เหตุผลหลักเลยก็เพราะว่า ต้นทุนการผลิตแพง ถึงทำให้ข้าวไทยต้องตั้งราคาแพงตามขึ้นไปด้วย
https://www.facebook.com/share/p/1EVvH29gMw/
เพราะปัจจุบัน ข้าวไทยกำลังเจอสงครามราคา จากเวียดนามและอินเดียที่มีราคาถูกกว่า มาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากไทยไปเรื่อย ๆ
และล่าสุด พออินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากห้ามส่งออกเพราะต้องเก็บไว้บริโภคในประเทศ ก็ทำให้ราคาข้าวโลกต่ำสุดในรอบ 8 ปีเลยทีเดียว
ข้าวไทย กำลังเจอสงครามราคามากแค่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าบอกว่า ตอนนี้ข้าวไทยกำลังเจอสงครามราคา
ก็แปลว่า เราโดนคู่แข่งประเทศอื่น เข้ามาตัดราคาแข่งกับข้าวไทยมากขึ้น
ซึ่งถ้าถามว่าตัดราคาแข่งมากแค่ไหน ลองมาดูราคาข้าวแต่ละชนิดในตลาดโลกกัน
ข้าวขาวที่ผ่านการขัดสี โดยมีข้าวหักผสมไม่เกิน 5%
- อินเดีย 12,161 บาทต่อตัน
- ไทย 12,258 บาทต่อตัน
- เวียดนาม 12,810 บาทต่อตัน
ข้าวนึ่ง
- อินเดีย 11,934 บาทต่อตัน
- ไทย 12,680 บาทต่อตัน
ข้าวหอม
- เวียดนาม 17,998 บาทต่อตัน
- อินเดีย 27,890 บาทต่อตัน
- ไทย 34,246 บาทต่อตัน
ตัวเลขทั้งหมดนี้ สรุปอีกทีได้ว่า อินเดียส่งออกข้าวทุกแบบถูกกว่าไทย ส่วนเวียดนามส่งออกข้าวหอมได้ถูกกว่าไทย
พูดอีกอย่างก็คือ ข้าวไทยแพงกว่าข้าวอินเดียและเวียดนามนั่นเอง
แล้วทำไมข้าวไทย ถึงแพงกว่า ?
เหตุผลหลักเลยก็เพราะว่า ต้นทุนการผลิตแพง ถึงทำให้ข้าวไทยต้องตั้งราคาแพงตามขึ้นไปด้วย
ถ้าถามว่าทำไมต้นทุนการผลิตแพง ก็เพราะว่าผลผลิตต่อไร่ ของนาไทย ต่ำกว่าคู่แข่ง แถมยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลกอีกด้วย..
ผลผลิตต่อไร่ทั่วโลกปัจจุบันอยู่ที่ไร่ละ 507 กิโลกรัม
แต่ไทยทำได้เพียงไร่ละ 318 กิโลกรัม ต่ำกว่าเวียดนามที่ทำได้ไร่ละ 610 กิโลกรัม และอินเดีย 464 กิโลกรัม
แล้วผลผลิตต่อไร่นี้สำคัญอย่างไร ให้ลองนึกภาพตามว่า ยิ่ง 1 ไร่ของเราให้ข้าวเยอะแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อการผลิตข้าว 1 ไร่ของเรา ต่ำลงมากขึ้นเท่านั้น
พอเป็นแบบนี้ เวลาที่ชาวนาไทยทำนา 1 ไร่ จึงมีต้นทุนเฉลี่ยที่แพงกว่าชาวนาเวียดนามและอินเดียนั่นเอง
นอกจากต้นทุนปลูกข้าวเฉลี่ยต่อไร่ที่แพงกว่าแล้ว
ชาวนาไทยส่วนใหญ่ยังปลูกข้าวนาปี ซึ่งต้องพึ่งพาน้ำฝนตามธรรมชาติในปริมาณสูงอีกด้วย
ทำให้ผลผลิตในบางปีออกมาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งต่างจากชาวนาเวียดนาม ที่อยู่ในเขตชลประทานกว่า 90% จึงลดความเสี่ยงในการพึ่งพาฝนจากธรรมชาติแค่อย่างเดียว
