สังคมกำลังจะจม แล้วเราจะโทษใครดี?

สวัสดีครับเพื่อนๆ! บรรยากาศในละแวกบ้านของผมนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนทุกวันเลยครับ ถ้าออกจากบ้านผิดเวลาก็อาจจะเปียกฝนก่อนไปทำงานได้ แต่อากาศเย็นสบายและลมหนาวๆ ขณะขับรถมอเตอร์ไซค์ก็ให้ความรู้สึกที่ดีสุดๆ ไปอีกแบบครับ

วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวโยงกับตัวเรา สังคมรอบข้าง และสื่อโซเชียลที่เราต่างก็มีส่วนร่วมอยู่ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนจำเป็นต้องอยู่ในสังคมเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะไปทำงาน ไปเรียน หรือพบปะผู้คน และจากกิจกรรมเหล่านี้เองที่เราได้พบเจอทั้งเรื่องราวดีๆ และเรื่องราวแย่ๆ เราอาจจะได้เจอเพื่อนใหม่, ดูเรื่องตลกๆ บนโลกออนไลน์, หรือได้รับการชมเชยจากเจ้านาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราก็อาจต้องเจอคำถามอย่าง "ทำไมเขาถึงโพสต์อะไรแบบนี้?" หรือความรู้สึกไม่พอใจเมื่อเพื่อนร่วมงานไม่ให้ความร่วมมือ

ปกติแล้วเพื่อนๆ ส่วนใหญ่คงชอบพลังงานด้านบวกใช่ไหมครับ? เราอยากฟังแต่คำชม อยากดูแต่เรื่องที่สนุก และอยากกินแต่ของอร่อย แต่ทำไมกันนะ เมื่อเราลองย้อนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เรากลับจำได้แต่ด้านลบๆ ทั้งที่เราไม่เคยอนุญาตให้มันเข้ามาอยู่ในหัวเลย บางคนที่ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจสังคม หรือไม่เข้าใจสื่อโซเชียล ก็ไม่สามารถรับมือกับเรื่องราวที่พบเจอได้ สิ่งนี้อาจนำไปสู่อาการซึมเศร้า รู้สึกหมดพลังใจ หรือทำร้ายตัวเองได้ในที่สุด

แล้วคนเหล่านี้รับมือกับชีวิตของตัวเองไม่ได้เพราะอะไรกัน? ผมมองว่าสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีคือ "ภูมิคุ้มกัน" ที่จะช่วยให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างแข็งแรงด้วยตัวเอง แต่ภูมิคุ้มกันเหล่านี้กลับไม่ได้ถูกสอนจากโรงเรียนและครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ทำให้เด็กๆ บางคนไม่มีเวลาแม้แต่จะอยู่กับครอบครัวตัวเองด้วยซ้ำไป ดังนั้นถ้าจะให้ผมพูดตรงๆ ก็คงต้องโทษโรงเรียนนี่แหละครับ ที่ควรเป็นคนสอนและปลูกฝังภูมิคุ้มกันเหล่านี้ให้กับเด็กๆ

(ที่จริงการโทษคนนั้นคนนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะครับ แต่ผมแค่อยากให้สถาบันการศึกษาได้ตระหนักเรื่องนี้มากกว่านี้ เพราะสังคมที่พวกเด็กๆต้องพบเจอในภายภาคหน้านนั้นโหดร้ายกว่านี้เยอะครับ ยิ่งสังคมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว การแข่งขันเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ถ้าเรายังไม่ตระหนัก มันก็จะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ และก็หนักขึ้นเรื่อยๆ)

สิ่งที่ผมทำได้วันนี้คือ ผมเลยอยากจะถามเพื่อนๆ ว่า เพื่อนๆ มีวิธีการป้องกันหรือคุ้มกันตัวเองจากเรื่องลบๆ ในชีวิตประจำวันกันอย่างไรบ้างครับ? จะได้เป็นแนวทางให้ผู้คนอื่นๆลองนำไปใช้ตามหรือสอนลูกหลานเขาได้ด้วยครับ

ป.ล. เพราะถ้าเรายังไม่ตระหนักเรื่องนี้ ก็ลองกลับไปอ่านชื่อหัวข้อดูอีกทีนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่