ทุนตุรกีประกาศตอบรับ วินาทีแรกเป็นอารมณ์ดีใจ เเต่วินาทีต่อ ในใจต่อนั้นคือกายภาพบำบัด จบมากูทำอะไรกิน ( ด้วยความที่เราไม่เคยหาข้อมูลของคณะนี้เลย ) เเต่ตอนเปิดเมลดูเเค่ ติดไหม ไม่ได้ดูที่คณะ หลังจากที่กรี๊ดเสร็จ ฉันก็นั่งรถไฟไปเรียนที่มหาลัยต่อ ก็สงบสติอารมณ์ เเล้วเปิดใบ offer ที่ทุนส่งมา เชี่ยๆๆๆๆ emergency and disaster คณะไรว่า ตอนนั้น คือรู้จักเเต่ disaster เพราะตอนนั้นเราก็เรียนอยู่ที่ไทยใช่ไหม แล้วมีคำวว่า emergencyด้วยในสาขานี้ ทำให้ฉันต้องคิดว่าจะเรียนอย่างไร ก็นั่นแหละ หลังจากความดีใจที่ติดทุนก็มีเเต่คำถามผุดขึ้นมามากมาย เรียนอย่างไร เเล้วจะคุยกับเขารู้เรื่องมั้ย เอายังไงกับชีวิตต่อดี มหาลัยไทยทำไงดี ( เราก็มีสังคมเเล้วด้วย ) ภาษาอังกฤษก็ยังพูดไม่ได้ แล้วจะไปเรียนภาษาตุรกีได้อย่างไร พอนั่งรถมาถึงมหาวิทยาลัยก็ลืมเรื่องที่ได้ทุนไปเลย สนุกกับชีวิตมหาลัยเต็มที่ ( เอาจริงตอนนั้นมันครียดมากน่ะเว้ย เครียดจนเเบบ ไม่ไปดีมั้ย พร้อมกับร้องไห ) พยายามขนาดนี้จะไม่ไปจริงๆหรอ เลยเอาชื่อคณะไปถามเพื่อนที่เรียนมหาลัยด้วยกัน " คิดว่าคณะนี้เเม่งเรียนอะไรวะ " พวกมันก็ตอบว่า " ก็คงเหมือนเรามั้ง สาธารณภัยบวกกับฉุกเฉินการเเพทย์ป่ะ " จริงหรอ เเต่ถ้าถามว่าเเล้วอะไรทำให้ฉันมาได้ถึงขนาดนี้ ก็คงเป็นคำพูดของพ่อ " เเต่พ่ออยากให้เราไปนะ อย่างน้อยกลับมาเราจะได้ประสบการณ์กลับมาเเน่นอน " โอเครรองดู หลังจากวันนั้นฉันก็เอาคณะกับมหาลัยมาเสิร์ช เเล้วดูว่าวิชาเรียนมันมีอะไรบ้าง ( คณะเรียนคือ ลงมือปฏิบัติทั้งหมด วิชาคณิต ฟิสิกส์ นี่น่าจะเป็นอีกส่วนด้วย ) เเล้วมีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันทำคือ เอารายวิชาทั้งหมดไปให้อาจารย์มหาลัยดู (เนื่องจากสาขาที่ฉันเรียนที่ไทยก็ค่อนข้างจะไปทางนั้นอยู่เเล้ว จึงถามได้ ) อาจารย์ตอบกลับมาว่า " โคตรดี ไปเลย " อาจารย์ว่าดีหนูก็ว่าดี หลังจากทะเลาะกับตัวเองเสร็จ ก็เหลือเวลาที่จะยื่นเอกสารเเค่ 1 เดือนครึ่งเเล้ว ทีนี้ล่ะบทเรียนชีวิต ( บทใหม่เริ่มต้นขึ้น ) ฉันเด็กผู้รักเรียนอยู่เเเล้ว ( ไม่มีใครบอก ) ตื่นเช้าไปมหาลัยทุกวัน พร้อมกับต้องเตรียมเอกสาร ( จริงๆแล้วอยากใช้ชีวิตมหาวิทยาลัย )
หลังจากนี้จะมาเล่ารูทีนของชีวิตฉันตอนนั้นให้ฟัง ตื่นเช้า 6.00 เพื่อไปรอรถเมล์และไปเรียนให้ทัน 9.00 เรียนเสร็จ 11.00 ไปโรงเรียนมัธยมต่อที่แถวนนทบุรี จากอนุ พอได้เอกสารจากโรงเรียนมัธยมเเล้วก็กลับบ้านที่อยู่รังสิต พออีกวันก็ตื่นไปมหาลัยเหมือนเดิม พอเรียนเสร็จก็เอาเอกสารไปสถานทูตที่ช่องนนทรี ก่อนที่จะกลับบ้าน ( ชีวิตแบบไม่ว่างเลย คิดว่าช่วงนั้นน่าจะเสียค่ารถไฟฟ้าไปเยอะมากๆๆๆๆ ) เเต่ก็สำเร็จมาได้ ต้องขอบคุณตัวเอง
หลังจากเอกสารเสร็จสิ้นทุกอย่างเเล้ว ก็มีนามสกุลใหม่เพิ่มขึ้นมาคือ เด็กทุนรอบิน รอทางทุนส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ซึ่งรุ่นพีปีก่อนบอกว่าจะได้บินช่วง ตุลาคม ก็มีเวลาอีก 1 เดือนเต็มๆ ตอนนั้นฉันก็ไปพบเจอเพื่อน พบญาติพี่น้อง เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมาไทยอีกเมื่อไหร่อาจไปอยู่เลย 5 ปี หรือ เก็บเงินซื้อตั๋วกลับเอง ( ทางทุนให้ค่าตั๋วแค่ไป กับเรียนจบเเล้วกลับ )
6 ตุลาคม คือวันที่ฉันจะได้บอกลาครอบครัวและเพื่อนๆ ที่รัก เพื่อออกไปเผชิญกับโลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย วันนั้นเป็นวันที่ตื่นเต้นที่สุด เด็กอายุ 19 ปี ( ที่เพิ่งจะอายุครบ 19 ไปเมื่อ 4 วันที่แล้ว ) วันนั้นบินแต่เช้าตรู่ 6 โมงเช้าทำให้ต้องไปสนามบินตั้งเเต่ ตี 4 เป็นไฟล์ทบินเช้าจึงไม่คิดว่าจะมีคนมาส่ง แต่คนมาส่งเยอะมาก เเบบอยากร้องไห้ที่เกิดมาบนโลก 19 ปี เเต่มีคนรักเยอะมาก ก็ถ่ายรูปอะไรกันเสร็จก็ถึงเเล้ว บันไดวัดใจจะร้องไหหรือไม่ร้อง (แต่วันนั้นเก่งเกิน ไม่ร้องค่ะ เเค่น้ำตาซึม ) หลังจากบันไดขั้นสุดท้ายก็เป็นการเริ่มเดินทางด้วยตัวเองเเล้ว....