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมผลผลิตต่อไร่ของไทย ถึงต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมาก และเมื่อต้องพึ่งพาฝนจากธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นช้ากว่าคู่แข่งไปอีก
เห็นได้จากในช่วงปี 2556-2566 ผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทย เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 0.08% ต่างกับเวียดนาม ที่เพิ่มขึ้นปีละ 0.53% และอินเดีย ที่เพิ่มขึ้นถึงปีละ 1.79%
ตัวเลขแค่นี้ดูไม่ต่างกันมาก แต่พอผ่านไป 10 ปี
พลังทบต้นของผลผลิตต่อไร่ ทำให้ชาวนาอินเดียมีข้าวเพิ่มขึ้นเกือบ 20% และชาวนาเวียดนามมีข้าวเพิ่มขึ้น 5%
แต่ชาวนาไทย ได้แต่มองข้าวที่ตัวเองผลิตได้เพิ่มขึ้นมาแค่
0.8% เท่านั้น เรียกได้ว่า มองด้วยตาเปล่าก็คงไม่เห็นความแตกต่างอะไรเลยแม้แต่น้อย..
และนอกจากต้นทุนผลิตที่ทำให้ข้าวไทยแพงกว่าข้าวอินเดียกับเวียดนามแล้ว เงินบาทไทย ก็เป็นตัวฉุดให้ข้าวไทยแพงขึ้นในสายตาประเทศนำเข้าอีกด้วย
เวลาผ่านไป 10 ปี ถ้าเอาเงินบาท เงินดอง และเงินรูปี ไปเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐแล้ว จะพบว่า
- เงินบาท แข็งค่าขึ้น 8.8%
- เงินดอง อ่อนค่าลง 18.8%
- เงินรูปี อ่อนค่าลง 33.3%
การที่เงินดองและรูปีอ่อนค่า ก็แปลว่า ข้าวอินเดียกับเวียดนาม ดูถูกลงในสายตาประเทศอื่น สวนทางกับข้าวไทย ที่ดูแพงขึ้นเมื่อนำเข้ามานั่นเอง
สรุปแล้ว ไม่ใช่แค่ต้นทุนผลิตที่แพงเท่านั้น แต่ค่าเงินบาท
ที่แข็งกว่าประเทศคู่แข่ง ก็ยิ่งแปะป้ายให้ข้าวไทย แพงมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก..
ทั้งหมดนี้เอง ก็ทำให้ข้าวไทยเสียส่วนแบ่งตลาดเกือบทุกทวีปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไล่ตั้งแต่แอฟริกา เอเชีย ยุโรป ไปจนถึงออสเตรเลียและโอเชียเนีย
ซึ่งส่วนแบ่งตลาดที่เสียไปก็ไม่ได้หายไปไหนไกล แต่ไป
เข้ากระเป๋าชาวนาอินเดียและเวียดนาม ที่ขยับมาแทนที่ข้าวไทยในทวีปเหล่านี้แทน
โดยในฝั่งทวีปแอฟริกาที่นิยมกินข้าวนึ่ง แม้เป็นข้าวที่มีแป้งน้อย แต่มีสารอาหารอื่น ๆ อย่างโปรตีนและวิตามินสูง ถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดจากอินเดียที่ทำต้นทุนได้ถูกกว่า
ส่วนในฝั่งข้าวหอม ที่เป็นข้าวคุณภาพสูง เวียดนามก็เข้ามาแย่งตลาดในฝั่งเอเชีย เพราะสามารถผลิตข้าวพันธุ์พื้นนุ่ม ที่มีราคาไม่แพง ตรงกับความต้องการของตลาดได้
แม้ปัจจุบัน ไทยกำลังปลูกข้าวพันธุ์แบบนี้มากขึ้น แต่ก็ยังปลูกไม่แพร่หลายเท่าไร ทำให้ยังไม่มีผลผลิตส่งออกไปแข่งขันกับเวียดนามได้มากเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม แม้ข้าวไทยเสียส่วนแบ่งตลาดเกือบทุกทวีป
