== The Life of Chuck (2024) ..ชีวิตมหัศจรรย์ของชัค ขอบคุณ 39 ปีที่ได้เกิดมา.. ==



ในช่วงเวลาที่โลกกำลังอยู่ภาวะวิกฤติ ภัยธรรมชาติเข้าจู่โจมในหลายพื้นที่
ทุกประเทศได้รับผลกระทบจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ประชาชนต่างหวาดหวั่นว่านี่จะกลายเป็นจุดจบของโลก..
มาร์ตี้ แอนเดอร์สัน ครูสอนเด็กชั้นประถมก็เช่นกัน เขารู้สึกไม่แน่นอนเลยกับแต่ละวันที่ผ่านไป
มาร์ตี้คิดเพียงว่าการกลับไปหาคนรักเก่าเพื่ออยู่เป็นกำลังใจให้กันในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้คงเป็นสิ่งที่ดี



แต่ระหว่างเดินทางไปหาคนรัก มาร์ตี้พบกับป้ายโฆษณาปริศนาที่เขียนข้อความขอบคุณชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าชาร์ลส์ แครนซ์
ชายปริศนาที่ไม่มีใครในเมืองรู้เลยว่าเขาคือใคร ที่สำคัญป้ายนี้มันอยู่ทั่วเมือง..???



 The Life of Chuck เป็นภาพยนตร์ดราม่าแฟนตาซีอเมริกัน เขียนบทและกำกับโดยไมค์ ฟลานาแกน
สร้างจากนวนิยายปี 2020 ของสตีเฟน คิง จากหนังสือรวมเรื่อง If It Bleeds
นำแสดงโดยทอม ฮิดเดิลสตัน, ชิเวเทล เอจิโอฟอร์, คาเรน กิลแลน
เนื้อเรื่องเล่าถึงช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของชาร์ลส์ "ชัค" แครนซ์ จัดจำหน่ายโดยค่ายหนังมาแรงที่พร้อมชนกับ A24 ก็คือ NEON นั่นเอง



พอเห็นว่าเป็นหนังที่สร้างจากงานเขียนของสตีเฟน คิง เจ้าพ่อนวนิยายเขย่าขวัญ
แค่นี้ก็เพียงพอกับการตัดสินใจได้ไม่ยากเลยว่า ต้องดูหนังเรื่องนี้ให้ได้
แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่าคิงไม่ได้เขียนแต่หนังสยองๆ เขาสามารถเขียนได้ทุกแนวน่ะล่ะ เรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้น
มันคืองานแฟนตาซีที่เชื่อมโยงร้อยเรียงเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างน่าสนใจยิ่งนัก
ซึ่งแค่เปิดเรื่องก็ทำให้คนดูงงกันไปหมด เพราะเราจะเดาอะไรไม่ได้เลย



เหตุการณ์เล่าจากจุดจบย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นแบ่งเป็น 3 องก์ จะมีปมปริศนาที่ทำให้คนดูสงสัย
และอยากรู้ว่าเรื่องมันจะเป็นไปยังไงต่อ โดยตัวของทอม ฮิดเดิลสตัน จะปรากฎตัวมาในองก์ที่ 2 เท่านั้น
ซึ่งแม้ว่าจะเป็นองก์ที่สั้นที่สุด แต่ทอมก็โชว์สกิลการแดนซ์กระจายแบบเต็มๆ ถึง 5 นาที เป็นซีนที่สวยงาม และตื่นตาที่สุดของหนังเรื่องนี้



ผมเชื่อว่าคนดูจะแบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจนคือชอบและไม่ชอบ เพราะหนังจะทำให้เรางงอย่างแรง
มีปริศนาหลายอย่างที่ไม่เคลียร์ แต่เป็นการตั้งใจแล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น
และนี่คือเสน่ห์ในงานของสตีเฟ่น คิง ที่ไมค์ ฟลานาแกน ได้ถ่ายทอดลงมาบนแผ่นฟิล์มได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ



ไมค์ ฟลานาแกน ผู้กำกับเรื่องนี้ แกทำแต่หนังสยองขวัญมาตลอดชีวิตเลยครับ ทำหนังมา 8 เรื่องตั้งแต่ปี 2011
โดย 3 เรื่องหลังสุด ไมค์จับเอางานของคิงมาทำเป็นหนังล้วนๆได้แก่ Gerald's Game (2017) .. Doctor Sleep (2019)
และทิ้งช่วงยาว 5 ปีก่อนมาเป็นเรื่องนี้ เรื่องเดียวที่ไม่ใช่สยองขวัญแต่เป็นแฟนตาซีที่มีนัยยะเชื่อมโยงกว้างไกลยิ่งนัก
เรื่องของการเข้าใจธรรมชาติ การกำเนิดของจักรวาลและตัวตนของมนุษย์ตัวเล็กๆ



ผมชอบประโยคในหนังที่ได้ทำการเปรียบเทียบห้วงเวลาของจักรวาลกับปฎิทินโลกในระยะเวลา 1 ปีมาก
กล่าวคือหากบิ๊กแบงเกิดขึ้นในเวลาเที่ยงคืนเป๊ะของวันที่ 1 มกราคม โลกเราจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาราวเดือนพฤษภา..
และห้วงเวลาของมวลมนุษยชาติทั้งหมดเริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลา 23.40 น. ของคืนวันที่ 31 ธันวาคม..
20 นาทีที่แสนสั้น คือทั้งหมดที่ประวัติศาสตร์โลกได้จารึกในทุกเหตุการณ์..
ก่อนที่จะวนลูปเข้าสู่คาออส หรือความมืดมิดชั่วนิรันดรอีกครั้ง...



นั่นเท่ากับว่า คนเรานั้นมันช่างเล็กน้อยกระจิดริดสิ้นดี หากเทียบกับสรรสิ่งในเอกภพนี้ที่กว้างใหญ่ไพศาล
ทุกความรู้ ทุกคนที่เคยพบ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไร้ค่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าอยู่ต่อหน้าความจริงนั้น..
แต่แล้วเราเกิดมาทำไมกันล่ะ ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผลของมัน ชีวิตเราก็เช่นกัน ..
สิ่งที่สตีเฟน คิง ต้องการจะสื่อกับเราก็คือจุดๆนี้



ทำทุกวันให้มีความสุข แม้เราจะรู้ว่าสุดท้ายเราต้องจากกัน ไม่มีใครรั้งสิ่งที่ตัวเองรักไว้กับตัวได้ตลอดกาล
อีก 100 ปีนับจากนี้ก็ไม่มีใครอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ตัวเอกของเราอย่าง ชาร์ลส์ "ชัค" แครนซ์ ก็เป็นแบบนั้น
เขามีชีวิตที่ดี เติบโตมาในครอบครัวที่แม้ว่าอาจจะไม่สมบูรณ์เท่าไรนักเนื่องจากเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็ก
แต่ความรักที่เขาได้รับจากปู่และย่าก็ไม่ทำให้เขาด้อยไปกว่าใครเลย



และแม้จะรู้ว่าสุดท้ายตัวเองจะต้องพบกับจุดจบอย่างไร เขาก็ไม่หวั่นไหว..
อ้าว แล้วเขาไปรู้อนาคตตนเองล่วงหน้าได้ยังไง นั่นล่ะคือสิ่งที่คุณต้องไปติดตามเอาเอง ..
และนั่นล่ะคือ 39 ปีที่ยอดเยี่ยม..ชีวิตมหัศจรรย์ของ ชาร์ลส์ แครนซ์...


เพราะหนังมันฝังใจ

=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่