของเขานั้นเต็มไปด้วยรอยด้านและปุ่มพุพองจากการฝึกฝนจนเลือดตาแทบกระเด็น และแม้ว่าในศึกนี้ทันจิโร่จะ “บรรลุ” ความสามารถบางอย่างทำให้เขาเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดจนอาจจะดูเหมือนโกงไปบ้าง แต่หากวัดจากที่ผ่านมาก็พอจะบอกได้ว่าเขาคู่ควรแล้วเหมือนกัน(ก็เป็นพระเอกนี่นะ) แต่นั่นก็ไม่เท่ากับรุ่นพี่สายปราณวารีอย่าง “มุราตะ” (Miyata Kouki) ที่แย่งซีนตัวละครทั้งหมดด้วยการใช้ปราณวารีเพียงครั้งเดียว
.
7) อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือ ตัวปราสาทไร้ขอบเขตอันเป็นฉากหลังของเรื่อง Ufotable แสดงให้เห็นแล้วว่า คำว่า “ไร้ขอบเขต” นั้นเป็นอย่างไร (เห็นว่าโมเดลตัวปราสาทนี้ใช้เวลาสร้าง 2-3 ปีเลยทีเดียว) การเคลื่อนกล้องไล่ไปตามโครงสร้างที่เหนือสามัญสำนึกคล้ายกับลูกบาศก์ 4 มิติ (tesseract) และเคลื่อนตัวไปมาได้เหมือนสิ่งมีชีวิตให้ความรู้สึกทั้งน่าตื่นตาและน่ากลัวในคราวเดียวกัน
.
8) แสงไฟสีส้มประดับตัวสถาปัตยกรรมแบบเรือนญี่ปุ่นโบราณบ่งบอกถึงค่ำคืนที่ไร้จุดจบและเป็นเหมือนกับ “รัง” ของอสูรที่ยังมีรสนิยมไม่ต่างจากมนุษย์อยู่ อสูรข้างขึ้นที่เหลืออยู่รวมถึงตัวของ “มุซัน” (Seki Toshihiko) ต่างก็มีพื้นที่เฉพาะของตัวเอง ให้อารมณ์เหมือนกับลงดันเจี้ยนแล้วบอสแต่ละตัวก็มีห้องของตัวเองแบบนั้น
.
9) การต่อสู้ใน Demon Slayer: Infinity Castle แบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 คู่ แน่นอนว่าน้ำหนักของแต่ละคู่ย่อมไม่เท่ากัน และเป็นกฏสากลที่คู่เอกจะต้องอยู่ลำดับท้ายสุดอยู่แล้ว เรารู้ดีว่าคู่ของทันจิโร่และกิยูปะทะกับอาคาสะเป็นคู่เอกของเดอะมูฟวี่นี้ ซึ่งนั่นก็เลี่ยงไม่ได้ว่า 2 คู่ก่อนหน้า คือ คู่ของชิโนบุปะทะข้างขึ้นที่ 2 “โดมะ” (Miyano Mamoru) และคู่ของเซนอิทสึปะทะไคกาคุ ผู้ชมจะหมดอารมณ์ร่วมไปเมื่อคู่ของพวกเขาต่อสู้กันเสร็จสิ้นแล้ว
.
10) นี่จึงเป็นเหตุผลที่การย้อนความหลังหรือแฟลชแบ็คถูกหยิบยกมาใช้อยู่เสมอในอนิเมชั่นเรื่องนี้(และอีกหลายๆ เรื่อง) ก็เพื่อให้ผู้ชมจดจำตัวละครได้ เพราะเราไม่ได้จดจำตัวละครว่า พวกเขาต่อสู้อย่างไร ใช้ปราณไปกี่ครั้ง ฟันโดนอสูรไปกี่ที เริ่มต่อสู้ด้วยท่าอะไร ปิดฉากด้วยท่าไหน(อันนี้อาจจะพอจำได้) หรืออื่นๆ แต่เราจดจำตัวละครด้วย “เรื่องราว” ของพวกเขา
.