แต่ยังมีทวีปหนึ่งที่ข้าวไทยยังปักธงได้แน่น นั่นคือ ทวีปอเมริกา ที่มีตลาดหลักเป็นสหรัฐอเมริกา
ซึ่งปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกข้าวหลักของไทย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่มีราคาแพง แต่ยังคงคุณภาพสูงและมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน
แต่สุดท้าย ก็ปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ดีว่า
ข้าวไทยกำลังเจอสงครามราคาสองด้าน ทั้งฝั่งอินเดียและเวียดนามที่พร้อมมาแย่งตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ
และถ้าประเทศไทยยังติดกับดักการเล่นเกมสงครามราคาแบบนี้ต่อไป ราคาในตลาดโลกที่ตกต่ำ ก็จะยิ่งถูกกดให้ต่ำมาเรื่อย ๆ จนถึงชาวนาที่ปลูกข้าวอยู่ต้นน้ำ
ชาวนาไทยที่มีต้นทุนการผลิตสูงอยู่แล้ว ก็ต้องคอยรอรับเงินอุดหนุนราคาจากรัฐต่อไป จนไม่สามารถพัฒนาการผลิตใหม่ ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ได้
กลับกัน ถ้าประเทศไทยสามารถหลุดพ้นกับดักสงครามราคาออกมาได้ด้วยการเลือกตลาดพรีเมียมไปเลย หรือแปรรูปข้าวให้มีมูลค่าเพิ่มมากกว่านี้
ข้าวไทยก็ยังคงยืนหยัดได้ในเวทีโลก แม้ต้องเจอสงครามราคาเข้ามามากแค่ไหนก็ตาม..
ข้าวไทย เจอสงครามราคา จากอินเดีย-เวียดนาม ราคาข้าวโลก ต่ำสุดรอบ 8 ปี /โดย ลงทุนแมน
https://www.facebook.com/share/p/1EVvH29gMw/
เพราะปัจจุบัน ข้าวไทยกำลังเจอสงครามราคา จากเวียดนามและอินเดียที่มีราคาถูกกว่า มาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากไทยไปเรื่อย ๆ
และล่าสุด พออินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากห้ามส่งออกเพราะต้องเก็บไว้บริโภคในประเทศ ก็ทำให้ราคาข้าวโลกต่ำสุดในรอบ 8 ปีเลยทีเดียว
ข้าวไทย กำลังเจอสงครามราคามากแค่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าบอกว่า ตอนนี้ข้าวไทยกำลังเจอสงครามราคา
ก็แปลว่า เราโดนคู่แข่งประเทศอื่น เข้ามาตัดราคาแข่งกับข้าวไทยมากขึ้น
ซึ่งถ้าถามว่าตัดราคาแข่งมากแค่ไหน ลองมาดูราคาข้าวแต่ละชนิดในตลาดโลกกัน
ข้าวขาวที่ผ่านการขัดสี โดยมีข้าวหักผสมไม่เกิน 5%
- อินเดีย 12,161 บาทต่อตัน
- ไทย 12,258 บาทต่อตัน
- เวียดนาม 12,810 บาทต่อตัน
ข้าวนึ่ง
- อินเดีย 11,934 บาทต่อตัน
- ไทย 12,680 บาทต่อตัน
ข้าวหอม
- เวียดนาม 17,998 บาทต่อตัน
- อินเดีย 27,890 บาทต่อตัน
- ไทย 34,246 บาทต่อตัน
ตัวเลขทั้งหมดนี้ สรุปอีกทีได้ว่า อินเดียส่งออกข้าวทุกแบบถูกกว่าไทย ส่วนเวียดนามส่งออกข้าวหอมได้ถูกกว่าไทย
พูดอีกอย่างก็คือ ข้าวไทยแพงกว่าข้าวอินเดียและเวียดนามนั่นเอง
แล้วทำไมข้าวไทย ถึงแพงกว่า ?