ชีวิตหลังจากนี้จะไม่มีพ่อค่อยรับส่ง ไม่มีแม่ทำอาหารให้กิน ไม่มีเพื่อนให้คุยด้วย ภาษาไทยขอพักไว้ก่อน หลังจากนี้ไอ้เด็กอายุ 19 คนนี้มันจะต้องเผชิญกับอะไรต่อเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังใน บล็อก ถัดไป ฝากติดตามด้วยนะคะ
ภาคต่อของ เรื่องราวของเด็กที่ไม่ชอบเรียนภาษาเเต่มาไกลถึงประเทศตุรกี
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะหลังจากนี้จะมาเล่ารูทีนของชีวิตฉันตอนนั้นให้ฟัง ตื่นเช้า 6.00 เพื่อไปรอรถเมล์และไปเรียนให้ทัน 9.00 เรียนเสร็จ 11.00 ไปโรงเรียนมัธยมต่อที่แถวนนทบุรี จากอนุ พอได้เอกสารจากโรงเรียนมัธยมเเล้วก็กลับบ้านที่อยู่รังสิต พออีกวันก็ตื่นไปมหาลัยเหมือนเดิม พอเรียนเสร็จก็เอาเอกสารไปสถานทูตที่ช่องนนทรี ก่อนที่จะกลับบ้าน ( ชีวิตแบบไม่ว่างเลย คิดว่าช่วงนั้นน่าจะเสียค่ารถไฟฟ้าไปเยอะมากๆๆๆๆ ) เเต่ก็สำเร็จมาได้ ต้องขอบคุณตัวเอง
หลังจากเอกสารเสร็จสิ้นทุกอย่างเเล้ว ก็มีนามสกุลใหม่เพิ่มขึ้นมาคือ เด็กทุนรอบิน รอทางทุนส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ซึ่งรุ่นพีปีก่อนบอกว่าจะได้บินช่วง ตุลาคม ก็มีเวลาอีก 1 เดือนเต็มๆ ตอนนั้นฉันก็ไปพบเจอเพื่อน พบญาติพี่น้อง เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมาไทยอีกเมื่อไหร่อาจไปอยู่เลย 5 ปี หรือ เก็บเงินซื้อตั๋วกลับเอง ( ทางทุนให้ค่าตั๋วแค่ไป กับเรียนจบเเล้วกลับ )
6 ตุลาคม คือวันที่ฉันจะได้บอกลาครอบครัวและเพื่อนๆ ที่รัก เพื่อออกไปเผชิญกับโลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย วันนั้นเป็นวันที่ตื่นเต้นที่สุด เด็กอายุ 19 ปี ( ที่เพิ่งจะอายุครบ 19 ไปเมื่อ 4 วันที่แล้ว ) วันนั้นบินแต่เช้าตรู่ 6 โมงเช้าทำให้ต้องไปสนามบินตั้งเเต่ ตี 4 เป็นไฟล์ทบินเช้าจึงไม่คิดว่าจะมีคนมาส่ง แต่คนมาส่งเยอะมาก เเบบอยากร้องไห้ที่เกิดมาบนโลก 19 ปี เเต่มีคนรักเยอะมาก ก็ถ่ายรูปอะไรกันเสร็จก็ถึงเเล้ว บันไดวัดใจจะร้องไหหรือไม่ร้อง (แต่วันนั้นเก่งเกิน ไม่ร้องค่ะ เเค่น้ำตาซึม ) หลังจากบันไดขั้นสุดท้ายก็เป็นการเริ่มเดินทางด้วยตัวเองเเล้ว....
ชีวิตหลังจากนี้จะไม่มีพ่อค่อยรับส่ง ไม่มีแม่ทำอาหารให้กิน ไม่มีเพื่อนให้คุยด้วย ภาษาไทยขอพักไว้ก่อน หลังจากนี้ไอ้เด็กอายุ 19 คนนี้มันจะต้องเผชิญกับอะไรต่อเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังใน บล็อก ถัดไป ฝากติดตามด้วยนะคะ