11) ภาพยนตร์/ซีรี่ย์ที่ดีมักจะมีเรื่องราวของตัวละครที่แข็งแรง รวมถึงภูมิหลัง(Background) เพื่อบอกว่าสถานการณ์ตรงหน้า ในที่นี้คือการต่อสู้ฟาดฟันกัน พวกเขาสู้กันโดยมีแรงขับในใจคืออะไร หน้าที่หรือว่าความแค้น(ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง) ตามมังงะต้นฉบับของอาจารย์ “โกโทเกะ โคโยฮารุ” (Gotouge Koyoharu) ก็ใช้กลวิธีนี้ในการบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังที่ซึ้งกินใจของเหล่าอสูรเป็นปกติ ไม่เว้นแม้แต่ช่วงปราสาทไร้ขอบเขตนี้ด้วยเช่นกัน
.
12) ในชื่อฉบับภาษาญี่ปุ่นนั้นมีชื่อสร้อยต่อว่า “การกลับมาของอาคาสะ” (Akaza’s Return/Akaza Sairai) แต่ในฉบับฉายต่างประเทศไม่มีชื่อนี้ติดมาด้วย แปลว่าอสูรตัวเอกของภาคนี้ก็คงไม่ใช่ใครที่ไหน เรื่องราวภูมิหลังของอาคาสะจึงถูกบอกเล่าเป็นพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องเล่าผ่านการใช้แฟลชแบ็ค เพียงแต่ที่หลายคนอาจจะหงุดหงิดใจ(เข้าใจได้)อยู่ตรงที่ การแฟลชแบ็คมักจะมาในช่วงที่กำลังสู้กันอย่างดุเดือด ทำให้จังหวะของเรื่องสะดุดไปหลายครั้ง
.
13) อาจต้องพูดตามตรงว่าการย้อนอดีตหรือแฟลชแบ็คในระหว่างการต่อสู้กับอาคาสะค่อนข้างเยิ่นเย้อเหมือนกัน แต่เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ อีกครั้ง จะพบว่ามันเป็นการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของอาคาสะ(แน่นอนว่าพวกทันจิโร่ไม่รู้เรื่องด้วย) ที่กำลังสั่นคลอนอย่างหนักจนเราเดาไม่ออกว่าจะลงเอยตรงไหนด้วยซ้ำ เรื่องราวโศกนาฏกรรมในครั้งยังเป็นมนุษย์ของอาคาสะแม้จะเศร้าและการเป็นอสูรนั้นไม่อาจให้อภัยได้ จนกระทั่งสิ่งที่อาคาสะตัดสินใจในครั้งสุดท้ายนั้น ทำให้เราน้ำตาไหลได้อย่างเต็มใจเลย
.
14) เชื่อได้เลยว่าหากขาดเรื่องราวของอาคาสะและอสูรตนอื่นๆ รวมถึงฝั่งหน่วยพิฆาตอสูรเองก็ตาม แล้วอัดแต่ฉากแอคชั่นล้วนๆ Demon Slayer: Infinity Castle จะกลายเป็นอนิเมชั่นที่แห้งแล้งแบบสุดๆ และจบลงด้วยความว่างเปล่า นั่นคงเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ใจความสำคัญของดาบพิฆาตอสูร คือ การเลือกเส้นทางระหว่างมนุษย์กับอสูร(ที่ชอบล้อกันว่าอาคาสะขายประกันนั่นแหละ) อาจจะมองได้ว่าเหล่ามนุษย์ที่เลือกเส้นทางสู่ความชั่วร้ายนั้นเพราะพวกเขาเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน
.
15) แต่หากมองย้อนกลับไปยังเสาหลักหลายคนพวกเขาก็ชอกช้ำไม่ต่างกัน แต่ทำไมพวกเขากลับไม่เลือกเส้นทางนั้น และสิ่งที่อาคาสะเลือกทำในวินาทีสุดท้าย เป็นการยืนยันถึงหัวใจของอนิเมชั่นเรื่องนี้ว่า “มนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด” นั่นเอง สิ่งนี้กุมหัวใจเราได้มากกว่าความอลังการของงานเป็นไหนๆ ถ้าไม่อย่างนั้นการเสียสละของเสาหลักเพลิง “เรนโงคุ” ก็คงไม่มีความหมายเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่