เหตุผลหลักเลยก็เพราะว่า ต้นทุนการผลิตแพง ถึงทำให้ข้าวไทยต้องตั้งราคาแพงตามขึ้นไปด้วย
ถ้าถามว่าทำไมต้นทุนการผลิตแพง ก็เพราะว่าผลผลิตต่อไร่ ของนาไทย ต่ำกว่าคู่แข่ง แถมยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลกอีกด้วย..
ผลผลิตต่อไร่ทั่วโลกปัจจุบันอยู่ที่ไร่ละ 507 กิโลกรัม
แต่ไทยทำได้เพียงไร่ละ 318 กิโลกรัม ต่ำกว่าเวียดนามที่ทำได้ไร่ละ 610 กิโลกรัม และอินเดีย 464 กิโลกรัม
แล้วผลผลิตต่อไร่นี้สำคัญอย่างไร ให้ลองนึกภาพตามว่า ยิ่ง 1 ไร่ของเราให้ข้าวเยอะแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อการผลิตข้าว 1 ไร่ของเรา ต่ำลงมากขึ้นเท่านั้น
พอเป็นแบบนี้ เวลาที่ชาวนาไทยทำนา 1 ไร่ จึงมีต้นทุนเฉลี่ยที่แพงกว่าชาวนาเวียดนามและอินเดียนั่นเอง
นอกจากต้นทุนปลูกข้าวเฉลี่ยต่อไร่ที่แพงกว่าแล้ว
ชาวนาไทยส่วนใหญ่ยังปลูกข้าวนาปี ซึ่งต้องพึ่งพาน้ำฝนตามธรรมชาติในปริมาณสูงอีกด้วย
ทำให้ผลผลิตในบางปีออกมาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งต่างจากชาวนาเวียดนาม ที่อยู่ในเขตชลประทานกว่า 90% จึงลดความเสี่ยงในการพึ่งพาฝนจากธรรมชาติแค่อย่างเดียว
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมผลผลิตต่อไร่ของไทย ถึงต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมาก และเมื่อต้องพึ่งพาฝนจากธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นช้ากว่าคู่แข่งไปอีก
เห็นได้จากในช่วงปี 2556-2566 ผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทย เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 0.08% ต่างกับเวียดนาม ที่เพิ่มขึ้นปีละ 0.53% และอินเดีย ที่เพิ่มขึ้นถึงปีละ 1.79%
ตัวเลขแค่นี้ดูไม่ต่างกันมาก แต่พอผ่านไป 10 ปี
พลังทบต้นของผลผลิตต่อไร่ ทำให้ชาวนาอินเดียมีข้าวเพิ่มขึ้นเกือบ 20% และชาวนาเวียดนามมีข้าวเพิ่มขึ้น 5%
แต่ชาวนาไทย ได้แต่มองข้าวที่ตัวเองผลิตได้เพิ่มขึ้นมาแค่
0.8% เท่านั้น เรียกได้ว่า มองด้วยตาเปล่าก็คงไม่เห็นความแตกต่างอะไรเลยแม้แต่น้อย..
และนอกจากต้นทุนผลิตที่ทำให้ข้าวไทยแพงกว่าข้าวอินเดียกับเวียดนามแล้ว เงินบาทไทย ก็เป็นตัวฉุดให้ข้าวไทยแพงขึ้นในสายตาประเทศนำเข้าอีกด้วย
เวลาผ่านไป 10 ปี ถ้าเอาเงินบาท เงินดอง และเงินรูปี ไปเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐแล้ว จะพบว่า
- เงินบาท แข็งค่าขึ้น 8.8%
- เงินดอง อ่อนค่าลง 18.8%
- เงินรูปี อ่อนค่าลง 33.3%
การที่เงินดองและรูปีอ่อนค่า ก็แปลว่า ข้าวอินเดียกับเวียดนาม ดูถูกลงในสายตาประเทศอื่น สวนทางกับข้าวไทย ที่ดูแพงขึ้นเมื่อนำเข้ามานั่นเอง
สรุปแล้ว ไม่ใช่แค่ต้นทุนผลิตที่แพงเท่านั้น แต่ค่าเงินบาท
ที่แข็งกว่าประเทศคู่แข่ง ก็ยิ่งแปะป้ายให้ข้าวไทย แพงมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก..
ทั้งหมดนี้เอง ก็ทำให้ข้าวไทยเสียส่วนแบ่งตลาดเกือบทุกทวีปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไล่ตั้งแต่แอฟริกา เอเชีย ยุโรป ไปจนถึงออสเตรเลียและโอเชียเนีย
ซึ่งส่วนแบ่งตลาดที่เสียไปก็ไม่ได้หายไปไหนไกล แต่ไป
เข้ากระเป๋าชาวนาอินเดียและเวียดนาม ที่ขยับมาแทนที่ข้าวไทยในทวีปเหล่านี้แทน
โดยในฝั่งทวีปแอฟริกาที่นิยมกินข้าวนึ่ง แม้เป็นข้าวที่มีแป้งน้อย แต่มีสารอาหารอื่น ๆ อย่างโปรตีนและวิตามินสูง ถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดจากอินเดียที่ทำต้นทุนได้ถูกกว่า
ส่วนในฝั่งข้าวหอม ที่เป็นข้าวคุณภาพสูง เวียดนามก็เข้ามาแย่งตลาดในฝั่งเอเชีย เพราะสามารถผลิตข้าวพันธุ์พื้นนุ่ม ที่มีราคาไม่แพง ตรงกับความต้องการของตลาดได้
แม้ปัจจุบัน ไทยกำลังปลูกข้าวพันธุ์แบบนี้มากขึ้น แต่ก็ยังปลูกไม่แพร่หลายเท่าไร ทำให้ยังไม่มีผลผลิตส่งออกไปแข่งขันกับเวียดนามได้มากเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม แม้ข้าวไทยเสียส่วนแบ่งตลาดเกือบทุกทวีป
แต่ยังมีทวีปหนึ่งที่ข้าวไทยยังปักธงได้แน่น นั่นคือ ทวีปอเมริกา ที่มีตลาดหลักเป็นสหรัฐอเมริกา
ซึ่งปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกข้าวหลักของไทย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่มีราคาแพง แต่ยังคงคุณภาพสูงและมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน
แต่สุดท้าย ก็ปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ดีว่า
ข้าวไทยกำลังเจอสงครามราคาสองด้าน ทั้งฝั่งอินเดียและเวียดนามที่พร้อมมาแย่งตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ
และถ้าประเทศไทยยังติดกับดักการเล่นเกมสงครามราคาแบบนี้ต่อไป ราคาในตลาดโลกที่ตกต่ำ ก็จะยิ่งถูกกดให้ต่ำมาเรื่อย ๆ จนถึงชาวนาที่ปลูกข้าวอยู่ต้นน้ำ
ชาวนาไทยที่มีต้นทุนการผลิตสูงอยู่แล้ว ก็ต้องคอยรอรับเงินอุดหนุนราคาจากรัฐต่อไป จนไม่สามารถพัฒนาการผลิตใหม่ ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ได้
กลับกัน ถ้าประเทศไทยสามารถหลุดพ้นกับดักสงครามราคาออกมาได้ด้วยการเลือกตลาดพรีเมียมไปเลย หรือแปรรูปข้าวให้มีมูลค่าเพิ่มมากกว่านี้
ข้าวไทยก็ยังคงยืนหยัดได้ในเวทีโลก แม้ต้องเจอสงครามราคาเข้ามามากแค่ไหนก็ตาม..